เวียดนามตั้งคณะทำงานพิเศษลุยปราบลักลอบนำเข้าสินค้าผิดกฎหมาย สินค้าปลอม คุมเข้มทั่วประเทศ

เนื้อข่าว

สำนักข่าวเวียดนาม (Vietnam News Agency: VNA) รายงานว่า นาย Bui Thanh Son รองนายกรัฐมนตรี ได้ลงนามในคำสั่งเลขที่ 950/QĐ-TTg ว่าด้วยการจัดตั้งคณะทำงานของนายกรัฐมนตรีเพื่อเร่งรัดการปราบปรามการลักลอบนำเข้าสินค้าผิดกฎหมาย การฉ้อโกงทางการค้า และการจำหน่ายสินค้าปลอมแปลง

นาย Bui Thanh Son รองนายกรัฐมนตรี จะทำหน้าที่เป็นหัวหน้าคณะทำงานดังกล่าว ควบคู่กับบทบาทหัวหน้าคณะกรรมการอำนวยการแห่งชาติหมายเลข 389 (Steering Committee 389) ซึ่งรับผิดชอบโดยตรงต่อการป้องกันและปราบปรามกิจกรรมผิดกฎหมายทางเศรษฐกิจในระดับชาติ โดยมีรองหัวหน้าคณะทำงาน ได้แก่ นาย Vo Minh Luong รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม นาย Nguyen Ngoc Lam รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ นาย Nguyen Duc Chi รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และนาย Nguyen Sinh Nhat Tan รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าพร้อมด้วยสมาชิกที่เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการหรือรองผู้อำนวยการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

คณะทำงานนี้มีบทบาทสำคัญในการกำกับ ตรวจสอบ และติดตามผลการดำเนินงานของกระทรวง หน่วยงานภาครัฐ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล นายกรัฐมนตรี และคณะกรรมการอำนวยการ 389 อย่างเคร่งครัด โดยเน้นการต่อต้านการลักลอบนำเข้าสินค้าผิดกฎหมาย การฉ้อโกงทางการค้า การผลิตและจำหน่ายสินค้าปลอม รวมถึงการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา นอกจากนี้ คณะทำงานยังมีอำนาจสั่งการให้มีการตรวจสอบ และเสนอแนวทางดำเนินการกับองค์กรหรือบุคคลที่ละเลยหน้าที่ ขาดความรับผิดชอบ หรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิด รวมถึงสามารถร้องขอข้อมูลหรือเอกสารที่จำเป็นจากหน่วยงานต่าง ๆ ได้ตามความเหมาะสม

เมื่อสิ้นสุดช่วงเวลาปฏิบัติการ คณะทำงานจะจัดทำรายงานสรุปผล ประเมินสถานการณ์ และนำเสนอแนวทางปรับปรุงการดำเนินงานในอนาคตเสนอต่อนายกรัฐมนตรี เพื่อยกระดับประสิทธิภาพในการต่อต้านอาชญากรรมทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ คณะทำงานดังกล่าวมีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงต่อนายกรัฐมนตรี โดยสมาชิกทุกคนจะต้องปฏิบัติงานควบคู่กับตำแหน่งเดิมของตน พร้อมทั้งรายงานผลการปฏิบัติงานตามระยะเวลาที่กำหนด หรือตามคำร้องขอจากนายกรัฐมนตรี

สำนักงานคณะกรรมการอำนวยการ 389 ยังทำหน้าที่เป็นฝ่ายเลขานุการของคณะทำงาน โดยรับผิดชอบการประสานงาน จัดเตรียมเอกสาร และจัดทำรายงานอย่างเป็นระบบ เพื่อสนับสนุนภารกิจของคณะทำงานให้ดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ

 (แหล่งที่มา https://thesaigontimes.vn/ ฉบับวันที่ 18 พฤษภาคม 2568)

วิเคราะห์ผลกระทบ

ในช่วงต้นปี 2568 รัฐบาลเวียดนามได้ยกระดับความเข้มงวดในการปราบปรามการลักลอบนำเข้าสินค้าผิดกฎหมาย การฉ้อโกงทางการค้า และการจำหน่ายสินค้าลอกเลียนแบบอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะในระดับท้องถิ่น ซึ่งสามารถตรวจจับและดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดได้มากกว่า 34,000 คดี แบ่งออกเป็นกรณีค้าขายหรือขนส่งสินค้าต้องห้ามและสินค้าหลีกเลี่ยงภาษีประมาณ 8,200 คดี กรณีฉ้อโกงทางการค้าและหลีกเลี่ยงภาษีกว่า 25,100 คดี และกรณีละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาและสินค้าปลอมอีกกว่า 1,100 คดี การบังคับใช้กฎหมายเหล่านี้ไม่เพียงแต่ส่งผลให้รัฐสามารถจัดเก็บรายได้เข้าคลังได้กว่า 4.90 ล้านล้านเวียดนามด่งเท่านั้น แต่ยังนำไปสู่การดำเนินคดีอาญาจำนวนเกือบ 1,400 คดี และดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดมากกว่า 2,100 ราย

เพื่อผลักดันให้มาตรการควบคุมดังกล่าวมีประสิทธิภาพและครอบคลุมยิ่งขึ้น นายกรัฐมนตรีเวียดนามจึงมีคำสั่งเปิดปฏิบัติการเชิงรุกทั่วประเทศ มุ่งเน้นการปราบปรามการลักลอบนำเข้าสินค้าผิดกฎหมายและการฉ้อโกงทางการค้าอย่างเข้มข้น ระหว่างวันที่ 15 พฤษภาคม ถึง 15 มิถุนายน 2568 พร้อมกำหนดให้มีการประเมินผลการดำเนินงานอย่างเป็นระบบ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการดำเนินมาตรการระยะยาวในบริบทของความพยายามเชิงรุกนี้ นาย Bui Thanh Son รองนายกรัฐมนตรี ได้ลงนามในคำสั่งเลขที่ 950/QĐ-TTg เพื่อจัดตั้งคณะทำงานของนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีภารกิจหลักในการเร่งรัดและกำกับดูแลการปราบปรามการค้าสินค้าผิดกฎหมาย การฉ้อโกงทางการค้า และสินค้าลอกเลียนแบบ โดยนาย Bui Thanh Son ดำรงตำแหน่งหัวหน้าคณะทำงาน ควบคู่กับตำแหน่งประธานคณะกรรมการอำนวยการแห่งชาติหมายเลข 389 ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักด้านการต่อต้านอาชญากรรมทางเศรษฐกิจของประเทศ

คณะทำงานชุดนี้ประกอบด้วยรองหัวหน้าจาก 4 กระทรวงหลัก ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงความมั่นคงสาธารณะ กระทรวงการคลัง และกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อส่งเสริมการทำงานแบบบูรณาการและลดปัญหาความซ้ำซ้อนที่เคยเกิดขึ้นในอดีต เช่น ข้อมูลจากองค์การศุลกากรเวียดนามในปี 2565 ระบุว่า มีคดีลักลอบนำเข้าสินค้าผิดกฎหมายกว่า 25,000 คดี ซึ่งจำนวนไม่น้อยประสบปัญหาความล่าช้าอันเกิดจากการประสานงานที่ไม่เป็นระบบและขาดกลไกติดตามผลที่มีประสิทธิภาพ

ภารกิจของคณะทำงานครอบคลุมตั้งแต่การติดตาม ตรวจสอบ และกำกับดูแลการดำเนินงานของหน่วยงานต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ไปจนถึงการมีอำนาจสั่งการ ตรวจสอบ และเสนอแนะแนวทางการลงโทษกรณีพบความบกพร่องหรือละเลยหน้าที่

ทั้งนี้ คณะทำงานยังสามารถขอรับข้อมูลหรือเอกสารที่จำเป็นต่อการปฏิบัติงานได้โดยตรง และเมื่อสิ้นสุดช่วงเวลาปฏิบัติการ คณะทำงานจะจัดทำรายงานสรุปผล ประเมินสถานการณ์ และนำเสนอข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลเพื่อพิจารณาดำเนินการในระยะต่อไป นอกจากนี้ สำนักงานคณะกรรมการอำนวยการ 389 ยังทำหน้าที่เป็นฝ่ายเลขานุการของคณะทำงาน โดยรับผิดชอบการประสานงาน จัดเตรียมเอกสาร และจัดทำรายงานอย่างเป็นระบบ เพื่อสนับสนุนภารกิจของคณะทำงานให้ดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ

การจัดตั้งคณะทำงานระดับชาติในครั้งนี้นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของเวียดนามในการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและระบบการค้าที่โปร่งใสในระยะยาว เนื่องจากการลักลอบนำเข้าและการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญายังคงเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยจากรายงานขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WIPO) พบว่า ในปี 2566 เวียดนามสูญเสียรายได้ภาษีและมูลค่าเศรษฐกิจรวมมากกว่า 1,700 ล้านเหรียญสหรัฐ จากกรณีการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาเพียงอย่างเดียว

ดังนั้น มาตรการของรัฐบาลในครั้งนี้จึงสะท้อนถึงเจตจำนงทางการเมืองที่ชัดเจนในการยกระดับการบังคับใช้กฎหมายให้มีประสิทธิภาพและเป็นธรรมมากยิ่งขึ้น ซึ่งไม่เพียงแต่สร้างความเชื่อมั่นให้แก่ภาคธุรกิจและผู้ประกอบการในประเทศเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญญาณเชิงบวกต่อประชาคมโลก โดยเฉพาะประเทศคู่ค้า นักลงทุนต่างชาติ และองค์กรระหว่างประเทศที่ให้ความสำคัญกับธรรมาภิบาล ความโปร่งใส และมาตรฐานทางกฎหมายในห่วงโซ่อุปทานระดับโลก

นำเสนอโอกาส/แนวทาง

การจัดตั้งคณะทำงานระดับชาติเพื่อปราบปรามการลักลอบนำเข้าสินค้าผิดกฎหมาย การฉ้อโกงทางการค้า และการจำหน่ายสินค้าลอกเลียนแบบ ไม่เพียงสะท้อนถึงเจตจำนงทางการเมืองของรัฐบาลเวียดนามในการยกระดับธรรมาภิบาลทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศเท่านั้น หากยังเป็นสัญญาณบวกสำหรับผู้ประกอบการต่างชาติ โดยเฉพาะผู้ประกอบการไทยที่มองหาโอกาสในการขยายธุรกิจเข้าสู่ตลาดเวียดนามอย่างมั่นคงและยั่งยืน ภายใต้บริบทที่เวียดนามกำลังเร่งยกระดับกลไกกำกับดูแลการนำเข้า การตรวจสอบมาตรฐานสินค้า และการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาอย่างเป็นระบบ สินค้านำเข้าที่มีคุณภาพ ได้รับการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และผ่านการขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมายเวียดนามจะได้รับความเชื่อมั่นและการสนับสนุนจากทั้งภาครัฐและผู้บริโภค ซึ่งเริ่มให้ความสำคัญกับมาตรฐาน ความปลอดภัย และความโปร่งใสของสินค้าเพิ่มมากขึ้น

ท่ามกลางแนวโน้มดังกล่าว ผู้ประกอบการไทยสามารถใช้โอกาสนี้ในการขยายตลาดได้หลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจที่เข้มแข็งกับตัวแทนจำหน่ายหรือผู้ผลิตในท้องถิ่น การพัฒนาห่วงโซ่อุปทานที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ การส่งเสริมภาพลักษณ์แบรนด์ที่น่าเชื่อถือผ่านจุดขายด้านคุณภาพ ความปลอดภัย และความยั่งยืน ตลอดจนการศึกษาและปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการนำเข้า การติดฉลากสินค้า มาตรฐานอาหารและยา หรือการจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญา ทั้งนี้ หากผู้ประกอบการสามารถปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงนโยบาย และบริหารจัดการความเสี่ยงได้อย่างเป็นระบบ ก็จะสามารถวางรากฐานธุรกิจในเวียดนามได้อย่างมั่นคงและขยายโอกาสทางเศรษฐกิจในประเทศที่มีศักยภาพเติบโตอย่างต่อเนื่องแห่งนี้ในระยะยา

thThai