กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ รายงานว่ายอดการค้าปลีกและร้านอาหารของสหรัฐฯ ในเดือนพฤษภาคมลดลง 0.9% หลังจากที่ลดลงเล็กน้อยที่ 0.1% ในเดือนเมษายน โดยก่อนหน้านั้นยอดค้าปลีกในเดือนมีนาคมพุ่งขึ้นถึง 1.5% เนื่องจากผู้บริโภคเร่งซื้อสินค้าล่วงหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากมาตรการภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยเฉพาะอัตราภาษีนำเข้า 25% สำหรับรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์
ยอดการค้าปลีกที่ลดลงดังกล่าวส่วนหนึ่งเกิดจากการชะลอตัวของยอดขายรถยนต์ที่ร่วงลงอย่างรุนแรง หลังจากชาวอเมริกันเร่งซื้อรถยนต์ในเดือนมีนาคม ทั้งนี้ หากไม่รวมยอดขายรถยนต์ ยอดขายค้าปลีกในเดือนพฤษภาคมลดลง 0.3% แม้ว่าความเชื่อมั่นผู้บริโภคจะลดลงอย่างมากในปีนี้ แต่ภาวะเงินเฟ้อก็เริ่มชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง และอัตราการว่างงานยังคงทรงตัวอยู่ในระดับเดิม ซึ่งปัจจัยเหล่านี้อาจช่วยสนับสนุนการใช้จ่ายของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่องในช่วงต่อไป หากสถานการณ์ยังไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากเศรษฐกิจโดยรวมยังคงมีเสถียรภาพ
สำหรับยอดขายในสินค้าที่ไม่รวมกลุ่มสินค้าที่มีความผันผวนสูง เช่น น้ำมันเชื้อเพลิง รถยนต์ และร้านอาหาร จะพบว่ามียอดขายเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนพฤษภาคม ซึ่งสะท้อนว่าผู้บริโภคยังคงใช้จ่ายในสินค้าบางประเภทที่ไม่จำเป็นและเร่งด่วน
รายงานจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ชี้ให้เห็นว่า แม้ผู้บริโภคจะเริ่มชะลอการใช้จ่าย แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นหยุดใช้จ่ายโดยสิ้นเชิง โดยรายงานยอดการค้าปลีกนี้ครอบคลุมประมาณ 1 ใน 3 ของการใช้จ่ายทั้งหมดของผู้บริโภค ขณะที่อีก 2 ใน 3 เป็นการใช้จ่ายด้านการบริการ ทั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์หลายรายคาดการณ์ว่าการใช้จ่ายของผู้บริโภคโดยรวมจะยังขยายตัวในเดือนเมษายนถึงมิถุนายน
นายเอลเลน เซนท์เนอร์ หัวหน้านักกลยุทธ์เศรษฐกิจของ Morgan Stanley Wealth Management ระบุว่า “ข้อมูลวันนี้แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคเริ่มชะลอการใช้จ่ายลง แต่ยังไม่ได้หยุดใช้จ่ายโดยสิ้นเชิง การใช้จ่ายของผู้บริโภคยังคงยืดหยุ่นแม้ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนด้านภาษีศุลกากร”
อย่างไรก็ตาม สินค้าหลายประเภทมียอดขายลดลงอย่างเห็นได้ชัด ได้แก่ สินค้าประเภทรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ลดลงถึง 3.5% สินค้าประเภทของใช้ในบ้านและสวนลดลง 2.7% เครื่องใช้ไฟฟ้าลดลง 0.6% และยอดขายจากร้านขายของชำลดลง 0.7% ในทางกลับกัน ยังมีสินค้าบางหมวดหมู่ที่มียอดขายเพิ่มขึ้น ได้แก่ ยอดขายผ่านทางร้านค้าออนไลน์เพิ่มขึ้น 0.9% เสื้อผ้าเพิ่มขึ้น 0.8% และเฟอร์นิเจอร์เพิ่มขึ้น 1.2% สำหรับยอดขายน้ำมันที่ปั๊มน้ำมันลดลง 2% แต่เป็นผลจากราคาน้ำมันที่ลดลงเป็นหลัก โดยรายงานยอดการค้าปลีกนี้ยังไม่ได้ปรับตามอัตราเงินเฟ้อ นอกจากนี้ ยอดขายในร้านอาหารและบาร์ซึ่งถือเป็นตัวชี้วัดสำคัญของการใช้จ่ายในกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย ลดลง 0.9% ในเดือนพฤษภาคม หลังจากที่เพิ่มขึ้น 0.8% ในเดือนเมษายน
ผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคบางรายระบุว่าได้รับผลกระทบจากต้นทุนและยอดขายที่สูงขึ้น เนื่องจากมาตรการภาษีศุลกากร นายพอล โคซาโร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท Picnic Time, Inc. บริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์ปิกนิก เช่น ตะกร้า กระติกน้ำแข็ง และเก้าอี้สนาม เปิดเผยว่า คำสั่งซื้อจากร้านค้าปลีกในฤดูร้อนนี้ลดลงถึง 40% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน บริษัทฯ จำหน่ายสินค้าให้กับร้านค้าและซุปเปอร์มาร์เก็ต เช่น Target และ Williams-Sonoma รวมทั้ง ร้านค้าบางแห่งชะลอคำสั่งซื้อเพราะไม่แน่ใจว่าผู้บริโภคจะตอบสนองต่อราคาที่สูงขึ้นอย่างไร ร้านค้าบางแห่งยกเลิกคำสั่งซื้อเนื่องจากบริษัทผู้ผลิตไม่สามารถแจ้งราคาขายใหม่ได้ชัดเจนเนื่องจากความไม่แน่นอนด้านภาษี ปัจจุบันประมาณ 80% ของสินค้าของบริษัทผลิตในประเทศจีน ที่เหลือผลิตในอินเดียและเวียดนาม และบริษัทต้องปรับขึ้นราคาสินค้าเฉลี่ย 11% – 14% สำหรับการขายช่วงฤดูร้อนปีนี้ แม้จะมีลูกค้าบางรายเร่งซื้อสินค้าเพราะกังวลว่าราคาจะสูงขึ้น แต่ยอดขายโดยรวมของบริษัทก็ยังคงลดลงในปีนี้
นายพอล โคซาโร กล่าวว่า “ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับราคาอย่างมาก” บริษัทต้องหยุดการจ้างงานใหม่เนื่องจากภาระต้นทุนจากภาษีศุลกากร โดยบริษัทฯ มีพนักงานระหว่าง 70 ถึง 100 คน ทั้งนี้ บริษัทต้องจ่ายภาษีศุลกากรรวมแล้ว 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ในช่วงเดียวกันของปีก่อน ตัวเลขอยู่ที่เพียง 1 ใน 3
นางลิซา เกรสโก แม่ลูกสามวัย 42 ปีจากเมืองดอยล์สทาวน์ รัฐเพนซิลเวเนีย กล่าวว่า เธอสังเกตว่าราคาสินค้าพื้นฐาน เช่น ยาสีฟันและแชมพูเริ่มขยับขึ้นอีกครั้ง จึงหันมาเลือกซื้อของใช้ในครัวเรือนแบบแพ็คใหญ่เพื่อลดต้นทุน และหันมาใช้แบรนด์ทั่วไปหรือแบรนด์ห้างแทนแบรนด์ชื่อดัง และเริ่มหันไปซื้อเสื้อผ้าเด็กจากร้านขายของมือสองแทนร้านแบรนด์ใหญ่ เช่น Macy’s หรือ H&M
รายงานยอดการค้าปลีกฉบับนี้สอดคล้องกับหลักฐานอื่นที่บ่งชี้ว่า ผู้บริโภคเริ่มชะลอการใช้จ่ายมากขึ้นท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับราคาที่อาจเพิ่มขึ้นจากภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีทรัมป์ นายนาวีน จากกี ประธานฝ่ายที่ปรึกษาธุรกิจค้าปลีกในภูมิภาคอเมริกาของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ JLL ระบุว่า ได้รับรายงานจากศูนย์การค้าว่ายอดขายเริ่มชะลอตัวในช่วงก่อนเข้าสู่ฤดูร้อนอย่างเป็นทางการ และผู้ค้าปลีกหลายรายได้เร่ง โปรโมชันสำหรับช่วงเปิดภาคเรียนให้เร็วขึ้นจากเดือนกรกฎาคมมาเป็นเดือนมิถุนายนนี้ เพราะกังวลว่าผู้บริโภคอาจลังเลที่จะใช้จ่ายในช่วงเดือนถัดไปที่ราคาสินค้ามีแนวโน้มสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้มาตรการภาษีศุลกากรยังไม่ส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้ออย่างมีนัยสำคัญ โดยดัชนีราคาผู้บริโภคในเดือนพฤษภาคมเพิ่มขึ้นเพียง 2.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ ร้านค้าและแบรนด์ต่าง ๆ อาทิ Walmart, Lululemon และ J.M. Smucker Co. ต่างระบุว่ามีแผนหรือได้ปรับขึ้นราคาสินค้าเพื่อตอบสนองต่อภาษีศุลกากรแล้ว ในขณะเดียวกัน บริษัท Deckers Outdoor ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์รองเท้า Hoka และ Uggs เปิดเผยเมื่อช่วงปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาว่าจะปรับราคาสินค้าขึ้นซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อยอดขาย
นายสตีเวน ฟาสชิง ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินบริษัท Deckers Outdoor กล่าวว่า “เราคาดว่าจะต้องแบกรับภาระจากภาษีบางส่วน และเชื่อว่าราคาสินค้าที่สูงขึ้นรวมกับภาวะการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่อ่อนตัวโดยรวม อาจทำให้ความต้องการซื้อสินค้าของผู้บริโภคลดลง”
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครนิวยอร์ก
ข้อมูลอ้างอิง New York Times, Census.gov