คาดการณ์ GDP per capita ของชิลีเพิ่มขึ้นถึง 42,000 เหรียญสหรัฐภายในปี 2030

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund: IMF) ได้ปรับการคาดการณ์รายได้ประชากรต่อหัวหรือผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติต่อหัว (GDP per capita) ของชิลีที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น อยู่ที่ 35,146 เหรียญสหรัฐภายในปีนี้ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ที่อยูในระดับ 34,788 เหรียญสหรัฐ แม้ว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของชิลีจะมีแนวโน้มลดลง

 

จากการคาดการณ์ของ IMF ชิลีจะมีรายได้ต่อหัวเกินกว่า 40,000 เหรียญสหรัฐ ภายในปี 2572 และจะสูงถึง 42,204 เหรียญสหรัฐ ภายในปี 2573 โดยจากข้อมูลการคาดการณ์ดังกล่าว พบว่ารายได้ต่อหัวของชิลีมีระดับสูงเกินกว่าค่ามาตรฐานของรายได้ต่อหัวในระดับภูมิภาคที่ IMF คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 22,292 เหรียญสหรัฐ และจะอยู่ที่ระดับ 27,490 เหรียญสหรัฐ ภายในปี 2573 อย่างไรก็ดี รายได้ต่อหัวของชิลียังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าประเทศปานามา และอุรุกวัย ซึ่ง IMF คาดการณ์ว่าภายในปี 2568 จะมีรายได้ต่อหัวสูงถึง 43,839 เหรียญสหรัฐ และ 37,060 เหรียญสหรัฐ ตามลำดับ โดยภายในปี 2573 ประเทศปานามา และอุรุกวัย จะมีรายได้ต่อหัวสูงถึง 56,011 เหรียญสหรัฐและ 45,720 เหรียญสหรัฐ ตามลำดับ ทั้งนี้ ประเทศในภูมิภาคลาตินอเมริกาที่มีรายได้ต่อหัวต่ำกว่าชิลี ในปี 2568 ได้แก่ อาร์เจนตินา (31,379 เหรียญสหรัฐ) เม็กซิโก (25,462 เหรียญสหรัฐ) โคลอมเบีย (22,421 เหรียญสหรัฐ) และเปรู (18,688 เหรียญสหรัฐ) ตามลำดับ[1]

 

ที่ผ่านมาชิลีมีพัฒนาการผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติต่อหัว (Gross Domestic Product per capita) ต่ำที่สุดที่ระดับ 5,930 เหรียญสหรัฐ ในปี 2533 ที่ปรากฏในระบบการจัดเก็บข้อมูลสมัยใหม่ และตั้งแต่ปี 2533 – 2566 รายได้ต่อหัวเฉลี่ยของชิลีอยู่ที่ระดับ 17,045 เหรียญสหรัฐ โดยในปี 2567 ชิลีมีรายได้ต่อหัวสูงที่สุดที่ระดับ 33,760 เหรียญสหรัฐ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า ที่ระดับ 32,310 เหรียญสหรัฐ[2] โดยรายได้ต่อหัวที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจของชิลีและการปรับปรุงมาตรฐานการครองชีพ

 

บทวิเคราะห์/ ข้อคิดเห็นจาก สคต. ณ กรุงซันติอาโก

ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) วัดผลผลิตทางเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ และความแตกต่างกันอย่างมากของ GDP ต่อหัว สะท้อนให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำในการพัฒนาเศรษฐกิจและมาตรฐานการครองชีพ ชิลีถือเป็นประเทศที่มีรายได้ต่อหัวค่อนข้างสูง ซึ่งแสดงถึงรายได้และกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้รสนิยมและการเลือกใช้สินค้าที่มีคุณภาพและราคาสูงขึ้น นอกจากนี้ ชิลีถูกจัดให้เป็นหนึ่งในประเทศที่มีความเจริญมากที่สุดในภูมิภาคลาตินอเมริกา โดยเป็นผู้นำในด้านต่าง ๆ เช่น ความสามารถทางการแข่งขัน รายได้ต่อหัว เสรีภาพทางเศรษฐกิจ เป็นต้น โดยในปี 2549 ชิลีเป็นประเทศที่มีรายได้ต่อหัวสูงที่สุดในภูมิภาคลาตินอเมริกา และในปี 2553 ชิลีเป็นประเทศแรกในภูมิภาคลาตินอเมริกาที่เข้าร่วมในองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organization for Economic Co-operation and Development: OECD) นอกจากนี้ ชิลีเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วภายหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากนโยบายการฉีดวัคซีนป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ให้กับประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว ทำให้ประชาชนและนักลงทุนเกิดความมั่นใจ ส่งผลให้เศรษฐกิจของชิลีฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเดียวกัน รวมทั้งเป็นประเทศที่สามารถรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ แม้เศรษฐกิจภาพรวมของโลกจะอยู่ในช่วงชะลอตัว

จากการที่ IMF ได้ปรับเพิ่มตัวเลขการคาดการณ์รายได้ต่อหัวของชิลี รวมถึงประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคลาตินอเมริกา ถือเป็นสัญญาณที่ดี โดย สคต.ฯ คาดว่าตัวเลขการนำเข้าสินค้าจากไทยของชิลีน่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้น หากเศรษฐกิจของชิลีมีแนวโน้มดีขึ้น คาดว่าตัวเลขการนำเข้าจากไทยน่าจะดีขึ้นเช่นกัน อย่างไรก็ดี แม้ว่าชิลีมีการนำเข้าจากไทยลดลงภายหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในปี 2563 เนื่องจากปัจจัยหลายประการ เช่น การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก การเปลี่ยนแปลงความต้องการสินค้าเฉพาะ การแข่งขันจากตลาดอื่น เป็นต้น อย่างไรก็ดี ชิลีมีแนวโน้มนำเข้าสินค้าจากไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ 2566 จนถึงปี 2568 (มกราคม – เมษายน) โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มยางและผลิตภัณฑ์จากยาง (พิกัดศุลกากร 40) และเหล็ก เหล็กกล้า (พิกัดศุลกากร 73) ทั้งนี้ หากเปรียบเทียบการนำเข้าสินค้าของชิลีจากไทยระหว่างเดือนมกราคม – เมษายน 2568 พบว่า ชิลีนำเข้าสินค้าจากไทยเพิ่มขึ้นคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 30 หรือคิดเป็นมูลค่า 209 ล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยสินค้าที่มีการขยายตัวของการนำเข้าสูงที่สุด ได้แก่ เครื่องจักรกล (พิกัดศุลกากร 84) อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป (พิกัดศุลกากร 16) ผลิตภัณฑ์ยาง (พิกัดศุลกากร 40) ผลิตภัณฑ์พลาสติก (พิกัดศุลกากร 39) เหล็ก เหล็กกล้า (พิกัดศุลกากร 73) และผัก ผลไม้กระป๋องและแปรรูป (พิกัดศุลกากร 20)

อย่างไรก็ดี ชิลีถือเป็นตลาดที่มีทั้งโอกาสและความท้าทาย เนื่องจากชิลีมีการจัดทำความตกลงทางการค้าจำนวน 33 ฉบับ ครอบคลุม 65 เขตเศรษฐกิจ (รวมทั้งประเทศไทย) ทำให้ตลาดชิลีมีอัตราการแข่งขันค่อนข้างสูง แม้ประชากรชิลีจะมีรายได้ต่อหัวเพิ่มขึ้น ราคาสินค้ายังคงเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้า ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยจึงจำเป็นต้องรักษาความสามารถในการแข่งขันทั้งในด้านคุณภาพและราคาสินค้า มีการใช้นวัตกรรมในการพัฒนาสินค้าให้มีความแตกต่างจากคู่แข่ง

__________________________

 

สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงซันติอาโก

มิถุนายน 2568

 

[1] Local economic newspaper – https://www.df.cl/economia-y-politica/macro/sube-pib-per-capita-previsto-para-el-pais-hacia-2030-superara-los-us-42

[2] International Monetary Fund – https://www.imf.org/external/datamapper/PPPPC@WEO/CHL?zoom=CHL&highlight=CHL

thThai