ลักษณะตลาดและแนวโน้มของสินค้าสำหรับเด็กแรกเกิดในตลาดอินเดีย

ข้อมูลพื้นฐาน

* อินเดียมีจำนวนประชากรเด็กต่อหัวมากที่สุดที่ในโลก แม้ว่าอัตราการเกิดจะลดลง อินเดียยังคงเป็นประเทศที่มีสัดส่วนประชากรเด็กมากที่สุดในโลก และยังมีแนวโน้มสูงต่อเนื่องไปอีกระยะหนึ่ง

* ตลาดสินค้าสำหรับเด็ก ซึ่งรวมไปถึงผลิตภัณฑ์ดูแลแม่และเด็กแรกเกิด คาดว่าจะเพิ่มขึ้นถึง 26.35 พันล้านเหรียญสหรัฐ นับจากปี 2563-2568 คิดเป็นอัตราการเติบโตต่อปีแบบทบต้น (CAGR) จะขยายตัวร้อยละ 11.11

โดยคาดว่าขนาดของตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลทารกจะขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.1 ในระหว่างปี 2557-2567

* จากรายงานการศึกษาของ Data Bridge Market Research และ Mordar Intelligence แสดงให้เห็นว่า ตลาดผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กแรกเกิดของอินเดีย ในปี 2564 มีมูลค่า 10.95 พันล้านเหรียญสหรัฐ และเพิ่มขึ้นเป็นมูลค่า 12.73 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2565 โดยคาดว่าในระหว่างปี 2565-2572 จะมีอัตราการเติบโต CAGR ขยายตัวร้อยละ 17.40 ส่งผลให้ในปี 2572 ขนาดของตลาดจะมีมูลค่าถึง 39.54 พันล้านเหรียญสหรัฐ

* ปัจจุบัน อินเดียมีอัตราการใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลเด็กแรกเกิดต่อหัวต่ำที่สุด จึงมีโอกาสที่จะเติบโตอีกมาก โดยมีแนวโน้มว่าอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กแรกเกิดจะยังคงเติบโตสูงไปอีกเป็นระยะเวลา 10 ปี

ปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโตของตลาด ได้แก่

  • อัตราการทดแทนประชากร (Population replacement rate) ในปัจจุบัน คิดเป็นร้อยละ 2.1
  • การเพิ่มขึ้นของจำนวนครอบครัวเดี่ยว
  • การใช้ผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้น การทดแทนที่สั้นลง เนื่องจากรายได้หลังหักภาษีที่เพิ่มขึ้น
  • ปัจจัยอื่นๆ เช่น สุขภาพหลังการคลอดบุตร ภาวะการเจริญพันธุ์ และโภชนาการ โดยปัจจุบันผู้หญิงร้อยละ 70 จะเข้าตรวจครรภ์ตั้งแต่ในระยะ 3 เดือนแรกที่เริ่มตั้งครรภ์ ขณะที่เมื่อปี 2558-2559 มีเพียงร้อยละ 59 เท่านั้น
  • จำนวนประชากรผู้หญิงวัยทำงานที่เพิ่มมากขึ้น
  • การเสริมพลังทางดิจิทัลของผู้หญิง การใช้และการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต โดยร้อยละ 33 ของผู้หญิงที่อาศัยในเมืองและชนบท และร้อยละ 52 ของผู้หญิงในเมืองสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้
  • จำนวนผู้หญิงที่แต่งงานแล้วและมีส่วนร่วมในการตัดสินใจในเรื่องการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์สำหรับดูแลสุขภาพ หรือของใช้ในบ้าน คิดเป็นร้อยละ 89 ในปี 2562-63 เพิ่มขึ้นจากปี 2558-2559 ที่มีร้อยละ 84
  • การเพิ่มขึ้นของร้านค้าปลีกออนไลน์

การจำแนกประเภทกลุ่มสินค้าสำหรับดูแลเด็กแรกเกิด ตัวอย่างเช่น

  • เสื้อผ้าและรองเท้า
  • อาหาร
  • ผ้าอ้อมและผ้าเช็ดทำความสะอาด
  • เครื่องใช้ในห้องน้ำ น้ำยาทำความสะอาด/ผงซักฟอก
  • อุปกรณ์สำหรับเด็กแรกเกิด
  • ของเล่น

ทั้งนี้ กลุ่มสินค้าเสื้อผ้าถือเป็นกลุ่มสินค้าที่ครองส่วนแบ่งทางการตลาดมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 80 รองมา คือ กลุ่มอาหาร (ร้อยละ 7) กลุ่มผ้าอ้อม (ร้อยละ 5) กลุ่มของเล่น (ร้อยละ 5) และเครื่องใช้ในห้องน้ำ (ร้อยละ 3) คิดเป็นมูลค่าตลาดรวมทั้งสิ้น 2.2 แสนล้านรูปีอินเดีย โดยมีอัตราการขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 13-15 ต่อปี

ลักษณะตลาดและแนวโน้มของสินค้าสำหรับเด็กแรกเกิดในตลาดอินเดียลักษณะและแนวโน้มตลาดจำแนกตามประเภทสินค้า

ผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพสำหรับเด็กแรกเกิด

* หากเปรียบเทียบกับกลุ่มสินค้าอื่น กลุ่มผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวสำหรับเด็กแรกเกิดมีอัตราการซื้อซ้ำมากกว่ากลุ่มสินค้าอื่น เนื่องจากมากกว่าร้อยละ 50 ของผู้บริโภคเป็นกลุ่มที่ซื้อซ้ำ และมากกว่าร้อยละ 60 ที่ผู้ซื้อเป็นผู้หญิง

* ตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์สำหรับดูแลเด็กแรกเกิดขยายตัวเพิ่มขึ้นเนื่องจากพ่อแม่มีความกังวลเรื่องความระคายเคืองต่อผิวของลูกมากขึ้น จึงมีความคำนึงถึงปัญหาต่อสุขภาพของลูกมากขึ้น เช่น การเกิดผื่นแดงที่ผิวหนัง ภาวะการหายใจลำบาก และอื่นๆ  โดยผลิตภัณฑ์ที่เน้นจุดเด่นด้านความสะดวกสบาย และเหมาะสำหรับผิวแพ้ง่าย จะดึงดูดความสนใจของเด็กและพ่อแม่

* ผลิตภัณฑ์สมุนไพรหรือออร์แกนิกส์สำหรับเด็กแรกเกิด เช่น สบู่ โลชั่น แป้ง น้ำมัน เป็นต้น พบว่ามีความต้องการในตลาดสูง

* การนวดเด็กแรกเกิดเป็นประเพณีที่มีมาช้านานในอินเดียและช่วยสร้างสายสัมพันธ์อันดีระหว่างแม่และเด็ก รวมถึงดีต่อสุขภาพของเด็ก ทำให้น้ำมันนวดสำหรับเด็กเป็นที่ต้องการของตลาด


ภาพตัวอย่างสินค้าผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพสำหรับเด็กแรกเกิด

เสื้อผ้าและร้องเท้าสำหรับเด็กแรกเกิด

* ในปี 2566 ตลาดเสื้อผ้าเด็กทารกมีรายได้มูลค่า 5.71 พันล้านเหรียญสหรัฐ และคาดว่าจะมีอัตราการขยายตัว CAGR ประมาณร้อยละ 4.19 ต่อปี ในระหว่างปี 2566-2571

ขณะที่รายได้ของตลาดเครื่องแต่งกายเด็ก ในปี 2566 มีมูลค่า 22.69 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยคาดว่าในปี 2566-2571 จะมีอัตราขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 3.16 ต่อปี

* สำหรับผ้าที่นำมาใช้ผลิตเสื้อผ้าสำหรับเด็กมากที่สุด คือ ผ้าฝ้าย โดยประมาณร้อยละ 86 ของเสื้อผ้าที่เด็กใช้ทำมาจากผ้าฝ้าย

* รองเท้าสำหรับเด็กแรกเกิดและเด็กจะต้องนิ่ม สวมใส่สบาย และสามารถขยายได้เหมาะสำหรับเด็กที่กำลังเติบโต

 อาหารสำหรับเด็กแรกเกิด

* ในปี 2571 คาดว่าจะมีปริมาณของอาหารสำหรับเด็กแรกเกิดในตลาดอินเดีย ถึง 110.60 ล้านกิโลกรัม โดยคาดว่าในปี 2567 ตลาดจะมีอัตราการขยายตัวในแง่ของปริมาณ คิดเป็นร้อยละ 4.7

* อาหารออร์แกนิกส์และอาหารเสริมสำหรับทารกเป็นที่นิยม

* อาหารฟังก์ชัน” (Functional Food) ที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่จำเป็น เช่น แคลเซียม สังกะสี เหล็ก และวิตามินเอ ดี อี เค ซี และบี รวมไปถึงภาวะการขาดสารอาหารในเด็ก โดยเฉพาะพื้นที่ชนบทห่างไกล ส่งผลให้ตลาดมีการเติบโตและขยายตัวมากขึ้น

* ทั้งนี้ ส่วนใหญ่อินเดียจะนำเข้าสินค้าภายใต้รหัส HS Code: 19011090 (อาหารปรุงแต่งที่เหมาะสำหรับทารกหรือเด็กเล็ก จัดทำชึ้นเพื่อการขายปลีก นอกเหนือจากนมมอลต์) ซึ่งมีอัตราอากรขาเข้าตามกรอบทั่วไป (Most Favoured Nation: MFN) อยู่ที่ร้อยละ 50 และไม่ได้จัดอยู่ในรายการสินค้าที่ได้รับสิทธิลดอัตราภาษีภายใต้ Early Harvest Scheme: EHS ของการเจรจากรอบความตกลงเขตการค้าเสรีไทย-อินเดีย และกรอบความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-อินเดีย

ข้อมูลการนำเข้า:

อินเดียนำเข้าสินค้ารหัส HS Code:  190110 (อาหารปรุงแต่งที่เหมาะสำหรับทารกหรือเด็กเล็ก จัดทำชึ้นเพื่อการขายปลีก)
แหล่งนำเข้า 2021 2022 2023 (ม.ค. – ส.ค.)
มูลค่า (USD) สัดส่วน (%) มูลค่า (USD) สัดส่วน(%) มูลค่า (USD) สัดส่วน(%)
1. ไทย 13,489,961 67.58 22,119,229 59.64 8,849,067 52.65
2. สิงคโปร์ 5,972,576 25.04 11,866,452 39.99 7,596,003 45.19
3. เนเธอร์แลนด์ 1,171,761 7.37 92,735 0.38 363,180 2.16
การนำเข้ารวม 20,634,298 100 % 34,078,416 100 % 16,808,251 100%

ภาพตัวอย่างสินค้าอาหารสำหรับเด็กแรกเกิด

สินค้า/อุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยของทารก

* ผู้ผลิตสินค้าประเภทนี้กำลังให้คำจำกัดความนิยามใหม่ถึงความเป็นไปได้ของอันตรายที่จะเกิดขึ้นและสร้างตลาดที่มีศักยภาพใหม่ สำหรับผลิตภัณฑ์ภายใต้ที่จัดอยู่ภายใต้กลุ่มนี้ ประกอบด้วย รถหัดเดินสำหรับเด็ก (Baby walkers) รถเข็นเด็ก (strollers) ที่มีความปลอดภัยขั้นสูง เป้อุ้มเด็ก (carriers)  เบาะนั่งในรถยนต์สำหรับเด็ก (car seats)  รถจักรยานเด็ก เก้าอี้ไฮแชร์สำหรับเด็ก รถของเล่นที่เด็กนั่งได้ (ride-ons) กล้องดูลูก (baby monitors) ที่กั้นอเนกประสงค์ (safety gates) ที่กั้นเตียง (bed rails) อุปกรณ์กันมุม (corner guards) อุปกรณ์ป้องกันปลั๊กไฟฟ้า (electrical outlet covers) ล็อคป้องกันเด็ก (childproof locks) เป็นต้น

* อย่างไรก็ตาม หากเปรียบเทียบตลาดโลก ตลาดอินเดียยังถือว่ามีการใช้สินค้าในกลุ่มนี้ต่ำมาก เนื่องจากเป็นกลุ่มสินค้าที่มีราคาค่อนข้างสูงและคนอินเดียส่วนใหญ่ยังไม่ตระหนักถึงความสำคัญของสินค้าในกลุ่มนี้

อย่างไรก็ดี ยังมีสัญญาณบวกจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนครอบครัวเดี่ยว และพ่อแม่ที่ทำงานนอกบ้านมากขึ้นจึงมีความคำนึงถึงความปลอดภัยของของลูกมากขึ้น รวมไปถึงรายได้หลังหักภาษีที่เพิ่มขึ้นที่สนับสนุนให้พ่อแม่มีความสามารถในการเลือกซื้อสินค้าที่จะทำให้มั่นใจถึงความปลอดภัยของลูกได้

 

ของเล่นเด็กแรกเกิด

* ตลาดของเล่นในอินเดียมีมูลค่า 1.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งรวมของเล่นเด็กทั้งหมดในทุกกลุ่มอายุ ปัจจุบัน อินเดียกำลังเร่งสนับสนุนอุตสาหกรรมการผลิตของเล่นในประเทศเพื่อส่งออก ส่งผลให้อัตราภาษีนำเข้าของเล่น รวมถึงชิ้นส่วนของเล่นปรับเพิ่มสูงขึ้นถึงร้อยละ 70 เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ รวมถึงยังมีข้อกำหนดให้ของเล่นที่จะวางจำหน่ายในอินเดียต้องได้รับการรับรอง Bureau of Indian Standards หรือ BIS Certification ด้วย

กลุ่มสินค้านวัตกรรมและสุขภาพ

* ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมก็กำลังเติบโตในอุตสาหกรรมนี้เช่นกัน โดยเฉพาะในกลุ่มผลิตภัณฑ์วีแกน และผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้ทำการทดลองกับสัตว์ในกระบวนการผลิต (cruelty-free)

* ตัวอย่างเช่น แบรนด์ Bhoomi & Co. แบรนด์อินเดียที่ผลิตผ้าอ้อมสำเร็จรูปที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเป็นผ้าอ้อมที่แผ่นรองด้านบนและด้านล่างทำจากเยื่อไม้ไผ่ 100% ผสมเยื่อไม้ปลอดคลอรีนปราศจากสารเคมีและปิโตรเลียมโพลีเมอร์ จึงเหมาะสำหรับเด็กแรกเกิดที่มีผิวแพ้ง่าย นอกจากนี้ ยังมีสารสกัดจากว่านหางจระเข้ป้องกันผื่นคันด้วย

* ขณะที่แบรนด์ R Rabbit เปิดตัวสินค้าผ้าอ้อมตัวแรกเป็นผ้าอ้อมระบายอากาศเพื่อให้เด็กแรกเกิดเล่นสนุกได้อย่างสบายใจปราศจากอาการผื่นคัน โดยสามารถซึมซับได้นานถึง 12 ชั่วโมง เพื่อช่วยให้แม่และผู้ดูแลเด็กใช้ชีวิตประจำวันได้ง่ายขึ้นในการเปลี่ยนผ้าอ้อมเก่า นอกจากนี้ แบรนด์ดังกล่าวยังได้เปิดตลาดถังขยะสำหรับทิ้งผ้าอ้อมรายแรกของอินเดียในชื่อแบรนด์ Hygo Bin ทั้งนี้ แบรนด์ต่างๆ เข้าใจดีว่าทุกวันนี้ ผู้ชายซึ่งเป็นพ่อมีบทบาทในการดูแลลูกเท่าเทียมกับผู้เป็นแม่ จึงมีการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่สามารถใช้ได้สะดวกสบายสำหรับทั้งพ่อและแม่

* ปัจจัยด้านการเงินเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มีความสำคัญในการพิจารณาเลือกซื้อสินค้าของผู้เป็นพ่อแม่ โดยมักมองหาผลิตภัณฑ์ที่คุ้มราคา มีคุณภาพและความปลอดภัย สินค้าสำหรับเด็กแบบอเนกประสงค์ เช่น เปลแบบปรับได้ หรือเครื่องทำอาหารแบบออลอินวัน จึงเป็นทางเลือกที่ดีในการลงทุน เนื่องจากซื้อหนึ่งผลิตภัณฑ์แต่สามารถตอบโจทย์ความต้องการได้หลายอย่าง มีความคุ้มค่า ยั่งยืน และประหยัดพื้นที่อีกด้วย

 

ตัวอย่างรายชื่อบริษัทผู้เล่นรายสำคัญในตลาด

  • The Proctor and Gamble (สหรัฐอเมริกา)
  • Johnson & Johnson Private Limited (สหรัฐอเมริกา)
  • The Himalaya Drug Company (อินเดีย)
  • Dabur India Ltd. (อินเดีย)
  • Hindustan Unilever Limited (อินเดีย)
  • Pigeon India Private Limited (อินเดีย)
  • Artsana India Private Limited (อินเดีย)
  • Nestle S.A. (สวิตเซอร์แลนด์)
  • Kimberly Clark India (สหรัฐอเมริกา)

ช่องทางการจัดจำหน่าย ประกอบด้วย

  • ซูเปอร์มาร์เก็ต/ไฮเปอร์มาร์เก็ต
  • ร้านค้าปลีกที่เน้นขายสินค้าเฉพาะอย่าง (Specialist Retailers) ได้แก่
  • Just Born (https://justborn.in/)
  • First cry (https://www.firstcry.com/)
  • Baby Amore (https://www.babyamore.in/)
  • Hopscotch (https://www.hopscotch.in/)
  • Mothercare India (https://www.mothercare.in/)
  • Me n Moms (https://www.menmoms.in/)
  • All things baby (https://allthingsbaby.com/)
  • ร้านสะดวกซื้อ
  • แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซทั่วไป
  • ร้านขายยา

แนวทางการเจาะตลาดและการเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมาย

* การวางตำแหน่งกลุ่มเป้าหมายทางตลาดหลัก: โดยผู้บริโภคอินเดียที่มีความสนใจและความต้องการสินค้าสำหรับเด็กแรกเกิด เป็นกลุ่มประชากรชนชั้นกลางที่อาศัยอยู่ในเมือง

* ช่องทางออนไลน์เป็นหนึ่งในช่องทางที่ทำให้สามารถการเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายได้เป็นอย่างดี ซึ่งแสดงให้เห็นจากรายงานผลการสำรวจข้อมูลทางดิจิทัลของคุณแม่ชาวอินเดียในปี 2564 ที่พบว่าคุณแม่ทั้งหลายต่างมองหาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ จากแอปพลิเคชั่น Instagram เป็นหลัก รองมา คือ WhatsApp การค้นหาจาก Google search และเว็บไซต์ นอกจากนี้ การเล่าเรื่องของแบรนด์และผลิตภัณฑ์ก็มีส่วนสำคัญ เนื่องจากพ่อแม่ในปัจจุบันจะรับรู้ถึงคุณลักษณะที่โดดเด่นของสินค้าจากการสื่อสารของแบรนด์ผ่าน Story Telling อาทิ

– ความมีคุณภาพสูงและอัตราความปลอดภัยสูงสุด

– การเชื่อมต่อทางอารมณ์และความเอาใจใส่

– ความเรียบง่าย

– การดึงดูดและการเข้าสังคม

– ความเชี่ยวชาญพิเศษ เป็นต้น

* ทั้งนี้ การเพิ่มช่องทางตลาดดิจิทัลเพื่อเข้าถึงผู้บริโภคและสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ ตลอดจนสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ จะช่วยสร้างเสริมโอกาสในการเข้าตลาดได้ดียิ่งขึ้น

* นอกจากนี้ การออกบรรจุภัณฑ์ขนาดเล็กลง ก็เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จะส่งเสริมให้การบุกเจาะตลาดมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น จากการเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคได้มีการทดลองใช้ขนาดเล็กก่อน เพื่อนำมาสู่การซื้อซ้ำในผลิตภัณฑ์ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นต่อไป

ความท้าทายในการเข้าตลาด

* ความเชื่อและวัฒนธรรมในการเลี้ยงดูบุตรแบบดั้งเดิมที่นิยมปรุงอาหารสำหรับเด็กแรกเกิดเอง ทำให้กลุ่มพ่อแม่ที่ยังมีความเชื่อและแนวคิดดังกล่าวไม่ให้ความสนใจกับสินค้าอาหารสำหรับเด็กแรกเกิดพร้อมรับประทาน หรือปรุงสำเร็จ นอกจากนี้ สินค้าอาหารสำหรับเด็กแรกเกิดยังมีราคาสูงกว่าอาหารที่ทำเองแบบโฮมเมด จึงส่งผลต่อการตัดสินใจในการเลือกซื้อ

* ความกังวลด้านความปลอดภัย การปนเปื้อนสารเคมี หรือสารก่อภูมิแพ้ในผลิตภัณฑ์ที่อาจทำให้เด็กแรกเกิดระคายเคือง และติดเชื้อ

* มีอัตราการแข่งขันในตลาดสูง

 แหล่งที่มา:

  • Redefining the baby care market in India; moving beyond customer loyalty’, The Times of India, 26 April 2023
  • Baby care market to boom despite population dip’, The Times of India, 21 January 2022
  • How India’s ‘mother and baby care’ market and brands are evolving in 2022’, The Times of India, 20 May 2022
  • What does 2023 look like for the baby care industry’, The Times of India, 6 December 2022
  • What new age parents are looking for or expecting from baby care brands’, The Times of India, 18 September 2022
  • Top trends that are fueling the growth of the baby care industry’, The Times of India, 8 August 2022
  • Innovation, need of the hour in baby skincare industry’, The Times of India, 28 August 2023

https://timesofindia.indiatimes.com/

*****************************************************************************************

สคต. ณ เมืองเจนไน

มีนาคม 2567

thThai