โครงการก่อสร้างโรงแรมในสหรัฐฯ ทำสถิติขยายตัวตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 2024

เนื้อหาสาระข่าว: ศูนย์ข้อมูลโรงแรม Lodging Econometrics (LE) รายงานแนวโน้มการพัฒนาโครงการก่อสร้างโรงแรมในสหรัฐฯ ในไตรมาสที่ 1 ปี 2024 ว่านับถึงช่วงปลายไตรมาส มีโครงการก่อสร้างโรงแรมที่อยู่ในขั้นพร้อมดำเนินการถึง 6,065 โครงการซึ่งจะก่อสร้างห้องพักใหม่จำนวน 702,990 ห้องพัก นับเป็นสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์โดยจำนวนโครงการก่อสร้างนั้นขยายตัวร้อยละ 9 และจำนวนห้องพักใหม่ขยายตัวร้อยละ 7 เมื่อเทียบกับปีก่อน

โครงการก่อสร้างโรงแรมในสหรัฐฯ ทำสถิติขยายตัวตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 2024 โครงการก่อสร้างโรงแรมในสหรัฐฯ ทำสถิติขยายตัวตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 2024 โครงการก่อสร้างโรงแรมในสหรัฐฯ ทำสถิติขยายตัวตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 2024

ดูได้จากรายละเอียดในขั้นตอนต่างๆ ของการดำเนินงานโครงการ ซึ่งพบว่ามีการขยายตัวในช่วงไตรมาสที่ 1 เทียบกับปีก่อนในทุกๆ ขั้นตอนการดำเนินโครงการ โดยในขณะนี้มี 1,144 โครงการมีจำนวนห้องรวม 141,336 ห้องพักที่กำลังก่อสร้างอยู่ ซึ่งจำนวนโครงการขยายตัวร้อยละ 9 และจำนวนห้องขยายตัวร้อยละ 1 เทียบปีก่อน จำนวนโครงการที่ขึ้นบัญชีเตรียมจะก่อสร้างภายใน 12 เดือนมี 2,259 โครงการซึ่งมี 260,968 ห้องพัก ซึ่งจำนวนโครงการขยายตัวร้อยละ 10 และจำนวนห้องขยายตัวร้อยละ 8 ที่น่าจับตาคือ ทั้งจำนวนโครงการและจำนวนห้องที่ยังอยู่ในขั้นตอนการวางแผนโครงการเบื้องต้นขยายตัวร้อยละ 9 ทำสถิติสูงสุดที่จำนวน 2,662 โครงการและ 300,686 ห้องพักตามลำดับ ในจำนวนโครงการทั้งหมดในขั้นตอนการดำเนินการต่างๆ กันนี้ มีโครงการที่เน้นตลาดระดับสูง ระดับกลางค่อนข้างสูง และระดับกลางรวมเกินกว่าครึ่งหนึ่ง ในช่วงไตรมาสที่ 1 นี้ ระดับกลางค่อนข้างสูง และระดับกลางทำสถิติขยายตัวสูงสุดทั้งจำนวนโครงการและจำนวนห้องพักด้วย และโครงการระดับสูงทำสถิติจำนวนโครงการขยายตัวสูงสุด

ข้อมูลล่าสุดจาก LE ยังให้ความสำคัญกับจำนวนที่หนาแน่นของแบรนด์ของโรงแรมประเภทพักอาศัยนานๆ ที่อยู่ในขั้นดำเนินการในช่วงไตรมาสแรกนี้ ซึ่งเป็นหมวดโครงการที่นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์กำลังนิยมกันมากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงหลายๆ ปีที่ผ่านมานี้ โดยแบรนด์ในหมวดนี้มีจำนวนโครงการที่กำลังก่อสร้างอยู่รวมกันถึงร้อยละ 37 มีโครงการที่มีแผนจะเริ่มก่อสร้างภายใน 12 เดือนถึงร้อยละ 41 และโครงการที่ยังอยู่ในขั้นวางแผนเบื้องต้นรวมร้อยละ 39 และมีถึงร้อยละ 63 ของจำนวนในหมวดโครงการโรงแรมประเภทพักยาวที่อยู่ในขั้นตอนดำเนินการต่างๆ เหล่านี้ เป็นแบรนด์ระดับกลางๆ

จำนวนโครงการปรับปรุงใหม่และการเปลี่ยนแบรนด์ในสหรัฐฯ ก็กำลังอยู่ในช่วงที่มีการขยายตัวอย่างมากทำสถิติสูงสุดอีกเช่นกัน รวมทั้งสิ้นมี 2,041 โครงการและมี 266,405 ห้องพัก โดยเฉพาะในหมวดที่เปลี่ยนแบรนด์นั้นสูงทำสถิติใหม่ที่จำนวน 1,235 โครงการ 114,680 ห้องพักมีจำนวนโครงการขยายตัวร้อยละ 14 เทียบปีก่อน ในขณะที่หมวดปรับปรุงใหม่มี 806 โครงการ 151,725 ห้องพักในไตรมาสแรก โดยนักวิจัยของ LE คาดว่าโครงการปรับปรุงใหม่และเปลี่ยนแบรนด์ใหม่นี้จะยังขยายตัวอย่างแข็งแกร่งต่อไปจนตลอดปี 2024 นี้

ในส่วนของหมวดโรงแรมเปิดใหม่ สหรัฐฯ มี 114 โรงแรมจำนวนห้องพักใหม่ 15,506 ห้องพักเปิดใหม่ในไตรมาสแรก และในจำนวนนี้มีโรงแรม 72 แห่ง 8,269 ห้องพัก มีทำเลอยู่ในย่านชานเมือง และมีโรงแรมที่เปิดใหม่ 60 แห่ง/10,036 ห้องพัก (53% / 65%) ที่ตั้งอยู่ในเขตตลาดอสังหาฯ ยอดนิยม 50 พื้นที่ และด้วยจำนวนของโครงการที่ยังอยูในขั้นตอนวางแผนเบื้องต้นและที่มีแผนจะเริ่มก่อสร้างภายใน 12 เดือนนี้ นักวิจัยของ LE คาดการณ์ว่าจะมีจำนวนโรงแรมเปิดใหม่เพิ่มขึ้นพอประมาณไปจนตลอดปี 2024 นอกจานี้ LE ยังได้คาดการณ์ต่อไปอีกว่า ในช่วงที่เหลือของปี 2024 นี้จะมีโรงแรมเปิดใหม่อีก 547 แห่ง 60,483 ห้องพัก รวมเป็นจำนวนโรงแรมเปิดใหม่ทั้งปี 661 แห่ง 75,989 ห้องพัก เท่ากับว่าในปลายปีนี้จะมีจำนวนโรงแรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.3 และข้ามต่อไปถึงปี 2025 LE ยังคาดไว้ว่าสหรัฐฯ จะมีโรงแรมใหม่เพิ่มอีก 790 แห่ง 85,561 ห้องพักเท่ากับการขยายตัวร้อยละ 1.5

โครงการก่อสร้างโรงแรมในสหรัฐฯ ทำสถิติขยายตัวตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 2024

โครงการก่อสร้างโรงแรมในสหรัฐฯ ทำสถิติขยายตัวตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 2024

บทวิเคราะห์: นอกเหนือจาก 6 รัฐแถบตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐฯ (แอละแบมา, ฟลอริดา, จอร์เจีย, มิสซิสซิปปี, เซาท์แคโรไลนา และ เทนเนสซี) ยังมีอีก 26 ประเทศที่เป็นเกาะในทะเลแคริบเบียนด้วยที่อยู่ในความรับผิดชอบของสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองไมอามี ซึ่งหากจะพูดถึงศักยภาพของตลาดสำหรับสินค้าวัสดุก่อสร้างแล้ว ก็ถือว่าเป็นตลาดที่สำคัญอย่างยิ่งในระดับโลกเพราะ แคริบเบียนนั้น ได้รับการยอมรับว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมสูงที่สุดในโลก อีกทั้งยังเป็นพื้นที่ที่มีเรือสำราญนำการท่องเที่ยวเข้าไปตามเกาะแก่งต่างๆ มากมาย จนอาจเรียกได้ว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากในบรรดานักท่องเที่ยวกระเป๋าหนักเป็นหลัก สำหรับผู้ที่ไม่รู้จักแคริบเบียนดี เมื่อได้ยินชื่อประเทศ สถิติจำนวนนักท่องเที่ยวที่มาเยือนประเทศต่างๆ ในแถบทะเลแคริบเบียนล่าสุดเมื่อสิ้นปี 2023 พบว่ามี 32.2 ล้านคน มีการขยายตัวถึงร้อยละ 14.3 (ข้อมูลจาก Caribbean Tourism Organization) ซึ่งการขยายตัวดังกล่าวนี้ สูงกว่าอัตราการขยายตัวในช่วงก่อนมีโรคระบาดไปแล้วเล็กน้อย (สูงกว่าการขยายตัวก่อนเกิดโรคระบาดร้อยละ 0.8) อัตราการเข้าพักในโรงแรม ขยายตัวจากร้อยละ 61 ในปี 2022 เป็นร้อยละ 65.5 ในปี 2023 อัตราค่าใช้จ่ายต่อวันของนักท่องเที่ยวขยายตัวร้อยละ 11.8 เป็นประมาณ 329.37 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน ค่าเฉลี่ยของรายได้ต่อจำนวนห้องทั้งหมด (รวมจำนวนห้องที่ไม่มีแขกเข้าพักด้วย) ที่มีให้บริการพุ่งสูงขึ้นร้อยละ  20.2 เป็นห้องละ 215.97 ในขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวโดยเรือสำราญมาเยือน 31.1 ล้านราย เพิ่มขึ้น 11.3 ล้านรายหรือขยายตัวร้อยละ 56.8 เมื่อเทียบกับปี 2019 เทียบอัตราการขยายตัวปีต่อปีแล้วในปี 2023 นี้ ขยายตัวสูงกว่าปี 2019 ประมาณ ร้อยละ 2.4 จากการขยายตัวของจำนวนเที่ยวและจำนวนเรือสำราญในขณะนี้ คาดว่าในปี 2024 จะมีนักท่องเที่ยวจากเรือสำราญรวมถึง 34.2-35.8 ล้านราย ซึ่งเท่ากับว่าจะต้องมีการขยายพื้นที่รองรับนักท่องเที่ยวอีกประมาณร้อยละ 10-15

เมื่อพิจารณาเฉพาะสินค้าวัสดุก่อสร้างที่ประเทศไทยมีศักยภาพในการส่งออก อาทิ ปูนซิเมนต์ สีและสารเคลือบเงา กระเบื้องมุงหลังคา เฟอร์นิเจอร์ ฯลฯ สถิติการนำเข้าสินค้าวัสดุก่อสร้างจากทั่วโลกของสหรัฐเทียบกับกลุ่ม 26 ประเทศที่เป็นเกาะในทะเลแคริบเบียน ดังนี้

โครงการก่อสร้างโรงแรมในสหรัฐฯ ทำสถิติขยายตัวตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 2024

 

สถิติการนำเข้าสินค้าวัสดุก่อสร้างจากไทยของสหรัฐฯ เทียบกับกลุ่ม 26 ประเทศที่เป็นเกาะในทะเลแคริบเบียน มีดังนี้

โครงการก่อสร้างโรงแรมในสหรัฐฯ ทำสถิติขยายตัวตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 2024

 

การนำเข้าวัสดุก่อสร้าง (เฉพาะรายการที่ประเทศไทยมีการส่งออก) เริ่มกลับมาขยายตัวและมีแนวโน้มว่าจะขยายตัวในอัตราที่สูงด้วย

ข้อคิดเห็น/ข้อเสนอแนะ: มีคนไทยหลายๆ คนที่ไม่รู้จักแคริบเบียน พอฟังชื่อแล้วอาจเข้าใจว่ากลุ่มประเทศเหล่านี้เป็นประเทศยากจนในโลกที่สาม แต่ในความเป็นจริงแล้ว แคริบเบียนถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมสูงสุดในโลก และกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มาเยือนก็จะเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีการใช้จ่ายสูง ทำให้ราคาโรงแรมและค่าครองชีพสำหรับนักท่องเที่ยว (ค่าครองชีพของคนท้องถิ่นอาจต่ำกว่า ในส่วนที่นักท่องเที่ยวไม่สามารถเข้าถึงได้) ในประเทศเหล่านั้นจึงมีอัตราที่สูงมาก การเดินทางเพื่อไปหาโอกาสดังกล่าวในพื้นที่เหล่านี้ มีค่าใช้จ่ายสูง จึงมีโอกาสมากมายที่ยังไม่อาจเข้าถึงได้ ด้วยข้อจำกัดหลายๆ ประการ

ดังจะเห็นได้จากสถิติว่าแม้การนำเข้าจากประเทศไทยจะมีการขยายตัว แต่ก็เชื่อว่าจะยังมีโอกาสอีกมากดังจะเห็นได้จากมูลค่าการนำเข้าของทั้งสหรัฐฯ และ 26 ประเทศในทะเลแคริบเบียน ขณะนี้มูลค่ารวมของการนำเข้าจากไทยมีสัดส่วนอยู่เพียงไม่ถึงร้อยละ 1 ทั้งที่มีการก่อสร้าง ปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงกันอย่างต่อเนื่อง เพิ่มขึ้นทุกปี เป็นขุมทองที่ผู้ประกอบการไทยยังไม่ได้เข้าไปขุดค้นอีกมาก หากมีผู้ประกอบการไทยที่สนใจตลาดเหล่านี้ ก็จะเป็นการดีหากรวมตัวกันได้ แล้วเข้าไปเจาะตลาดเป็นหมู่คณะร่วมกัน และแบ่งปันข้อมูลระหว่างกัน ในเบื้องต้น การแข่งขันกับกิจการในห่วงโซ่อุปทานในปัจจุบันเพื่อชิงส่วนแบ่งมาให้ได้สำคัญที่สุด

*********************************************************

ที่มา: Hotel Onine
เรื่อง: “U.S. Hotel Development Kicks Off Q1 2024 With Growth and Record-Highs”
โดย: Elliott Bryan
สคต. ไมอามี /วันที่ 24 เมษายน 2567
thThai