แนวโน้มการบริโภคกาแฟของชาวเยอรมัน ปี 2568

กาแฟเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมอย่างมากในเยอรมนี ตลาดเยอรมันถือว่าเป็นหนึ่งในตลาดกาแฟที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากประเทศบราซิล ปริมาณ 636 ล้านกิโลกรัมต่อปี ในปี 2567 ชาวเยอรมันบริโภคกาแฟเฉลี่ยคนละ 163 ลิตร ซึ่งปริมาณเท่ากับระดับก่อนเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จากข้อมูลของสมาคมกาแฟแห่งเยอรมนี ระบุว่าในปี 2564 – 2565 ช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด -19 ชาวเยอรมันมีการบริโภคกาแฟเพิ่มขึ้นเฉลี่ยสูงสุดถึงคนละ 169 ลิตร  

 

แนวโน้มการบริโภคกาแฟของชาวเยอรมัน

กาแฟแบบยั่งยืน

ชาวเยอรมันมีแนวโน้มในการเลือกบริโภคกาแฟที่ยั่งยืนมากขึ้น ปัจจุบันผลิตภัณฑ์กาแฟประมาณร้อยละ 20 ที่วางจำหน่ายในตลาดมีตราสัญลักษณ์รับรองความยั่งยืน รวมถึงกาแฟที่ได้รับตราสัญลักษณ์ออร์แกนิก Fairtrade และ Rainforest Alliance ผลิตภัณฑ์กาแฟในกลุ่มนี้มีอัตราการเติบโตสูงถึงร้อยละ 8.6

กาแฟสำเร็จรูปและกาแฟผสมสำเร็จรูป

Mr. Holger Preibisch ประธานกรรมการผู้จัดการของสมาคมกาแฟแห่งเยอรมนีระบุว่า กาแฟสำเร็จรูปแบบดั้งเดิมเติบโตขึ้นประมาณร้อยละ 2 แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมากาแฟผสม ซึ่งเป็นกาแฟสำเร็จรูปแบบเสิร์ฟครั้งเดียวที่มีการผสมน้ำตาลและนมผงไว้แล้ว ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น มียอดขายเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 6 ในปี 2567 ถือว่าเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในช่วงสิบปีที่ผ่านมา

เมล็ดกาแฟคั่วได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น

ข้อมูลจากบริษัทวิจัยตลาด YouGov พบว่าเมล็ดกาแฟคั่วได้รับความนิยมในผู้บริโภคชาวเยอรมันเพิ่มขึ้นในปี 2567 จากเดิมร้อยละ 31 เป็นร้อยละ 41 ซึ่งเป็นผลมาจากเครื่องชงกาแฟอัตโนมัติที่ได้รับความนิยมแพร่หลายมากขึ้น

 

ความท้าทายของตลาดกาแฟในเยอรมนี

ผู้บริโภครุ่นใหม่ดื่มกาแฟน้อยลง

บริษัทวิจัยตลาด YouGov Shopper Intelligence ระบุว่าการเติบโตของสินค้ากาแฟกำลังถึงจุดอิ่มตัวผู้บริโภคที่รุ่นใหม่ดื่มกาแฟน้อยลงหรือเลือกที่จะดื่มกาแฟนอกบ้าน โดยเฉพาะกลุ่มผู้บริโภค Gen Z ที่เลือกบริโภคเครื่องดื่มชูกำลังถึงสองในสามแทนการดื่มกาแฟ

กฎระเบียบการนำเข้าที่เข้มงวดขึ้น

EU Deforestation Regulation (EUDR) เป็นกฎหมายสินค้าปลอดการตัดไม้ทำลายป่าโดยห้ามนำเข้าสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการทำลายป่าหรือการทำให้ป่าเสื่อมโทรมเข้าสู่สหภาพยุโรป ซึ่งสินค้าที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ น้ำมันปาล์ม ถั่วเหลือง ไม้ โกโก้ กาแฟ ปศุสัตว์ และยางพารา มีผลบังคับใช้ในวันที่ 30 ธันวาคม 2568 สำหรับบริษัทขนาดใหญ่ และวันที่ 30 มิถุนายน 2569 สำหรับบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็ก โดยผู้ประกอบการส่งรายงานการตรวจสอบตลอดห่วงโซ่การผลิต (Due Diligence Statement) เพื่อพิสูจน์ว่าสินค้าไม่เกี่ยวข้องกับการทำลายป่า มีกระบวนการผลิตถูกต้องตามกฎหมายและใช้แรงงานอย่างเป็นธรรม ซึ่งกระบวนการดังกล่าวทำให้ผู้ผลิตและผู้ส่งออกเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้น ส่งผลให้ราคาสินค้าเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

ราคากาแฟเพิ่มสูงขึ้น

สำนักงานสถิติแห่งชาติของสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี (Destatis) ระบุว่าราคากาแฟสำหรับผู้บริโภคปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมากในเดือนเมษายน ปี 2568 เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.2 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งสูงกว่าราคาอาหารทั่วไปเฉลี่ยที่ปรับราคาเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.8 และอัตราเงินเฟ้อร้อยละ 2.1 นอกจากนี้ คณะกรรมาธิการยุโรปกำลังพิจารณาการเก็บภาษีนำเข้ากาแฟจากอินเดีย ซึ่งเป็นคู่ค้ากาแฟลำดับที่ 16 ของเยอรมนีสูงถึงร้อยละ 20 เพื่อเป็นเครื่องมือกดดันทางการเมือง โดย Mr. Holger Preibisch ประธานกรรมการผู้จัดการสมาคมกาแฟแห่งเยอรมนี กล่าวว่า การเก็บภาษีนำเข้าดังกล่าวจะทำให้ราคากาแฟในตลาดเพิ่มสูงขึ้น และยังทำลายความพยายามในการสร้างห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืนในอุตสาหกรรมกาแฟ

การนำเข้ากาแฟของเยอรมนี

เยอรมนีนำเข้ากาแฟจากทั่วโลกมูลค่า 1,429 ล้านเหรียญสหรัฐ (ม.ค. – มี.ค. 68) เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.41 เมื่อเทียบช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ปริมาณการนำเข้าลดลงจาก 311,440 ตัน ในปี เหลือ 217,574 ตัน ในปี 2568 หรือลดลงประมาณร้อยละ 30 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา การนำเข้าส่วนใหญ่มาจากประเทศบราซิล เวียดนาม โคลัมเบีย ฮอลดูลัส และเอธิโอเปีย ตามลำดับ

ประเทศไทยยังมีสัดส่วนการนำเข้าจากเยอรมนีในระดับต่ำ ส่วนใหญ่เป็นผลิตภัณฑ์เมล็ดกาแฟคั่ว ในปี 2567 (ม.ค. – ธ.ค) มูลค่านำเข้าสินค้ากาแฟจากไทยคิดเป็นมูลค่า 145,581 เหรียญสหรัฐ และ ในปี 2568 (ม.ค. – มี.ค.) มูลค่า 2,162 เหรียญสหรัฐ ลดลงร้อยละ 35.65 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา

 

ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะของ สคต.

  1. เยอรมนีเป็นหนึ่งในตลาดที่ใหญ่มากของยุโรป แต่ก็มีกฎระเบียบที่เข้มงวดในการนำเข้าเมล็ดกาแฟ โดยเฉพาะข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อมและความโปร่งใสของห่วงโซ่อุปทาน ผู้ส่งออกไทยที่ต้องการขยายตลาดเข้ามาในเยอรมนีควรเตรียมพร้อมปรับตัวและผลิตสินค้าตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคและกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนของสหภาพยุโรป
  2. ผู้ประกอบการควรเน้นการผลิตกาแฟพิเศษ กาแฟออร์แกนิก Fairtrade และผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มอื่นๆ อาทิ กาแฟสำเร็จรูปเกรดสูง กาแฟแคปซูล และกาแฟเย็น เป็นต้น รวมทั้งการสร้างแบรนด์ให้มีเอกลักษณ์ มีเรื่องราวเบื้องหลังเพื่อให้แตกต่างจากสินค้าอื่นในตลาด ถือเป็นการเพิ่มโอกาสและมูลค่าการส่งออกกาแฟไทย
  3. เพิ่มโอกาสในการพบผู้นำเข้าจากประเทศเยอรมนีและยุโรปโดยการเข้าร่วมงานแสดงสินค้าที่เกี่ยวข้อง อาทิ (1) งานแสดงสินค้า World of Coffee ณ เมืองเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ (2) งานแสดงสินค้า ANUGA ณ เมืองโคโลญ ประเทศเยอรมนี (3) งานแสดงสินค้า BIOFACH ณ เมืองเนิร์นแบร์ก ประเทศเยอรมนี เป็นต้น

 

แหล่งที่มา:

www.br.de

www.ernaehrungsindustrie.de

www.kaffeeverband.de

www.cornercoffeestore.com

www.lebensmittelpraxis.de

อ้างอิงรูปภาพ

Photo by Nathan Dumlao on Unsplash

thThai