รู้ทันสถานการณ์ช่องทางการค้าปลีกของจีน ปี 2568

ความสะดวกสบาย ความหลากหลายของสินค้า และความได้เปรียบด้านราคา ทำให้การช้อปปิ้งออนไลน์กลายเป็นทางเลือกแรกของผู้บริโภคมากขึ้น แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของจีนมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ระบบการขนส่งที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และวิธีการชำระเงินที่ปลอดภัยและสะดวกสบายเป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนการเติบโตของยอดขายออนไลน์ที่ยังคงเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลแสดงให้เห็นว่าในช่วงระหว่างเดือนมกราคม-พฤศจิกายน 2568 ยอดขายสินค้าอุปโภคบริโภคสำคัญผ่านทุกช่องทางเติบโตขึ้น 3.8% เมื่อเทียบปีต่อปี โดยช่องทางออนไลน์เติบโตอย่างแข็งแกร่งที่ 10.8% ขณะที่ช่องทางออฟไลน์มีแนวโน้มลดลงเล็กน้อยที่ -0.7%

รู้ทันสถานการณ์ช่องทางการค้าปลีกของจีน ปี 2568

ในยุคที่ความต้องการของผู้บริโภคแบ่งชั้นอย่างชัดเจน ตามปัจจัยต่างๆ เช่น ระดับรายได้ ความชอบส่วนบุคคล วัฒนธรรม และเทคโนโลยีที่เข้าถึงได้ อย่างเช่น การแบ่งตามระดับรายได้ (Income Level) ซึ่งผู้ที่มีรายได้สูง (High-Income) ผู้บริโภคในกลุ่มนี้มักมองหาสินค้าคุณภาพดีจากแบรนด์ระดับพรีเมียม ซึ่งจะให้ความสำคัญกับแบรนด์และการบริการที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์หรูหรา ผู้ที่มีรายได้ปานกลาง (Middle-Income) มักจะมองหาสินค้าคุณภาพดีในราคาที่สามารถจ่ายได้  โดยจะเลือกซื้อสินค้าที่มีสมรรถนะดีแต่ไม่จำเป็นต้องเป็นแบรนด์หรู เน้นคุณภาพและราคาเหมาะสม และสำหรับผู้ที่มีรายได้ต่ำ (Low-Income) ผู้บริโภคในกลุ่มนี้มักจะมองหาสินค้าที่คุ้มค่า ราคาถูก และมีความสามารถในการซื้อในระยะยาว ตัวเลือกมักจะเป็นสินค้าราคาประหยัดและสินค้าที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน  เนื่องด้วยความต้องการในการบริโภคที่แตกต่างกัน ซึ่งก็มีส่วนที่ส่งผลให้รูปแบบการค้าปลีกมีการแยกตัวออกเป็นหลายรูปแบบ ร้านสะดวกซื้อและร้านของชำขนาดเล็กสามารถตอบสนองความต้องการซื้อของใช้ประจำวันและบริโภคทันที ข้อมูลแสดงให้เห็นว่าการเติบโตของยอดขายร้านสะดวกซื้อและร้านของชำมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ขณะที่ห้างสรรพสินค้าและซูเปอร์มาร์เก็ตที่เป็นรูปแบบใหญ่ดั้งเดิมกำลังเผชิญกับแรงกดดันในการปรับตัว ยอดขายห้างสรรพสินค้าลดลง 10% และซูเปอร์มาร์เก็ตประสบกับการลดลง 3% แต่ไม่ได้หมายความว่าธุรกิจขนาดใหญ่กำลังตกต่ำ แต่เป็นสิ่งบ่งชี้และผลักดันให้ธุรกิจเหล่านี้แสวงหาการเปลี่ยนแปลงและนวัตกรรม ซูเปอร์มาร์เก็ตบางแห่งปรับปรุงโครงสร้างสินค้า ยกระดับคุณภาพบริการ และสร้างประสบการณ์ช้อปปิ้ง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน อาทิ บางแห่งเพิ่มชนิดและคุณภาพของอาหารสด รวมถึงจัดตั้งพื้นที่สำหรับรับประทานอาหารและพักผ่อน มอบประสบการณ์ช้อปปิ้งที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้นให้ผู้บริโภค

ในปี 2568 ช่องทางค้าปลีกในจีนแสดงแนวโน้มการพัฒนาใน 3 ทิศทางหลักคือ ย่อขนาดร้านค้า เน้นสินค้าสดใหม่ และเน้นส่วนลด ในด้านการย่อขนาดร้านค้า เช่น มินิมาร์ทและร้านสะดวกซื้อขนาดเล็กกำลังขยายไปสู่ตลาดระดับล่างมากขึ้น โดยจำนวนร้านค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งร้านขนาดเล็กเหล่านี้ตอบโจทย์ความสะดวกสบาย การซื้อของที่ต้องการใช้ทันที และบริการที่คล่องตัว ในส่วนของแนวโน้มสินค้าสดใหม่ พบว่าอาหารสดมีความสำคัญมากขึ้นในช่องทางค้าปลีก ผู้บริโภคต้องการสินค้าสดใหม่ที่มีคุณภาพดีและปลอดภัย ทำให้ผู้ค้าปลีกเพิ่มการลงทุนในตลาดสินค้าสด ซูเปอร์มาร์เก็ตที่เน้นสินค้าเกษตรมีจำนวนร้านค้าที่เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมียอดขายเพิ่มขึ้นกว่า 20% ส่วนในด้านสินค้าราคาถูก ผลักดันให้ผู้ค้าปลีกเพิ่มการลงทุนในด้านนี้ จำนวนสาขาของซูเปอร์มาร์เก็ตอาหารสดเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยอัตราการเติบโตของยอดขายสูงกว่า 20% ส่วนแนวโน้มการลดราคา สะท้อนให้เห็นถึงความอ่อนไหวต่อราคาของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นภายใต้แรงกดดันทางเศรษฐกิจ โดยร้านซูเปอร์มาร์เก็ตและอีคอมเมิร์ซที่มีราคาถูกได้ดึงดูดความสนใจจากผู้บริโภคอย่างมาก จากข้อมูลแสดงให้เห็นว่ายอดขายของร้านซูเปอร์มาร์เก็ตที่เน้นส่วนลดมีการเติบโตถึง 35% ซึ่งกลายเป็นรูปแบบค้าปลีกที่เติบโตเร็วที่สุด

ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของจีนเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้ช่องทางค้าปลีกจีนมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี Cloud Computing (การบริการเช่าใช้ระบบคอมพิวเตอร์และทรัพยากรผ่านออนไลน์โดยสามารถปรับสเป็คต่างๆตามการใช้งานจริงขององค์กรได้) Big Data และปัญญาประดิษฐ์ ทำให้ผู้ค้าปลีกสามารถเข้าใจความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างแม่นยำ และสามารถทำการตลาดที่ตรงเป้าหมายและแนะนำสินค้าที่เหมาะสม การใช้เทคโนโลยีในคลังสินค้าและการขนส่งอัจฉริยะทำให้ประสิทธิภาพการขนส่งและความแม่นยำสูงขึ้น และลดต้นทุนในการดำเนินงาน ในด้านประสบการณ์ของผู้บริโภค ร้านค้าปลีกได้ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น รถเข็นอัจฉริยะ, การชำระเงินด้วยตนเอง, และร้านค้าปลีกแบบไม่ต้องมีพนักงาน เพื่อเพิ่มความสะดวกและเพลิดเพลินในการช้อปปิ้ง นอกจากนี้ รูปแบบ O2O ที่ผสมผสานออนไลน์และออฟไลน์ก็ได้รับการพัฒนาขึ้นอีกขั้น ผู้บริโภคสามารถสั่งซื้อผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์และเลือกรับสินค้าเองที่ร้านหรือให้จัดส่งถึงบ้าน เพลิดเพลินกับวิธีการช้อปปิ้งที่ยืดหยุ่นมากขึ้น

การพัฒนาของช่องทางค้าปลีกในแต่ละพื้นที่ของจีน แสดงถึงให้เห็นความแตกต่างในการบริโภคของผู้บริโภคในแต่ละภูมิภาคของจีนได้อย่างชัดเจน ในเมืองชั้นหนึ่งและพื้นที่พัฒนาแล้ว ผู้บริโภคมีความต้องการคุณภาพ การบริการ และประสบการณ์ที่สูงขึ้น รูปแบบค้าปลีกที่เป็นร้านซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่และร้านสะดวกซื้อที่มีคุณภาพสูงจึงมีความได้เปรียบ ขณะที่เมืองชั้นสอง เมืองชั้นสามและตลาดเมืองระดับล่าง ผู้บริโภคอ่อนไหวต่อราคามากกว่า รูปแบบค้าปลีกที่มีราคาถูก เช่น ซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านสะดวกซื้อขนาดเล็กได้รับความนิยมมากขึ้น นอกจากนี้ เนื่องด้วยการเร่งขยายตัวของเมืองตลาดค้าปลีกในบางเมืองเกิดใหม่แสดงศักยภาพสูง ผู้ส่งออกต้องปรับกลยุทธ์การตลาดที่แตกต่างกันตามลักษณะเฉพาะของตลาดและความต้องการของผู้บริโภคในแต่ละพื้นที่ เพื่อทำให้การวางแผนในการขยายตลาดให้แม่นยำและครอบคลุมพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ผลกระทบด้านเศรษฐกิจต่อประเทศไทย และแนวทางการปรับตัวของภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้ประกอบการไทย

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตลาดค้าปลีกในจีนได้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและพฤติกรรมการบริโภคที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้ประกอบการไทยที่ต้องการส่งออกสินค้าไปยังตลาดจีนจึงจำเป็นต้องติดตามและเข้าใจแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของตลาดจีน เพื่อปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว เช่น การเสริมสร้างการขายออนไลน์ การเติบโตของอีคอมเมิร์ซในจีนยังคงเป็นหนึ่งในแนวโน้มที่เด่นชัดในปี 2568 โดยคาดว่าอีคอมเมิร์ซจะยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่องจากความสะดวกสบายและการเข้าถึงที่รวดเร็ว ปัจจุบัน การใช้สมาร์ทโฟนในการซื้อสินค้าออนไลน์จะกลายเป็นกิจกรรมหลักของผู้บริโภคชาวจีน ด้วยการพัฒนาแอปพลิเคชันที่สามารถทำทุกอย่างได้ตั้งแต่การเลือกสินค้า การจ่ายเงินจนถึงการส่งสินค้าถึงบ้าน ผู้ประกอบการไทยต้องมีการปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยีและการใช้งานแอปพลิเคชันที่สะดวกสบาย เพื่อดึงดูดผู้บริโภคชาวจีนที่เน้นการซื้อสินค้าผ่านมือถือ ทั้งนี้ ผู้ประกอบการไทยจะสามารถเข้าถึงตลาดจีนได้ง่ายผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ซที่ได้รับความนิยม เช่น Tmall, JD.com, Pinduoduo และ Xiaohongshu ซึ่งจะเป็นช่องทางที่สำคัญในการกระจายสินค้าไทยให้ถึงมือผู้บริโภคจีน นอกจากนี้ การใช้โซเชียลมีเดียในการตลาดยังคงเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญในปี 2568 โดยเฉพาะแพลตฟอร์มอย่าง Xiaohongshu (RedNote), WeChat และ Douyin (TikTok) ที่มีอิทธิพลในการซื้อสินค้า ผู้ประกอบการไทยควรพิจารณา การใช้การตลาดผ่านอินฟลูเอนเซอร์และการโฆษณาผ่านโซเชียลมีเดียเพื่อเพิ่มการเข้าถึงและสร้างการรับรู้เกี่ยวกับสินค้าในกลุ่มผู้บริโภคที่มีแนวโน้มจะซื้อสินค้า เพื่อนำสินค้าไทยไปสู่ตลาดจีนได้อย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพต่อไป

 

 

แหล่งข้อมูล : https://mp.weixin.qq.com/s/aW2bnUbOxHOoljUWqyWYoQ

จัดทำโดย สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองกวางโจว

thThai