ปัจจุบันระเบียบโลกใหม่กำลังก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้น ซึ่งเป็นการยากที่จะคาดเดาได้ว่า จะเป็นไปในทิศทางใด ดังนั้น จึงป็นเรื่องที่สำคัญที่เยอรมนีและชาติอื่นในยุโรปจะต้องร่วมกันพัฒนาจุดแข็งของตนเอง เพราะคงไม่มีอะไรสำคัญไปกว่า (1) ความชัดเจน (2) จุดโฟกัสที่ถูกต้อง และ (3) ความแข็งแกร่งในการนำไปปฏิบัติได้จริง สำหรับแนวทางต่าง ๆ ที่ระบุใน MOU การจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่นั้น จะกลายเป็น “พิมพ์เขียวหรือแผนดำเนินงานของเยอรมนี” ในอนาคตต่อไป ดังนั้น เพื่อการเติบโตและการแข่งขันอย่างยั่งยืน สิ่งสำคัญที่ภาครัฐต้องส่งเสริมอุตสาหกรรมในอนาคตที่ถูกต้อง ในขณะเดียวกัน อุตสาหกรรมชั้นนำแบบดั้งเดิมต้องเร่งพัฒนาตัวเองขึ้นไปพร้อม ๆ กัน และนี่เป็นหนทางเดียวที่จะทำให้เยอรมนีจะยังรักษาการมีตัวตนในโครงสร้างอำนาจโลกต่อไปได้ เป็นเวลายาวนานแล้ว ที่อุตสาหกรรมการดูแลด้านสุขภาพได้กลายเป็นปัจจัยพื้นฐานในการสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับประเทศ แต่กลับถูกละเลยและไม่ได้ถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพมากนัก ซึ่งอุตสาหกรรมดังกล่าวเป็นอุตสาหกรรมที่มีอนาคต และมีบทบาทสำคัญเพราะเป็นอุตสาหกรรมชั้นนำที่มีพนักงานมากกว่า 8 ล้านคน ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมนี้ อีกทั้ง ยังสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับอุตสาหกรรมสร้างสรรค์หรือ Gross Value Added (GVA) ที่เกือบ 12% จึงเรียกได้ว่า อุตสาหกรรมการดูแลสุขภาพเป็นหนึ่งในเสาหลักที่สำคัญของเศรษฐกิจเยอรมัน เพราะเป็นอุตสาหกรรมที่มีนวัตกรรมและมีแรงผลักดันสูง ที่มีศักยภาพมหาศาล และเพื่อใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้อย่างเต็มที่ เราจำเป็นต้องคิดใหม่เกี่ยวกับระบบการรักษาพยาบาลในเยอรมนี ข่าวดี ก็คือ จริง ๆ แล้วระบบการรักษาพยาบาลมีเงินมากมายไม่ขาดแคลน แต่ระบบในปัจจุบันนี้ยังไม่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากนัก ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีลำดับความสำคัญเชิงกลยุทธ์ 5 ประการ ได้แก่

 

  1. ต้องพัฒนานโยบายด้านสถานที่ตั้งของอุตสาหกรรมการดูแลสุขภาพเชิงยุทธศาสตร์ หากภาครัฐไม่ให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมนี้ และไม่ปรับให้เป็นอุตสาหกรรมชั้นนำเชิงยุทธศาสตร์ เราก็จะสูญเสียอำนาจในการแข่งขัน โดยแทนที่จะทำให้อุตสาหกรรมการดูแลสุขภาพเป็น “วงจรการอุดหนุน” สิ่งที่จำเป็นในตอนนี้ ก็คือ นโยบายอุตสาหกรรมการดูแลสุขภาพเชิงกลยุทธ์ที่มีการประสานงานในระดับสหภาพยุโรป (EU) สร้างกรอบการทำงานที่ (1) ส่งเสริมการแข่งขันให้มากขึ้น (2) เปิดกว้างด้านเทคโนโลยี และ (3) ให้ความสำคัญกับการเป็นตลาดเดียว (Single Market) ของ EU สำหรับสินค้าและบริการทางการแพทย์มากยิ่งขึ้น นั้นหมายความว่า อุตสาหกรรมการดูแลสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ใน MOU เพื่อการจัดตั้งรัฐบาลจึงเป็นก้าวแรกที่สำคัญยิ่ง
  2. ต้องสร้างระบบนิเวศดิจิทัลแบบไร้รอยต่อ การเปลี่ยนผ่านระบบนิเวศเข้าสู่ระบบดิจิทัลและใช้ AI เพื่อยกระดับคุณภาพและประสิทธิภาพการรักษาให้บรรลุเป้าหมาย โดยกระบวนการต่าง ๆ จะต้องถูกปรับเป็นดิจิทัลและเชื่อมโยงกันอย่างราบรื่น ตั้งแต่ขั้นตอนของการวินิจฉัยไปจนถึงการรักษา และการดูแลหลังการรักษา ซึ่งการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ระบบดิจิทัลนั้น จะต้องเกิดขึ้นในสถานพยาบาลเป็นหลักเพื่อที่จะใช้ประโยชน์จากศักยภาพของระบบดิจิทัลให้ได้อย่างเต็มที่ ปัจจุบันประเทศใน EU อื่น ๆ มีความก้าวหน้ากว่าเยอรมนีมากในเรื่องนี้ โดยกระบวนการดังกล่าวของเยอรมนีมักจะล้มเหลว เนื่องจากมีคนจำนวนมากมองว่า กระบวนการดังกล่าวมีความขัดแย้งกันระหว่างการปกป้อง/รักษาข้อมูลส่วนบุคคล และความก้าวหน้าทางการแพทย์
  3. ต้องเปิดยุ้งฉางให้ถูกที่ถูกเวลา เพื่อให้แน่ใจว่า ผู้ป่วยจะได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ขอบเขตที่เข้มงวดจนเกินไปในการดูแลผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยในจะต้องถูกเอาออกไป เพราะขอบเขตดังกล่าวด้อยประสิทธิภาพ และสร้างต้นทุนที่เพิ่มขึ้น แม้ว่าคนไข้จะเป็นคนเดียวกันก็ตาม ซึ่งสิ่งเดียวกันนี้ก็สามารถใช้ได้กับระบบการคืนเงิน ซึ่งปัจจุบันให้ความสำคัญกับจำนวนขั้นตอนมากเกินไป แทนที่จะให้ความสำคัญกับผลลัพธ์ และคุณภาพของการรักษา ท้ายที่สุดแล้วทำให้ผู้ป่วยกลายเป็นผู้ที่เสียหาย
  4. เสริมสร้างอำนาจอธิปไตยของ EU เราไม่สามารถที่จะรับมือกับปัญหาคอขวดด้านการจัดหาวัตถุดิบ และการขาดแคลนวัตถุดิบอย่างต่อเนื่องได้อีกต่อไป การผลิตส่วนประกอบยาที่ออกฤทธิ์ ยาที่จำเป็น และผลิตภัณฑ์ที่สำคัญในระบบ เช่น ยาปฏิชีวนะ วัคซีน และยาฉุกเฉิน จะต้องเกิดขึ้นใหม่อีกครั้งใน EU เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ อุตสาหกรรมการดูแลสุขภาพไม่จำเป็นต้องได้รับเงินอุดหนุน แต่ต้องการราคาที่เป็นธรรมสำหรับผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในท้องถิ่น และที่สำคัญที่สุด คือ ความมั่นคงในการวางแผนระยะยาว
  5. ระบบราชการที่ซับซ้อนเกินไป ต้องได้รับการปรับปรุงอย่างจริงจัง แพทย์และพยาบาลเสียเวลาเฉลี่ย 3 ชั่วโมง/วัน ในการบันทึกข้อมูลต่าง ๆ แทนที่จะได้ใช้เวลานี้กับการดูแลผู้ป่วยอย่างเร่งด่วน ในตลาดเดียว (Single Market) ของ EU เราจะต้องลดอุปสรรคในการอนุมัติผลิตภัณฑ์ และการทดลองทางคลินิกลง อีกทั้ง ยังจำเป็นต้องมีการจัดทำระเบียบข้อบังคับแบบก้าวหน้าทั่วประเทศ หรือทั่วทั้ง EU โดยต้องมีการรับรองคุณสมบัติของผู้ประกอบวิชาชีพทางการแพทย์จากต่างประเทศให้เร็วขึ้น เพราะเราต้องแข่งขันหรือแย่งชิงประกอบวิชาชีพทางการแพทย์กับส่วนที่เหลือของโลก

ข้อสรุปสั้น ๆ ก็คือ ระบบการรักษาพยาบาลของเราจะต้องเป็นดิจิทัล มีความยืดหยุ่น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น จากนั้นเยอรมนีจึงจะมีโอกาสอย่างแท้จริงที่จะกลับมาเป็น “ร้านขายยาของโลก” อีกครั้ง นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาถึงการเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical) ในปัจจุบันการบริการด้านสุขภาพ และการแพทย์ในระดับพลเรือนมีบทบาทสำคัญเกี่ยวกับด้านศักยภาพของการป้องกันประเทศอีกด้วย นี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่จะต้องเสริมความแข็งแกร่ง และขยายอุตสาหกรรมการดูแลสุขภาพอย่างมีกลยุทธ์ให้เป็นอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก สิ่งนี้จำเป็นต้องมีการปรับกระบวนทัศน์[1] เกิดขึ้น การรักษาพยาบาลไม่ควรถูกมองเป็นเพียงปัจจัยด้านต้นทุนอีกต่อไป แต่ต้องเป็นปัจจัยเพื่อสร้าง ความเจริญรุ่งเรือง การสร้างงาน นวัตกรรม ความปลอดภัย และสุขภาพ ของประชากรของเราแทน

 

บทความโดยนาย Michael Sen ซีอีโอของ Fresenius

 

จาก Handelsblatt 5 พฤษภาคม 2568

[1] (กระบวนทัศน์ หรือ Paradigm หมายถึง กระบวนการคิดวิเคราะห์ วิธีคิด วิธีปฏิบัติ แนวการดำเนินชีวิตและการพัฒนาชีวิตและสังคมที่มีร่วมกันของคนกลุ่มหนึ่ง ชุมชนหนึ่งและได้ก่อตัวเป็นแบบแผน)

 

thThai