ห้าง Hellweg เครือข่ายร้าน DIY ที่กำลังประสบปัญหา ได้เริ่มต้นช่วงสำคัญของการปรับโครงสร้างครั้งใหม่ของบริษัทฯ ตามที่สำนักข่าว Handelsblatt สืบทราบจากวงในของบริษัทฯ พบว่า นาย Markus Semer เจ้าของ Hellweg วางแผนที่จะปิดร้านสาขาอีกอย่างน้อย 7 แห่ง โดยก่อนหน้านี้บริษัทฯ เพิ่งจะประกาศปิดร้านสาขาในเมือง Hanau และ Münster และต่อไปบริษัทฯ กำลังจะดำเนินการปรับโครงสร้างของบริษัทใหม่ โดยเรียกแผนปรับโครงสร้างนี้ว่า “แผนต่อสู้เพื่อปลดปล่อยตัวเอง” และ Hellweg กำลังเจรจาหาข้อตกลงกับธนาคารเพื่อรีไฟแนนซ์ และเมื่อสำนักข่าวฯ ได้สอบถามเรื่องนี้กับ Hellweg ก็ได้รับคำตอบว่า เราจะต้อง “ปรับตัวตามสภาพตลาดที่เปลี่ยนไป” และ “ต้องสร้างฐานโครงสร้างที่ยั่งยืนและมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับห้างที่ทำกำไรของเราก่อน” อย่างไรก็ดี การเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวของบริษัทฯ ไม่สามารถปกปิดความจริงที่ว่า ธุรกิจ DIY ในเยอรมนีกำลังประสบวิกฤตอย่างหนัก ทั้งยอดขายและอัตรากำไรของธุรกิจ DIY ลดลงอย่างต่อเนื่อง และการแข่งขันเพื่อแย่งส่วนแบ่งการตลาดก็รุนแรงมากกว่าที่เคยมีมา ตอนนี้ต่างก็มีการตั้งคำถามว่า ใครจะเป็นผู้ชนะ ใครจะตกเป็นฝ่ายแพ้ในธุรกิจ DIY
นาย Philipp Hoog สมาชิกคณะกรรมการบริหารบริษัทที่ปรึกษาด้านการค้าปลีก BBE คาดการณ์ว่า “ห้างค้าปลีกขนาดเล็กที่มีสาขาไม่ถึง 100 สาขา น่าจะประสบปัญหาอย่างหนัก” ซึ่งห้างร้านที่กล่าวถึงนี้ยังรวมถึงห้างค้าปลีกในเครือของ Globus ด้วย แม้แต่ผู้ให้บริการค้าปลีกรายใหญ่ก็ยังไม่สามารถไว้วางใจกับสถานการณ์ในปัจจุบันได้ นาย Hoog กล่าวเสริมว่า มีความเป็นไปได้ที่ “เราจะเห็นการรวมตัวกันของผู้ให้บริการธุรกิจ DIY ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า” และ “ร้านขายสินค้าวัสดุอุปกรณ์อยู่ในช่วงขาขึ้นตอนที่ประเทศกำลังประสบปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 แต่พวกเขาอาจพลาด ที่มองข้ามข้อเท็จจริงที่ว่า ยอดขายในตลาด DIY ชะลอตัวมาหลายปีติดต่อกันแล้ว” ขณะนี้ ตลาดกำลังทยอยหดตัวลง โดยตั้งแต่ปี 2022 ยอดขายของธุรกิจ DIY โดยรวมลดลงอย่างต่อเนื่อง ตามการคำนวณของสมาคมการค้า พบว่า ยอดขายของตลาดสินค้าวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้างในเยอรมนี เมื่อ 5 ปีก่อนอยู่ที่ 22,140 ล้านยูโร แต่เมื่อปีที่แล้วตกลงมาอยู่ที่ 20,920 ล้านยูโร เท่านั้น ด้านนาย Jan Kunath รองผู้บริหารบริษัท Rewe ผู้รับผิดชอบการดำเนินธุรกิจของบริษัท Toom ซึ่งเป็นบริษัท DIY ในเครือของ Rewe ยืนยันว่า “ปีนี้ถือเป็นปีที่แย่อย่างเห็นได้ชัด สำหรับธุรกิจ DIY เพราะตั้งแต่เริ่มต้นปีใหม่ สถานการณ์ทางธุรกิจก็ไม่ได้ดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย” ในเวลาเดียวกัน ต้นทุนในการประกอบธุรกิจกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการล้มหายตายจากครั้งใหญ่ในเร็ว ๆ นี้ โดยปัจจุบันสถานการณ์ดังกล่าว ได้แสดงให้เห็นชัดเจนว่า กลุ่มบริษัท Hagebau-Gruppe ที่เฉพาะปีนี้เพียงปีเดียวมีพันธมิตรในเครือบริษัทจำนวน 5 ราย ซึ่งมีร้านค้ารวมกัน 18 แห่ง ออกมาประกาศว่าจะเปลี่ยนมาใช้ระบบแฟรนไชส์ของบริษัท Obi ผู้นำตลาดสินค้าวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้างแทน ผู้บริหารระดับสูงของกลุ่มบริษัทฯ กล่าวว่า “ปัจจุบันมีการเปลี่ยนมือธุรกิจมูลค่าการซื้อขายราว 200 ล้านยูโร ซึ่งถือเป็นจำนวนมากในธุรกิจนี้ สิ่งนี้จะทำให้ Obi กลับมาเป็นผู้นำตลาด DIY ในเยอรมนีได้อีกครั้ง”
เป็นเวลาหลายปี ที่ Obi ซึ่งถูกก่อตั้งโดยนาย Emil Lux ในปี 1970 และปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท Tengelmann Group ได้ครองอันดับหนึ่งในธุรกิจค้าปลีก การลงทุน และอสังหาริมทรัพย์ แต่พอถึงปีงบประมาณ 2023 บริษัท Bauhaus กลับสามารถแซงหน้า Obi ในตลาด DIY ได้ ทั้งนี้ ไม่ใช่เพราะ Bauhaus เปิดร้านสาขาใหม่เพิ่ม แต่เพราะ Bauhaus สามารถเพิ่มผลประกอบการในพื้นที่เดิมได้อย่างมีนัยสำคัญ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่าน Bauhaus ซึ่งยังเป็นธุรกิจครอบครัวที่ไม่ชอบออกสื่อ และศูนย์กลางบริษัทตั้งอยู่ในสวิตเซอร์แลนด์ สามารถกวาดรายได้ประจำปีมากกว่า 2,300 ยูโรต่อ 1 ตารางเมตรของพื้นที่ร้าน จะมีก็เพียงบริษัท Hornbach เท่านั้น ที่นำหน้าในธุรกิจดังกล่าวเพราะสามารถสร้างรายได้ประจำปีต่อ 1 ตารางเมตร น้อยกว่า 3,000 ยูโร เล็กน้อย อย่างไรก็ตามปัจจุบัน Obi สามารถสร้างรายได้ประจำปีต่อ 1 ตารางเมตรได้เพียงประมาณ 1,500 ยูโรเท่านั้น ด้านนาย Sebastian Gundel ซีอีโอของ Obi ได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Handelsblatt ถึง “กลยุทธ์ที่ชัดเจนสำหรับอนาคต” โดยเป้าหมายหลักของเขา คือ ปรับปรุงธุรกิจของร้านค้าปลีกของบริษัทและจัดหมวดหมู่สินค้าใหม่ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น และกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า “เรากำลังเห็นผลเชิงบวกจากการจัดการดังกล่าวบนพื้นที่ของเรา” ในปีที่ผ่านมา Obi สามารถรักษายอดขายในเยอรมนีได้ที่ 4.2 พันล้านยูโร ซึ่ง Gundel เน้นย้ำว่า “ตัวเลขดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ยอดขายของเราดีขึ้นกว่าอัตราเฉลี่ยในตลาด DIY 1.5%” ในเวลาเดียวกัน Obi สามารถปรับปรุงผลกำไร และเพิ่มผลการดำเนินงานได้ 100 ล้านยูโร และขณะนี้ยังสามารถขยายตัวด้วยพันธมิตรธุรกิจแฟรนไชส์กับนักธุรกิจรายใหม่ และยังเข้าไปซื้อกิจการร้าน DIY จำนวน 13 สาขา ในสวิตเซอร์แลนด์อีกด้วย นาย Gundel กล่าวว่า “สิ่งนี่แสดงให้เห็นว่า เราเป็นหนึ่งในผู้ชนะในวิกฤติธุรกิจ DIY อย่างแน่นอน”
นาย Gundel ผู้บริหาร Obi คาดว่า เยอรมนีกำลังเดินหน้าในทิศทางเดียวกับที่สหรัฐฯ หรือสหราชอาณาจักร ซึ่งจะกลายเป็นตลาด DIY ที่ผู้นำตลาดมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 40% ถึง 50% “แต่เราไม่รู้ว่า มันจะเกิดขึ้นเร็วแค่ไหน” ทั้งนี้ การแข่งขันในตลาดเยอรมนีกำลังดำเนินอย่างต่อเนื่อง “แต่เราหวังว่า ภาคธุรกิจ DIY น่าจะมีการรวมตัวกันได้มากขึ้น และหลังจากนี้เราก็จะกลับมาฟื้นตัวแข็งแกร่งยิ่งขึ้น” ห้าง Toom ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ Rewe เองก็กระตือรือร้นและต้องการที่จะมีบทบาทในตลาด DIY ของเยอรมัน โดยนาย Kunath รองผู้บริหารบริษัท Rewe ให้สัมภาษณ์ต่อสำนักข่าว Handelsblatt ว่า “เนื่องจากเราไม่มีธุรกิจในต่างประเทศ เราจึงต้องหาทางเติบโตในเยอรมนีให้ได้ ดังนั้น หากห้างของเราห้างไหนหรือผู้ค้าปลีกขนาดเล็กของเรารายไหนประสบปัญหาเราก็จะต้องเร่งดำเนินการตรวจสอบโดยด่วน” เพราะห้าง DIY ขนาดเล็กบางห้างก็เรียกได้ว่า มีขนาดเล็กเกินไปที่จะสามารถสู้ได้ด้วยตัวเอง โดยบริษัท Toom ต้องการเดินตามเส้นทางธุรกิจเดียวกันกับ Obi ด้วยการเปิดขายระบบแฟรนไชส์เป็นหลัก ปัจจุบัน Toom เป็นเจ้าของร้านค้ากว่า 30 แห่ง ที่ดำเนินการโดยผู้ค้าปลีกอิสระภายใต้ชื่อห้าง Toom ซึ่งนาย Kunath กล่าวว่า “เรามีความยินดีที่จะต้อนรับพันธมิตรรายใหม่ ๆ เข้ามาในระบบของเราร่วมกันและผมมองเห็นว่า Toom เป็นทางเลือกที่ดี” นอกจากนี้ Rewe ได้เจรจาเพื่อเข้าซื้อกิจการบริษัท Hellweg คู่แข่งอย่างสมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม ความตั้งใจดังกล่าวได้ล้มเหลวไป เนื่องจาก “เราไม่สามารถตกลงราคากับเจ้าของ Hellweg ได้ ในความคิดของผมมันคงจะดีทีเดียวหากประสบความสำเร็จ แต่ก็ต้องเสียดายที่มันไม่สัมฤทธิ์ผลตามที่ตั้งใจไว้” โดยนาย Semer เจ้าของห้าง Hellweg เองก็ได้ยุติความร่วมมือในการจัดซื้อสินค้าร่วนกันกับบริษัท Rewe ในเวลาต่อมา และกำลังมองหาพันธมิตรรายใหม่ที่แข็งแกร่งกว่าเพื่อที่จะสามารถตอบสนองความต้องการของร้านค้าประมาณ 130 แห่ง ภายใต้ยี่ห้อ Hellweg และ Baywa ได้ โดยหลังจากนี้ ก็มีการหารือกับกลุ่ม Hagebau เกี่ยวกับความร่วมมืออยู่ แต่ก็สิ้นสุดลงโดยไม่ประสบผลสำเร็จ ตามแหล่งข่าวของนาย Hoog ผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจ DIY มองเห็นจุดอ่อนพื้นฐานของรูปแบบธุรกิจของธุรกิจ DIY โดยห้างขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่ถึง 30,000 ตารางเมตร ประสบปัญหาในการหาลูกค้าได้เพียงพอมากขึ้นเรื่อย ๆ เขากล่าวว่า “พวกเขาพบว่า มันยากมากขึ้นเรื่อย ๆ ที่จะใช้พื้นที่ที่มีให้มีประสิทธิภาพเพียงพอ”
นาย Hoog กล่าวว่า ในเยอรมนีมีพื้นที่ในภาคธุรกิจ DIY มากเกินไป และความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ร้าน DIY เองก็ต้องเก็บสินค้าไว้ในสต็อกจำนวนมากตลอดเวลาทำให้ต้องใช้เงินทุนจำนวนมหาศาลกับเรื่องดังกล่าว สต็อกสินค้าจึงกลายเป็นปัญหาต่อสภาพคล่องของบริษัท กลุ่มบริษัท Hagebau สามารถสร้างรายได้ประจำปีต่อ 1 ตารางเมตรได้เพียงเพียง 1,300 ยูโรเศษเท่านั้น ซึ่งเรียกได้ว่า อยู่ในระดับล่าง ๆ ของห้าง DIY ขนาดใหญ่แล้ว และมีข้อบ่งชี้ชัดเจนว่า กลุ่มฯ กำลังต่อสู้อย่างหนักเพียงใดกับสถานการณ์ตลาดที่เรียกได้ว่า ยากลำบากในปัจจุบัน และต้นทุนที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตำแหน่งงานในสำนักงานใหญ่ของบริษัท Hagebau จำนวนมากกว่า 70 ตำแหน่ง จากทั้งหมด 800 ตำแหน่ง ได้ถูกลดลงแล้ว บริษัท Hagebau สามารถลดต้นทุนได้เกือบสิบล้านยูโร ผ่านโครงการลดค่าใช้จ่ายของบริษัท ในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา นาย Jan Buck-Emden ซีอีโอของบริษัทได้ลาออกจากบริษัทฯ ตำแหน่งของเขาก็ว่างไว้กรรมการอีกสามคนที่เหลือก็แบ่งหน้าที่รับงานของอดีตซีอีโอไป นาย Hoog ผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจ DIY เตือนว่า “กลุ่มบริษัท Hagebau หรือกลุ่มอื่น ๆ จะต้องแสดงให้เห็นเหตุผลในการดำรงอยู่ของพวกเขา และหาทางขยายมูลค่าเพิ่มให้กับสมาชิก ถ้าหากพวกเขาไม่สามารถทำแบบนั้นได้ ก็เป็นไปได้ที่สมาชิกในกลุ่มบริษัทของพวกเขาจะเปลี่ยนไปใช้ระบบที่แข็งแกร่งกว่า” แน่นอนการสูญเสียตลาด ได้ส่งผลกระทบต่อ Hagebau เนื่องจากบริษัทกำลังสูญเสียกำลังการซื้อที่สำคัญ นาย Frank Staffelt กรรมการผู้จัดการของ Hagebau อธิบายว่า “ในฐานะผู้ให้สิทธิ์แฟรนไชส์ เราถือว่า การพัฒนาไปในทิศทางดังกล่าวเป็นเรื่องวิกฤติ และติดต่อกับพันธมิตรของเราอย่างใกล้ชิดเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับความร่วมมือในอนาคตต่อไป” อย่างไรก็ตาม ถือเป็นภาระทางการเงินสำหรับผู้ประกอบการร้าน DIY ทุกร้านในการเปลี่ยนระบบแฟรนไชส์แต่ละครั้ง ในกรณีนี้ห้างร้านจะต้องปรับเปลี่ยนตัวเองเป็นแบรนด์ใหม่ รวมถึงเปลี่ยนชั้นวางสินค้าต่าง ๆ อีกด้วย นาย Gundel ซีอีโอของ Obi กล่าวว่า “ต้นทุนที่เกิดขึ้นนี้มีมูลค่าสูงที่สุดเทียบเท่ากับการขายสินค้าเก่าออกไป” แต่นาย Gundel ก็ยังเน้นย้ำด้วยว่า “สำหรับพันธมิตรใหม่ การเปลี่ยนมาใช้ระบบแฟรนไชส์ของ Obi ถือว่าคุ้มค่าทางเศรษฐกิจมาก ไม่เช่นนั้นพวกเขาคงไม่ทำ” ด้วยการวางแผนที่ดี และการเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป ห้างร้านค่าสินค้าสมาชิกของ Obi สามารถปรับโครงสร้างใหม่ได้ผ่านการประหยัดทรัพยากร และสุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด นาย Gundel เปิดเผยว่า “ยังมีการสนับสนุนทางการเงินจาก Obi สำหรับการเปลี่ยนแปลงนี้ด้วย”
จาก Handelsblatt 9 มิถุนายน 2568