ในระหว่างการเยือนเวียดนาม นาย Joko Widodo ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ได้วางพวงมาลาและเยี่ยมชมสุสานของประธานาธิบดีโฮจิมินห์ นอกจากนี้ได้เข้าร่วมพิธีต้อนรับอย่างเป็นทางการ เข้าร่วมการเจรจา เป็นประธานการลงนามในข้อตกลงต่างๆ พบปะกับสื่อมวลชน พบปะกับผู้ประกอบการของเวียดนามและอินโดนีเซียร่วมกับนาย ฝ่าม มิงห์ ชินห์ (Pham Minh Chinh) นายกรัฐมนตรีเวียดนาม ตลอดจนเข้าพบปะกับนาย เวือง ดิงห์ เว้ (Duong Dinh Hue) ประธานรัฐสภาเวียดนาม
ในการเจรจาและการประชุม ผู้นำของเวียดนามให้การต้อนรับการเยือนของนาย Joko Widodo ประธานาธิบดีอินโดนีเซียเป็นอย่างดี โดยเวียดนามให้ความสำคัญต่อความสัมพันธ์และความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับอินโดนีเซียบนพื้นฐานทางประวัติศาสตร์ ผลประโยชน์ ความไว้วางใจ และความเข้าใจซึ่งกันและกัน
ผู้นำเวียดนามชื่นชมความสำเร็จทั้งในและต่างประเทศของอินโดนีเซียภายใต้การนำของ นาย Joko Widodo ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ในสองปีที่ผ่านมา และได้แสดงความยินดีกับอินโดนีเซียที่ประสบความสำเร็จในการดำรงตำแหน่งประธาน G20 ในปี 2565 และบทบาทการเป็นประธานอาเซียนและสมัชชารัฐสภาอาเซียน (ASEAN Inter – Parliamentary Assembly : AIPA) ในปี 2566 รวมทั้งได้แสดงความยินดีในการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของอินโดนีเซีย และคุณประโยชน์เชิงบวกต่อสันติภาพและความร่วมมือในภูมิภาคและโลก
นาย Joko Widodo ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ได้กล่าวขอบคุณการต้อนรับและแสดงความยินดีในการเยือนเวียดนามเป็นครั้งที่ 2 ในฐานะประธานาธิบดี รวมทั้งแสดงความยินดีกับความสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของเวียดนาม ชื่นชมการแลกเปลี่ยนที่สำคัญกับผู้นำเวียดนามทั้งการแลกเปลี่ยนคณะผู้แทนและการประชุมระดับสูงครั้งล่าสุด ขอขอบคุณสำหรับการสนับสนุนของเวียดนามในขณะที่อินโดนีเซียเป็นประธานอาเซียนในปี 2566
ผู้นำของทั้งสองประเทศแสดงความพึงพอใจต่อการพัฒนาที่แข็งแกร่งและพลวัตของความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์เวียดนาม – อินโดนีเซีย ในอาเซียน อินโดนีเซียเป็นคู่ค้ารายใหญ่อันดับ 3 ของเวียดนาม และเวียดนามเป็นคู่ค้ารายใหญ่อันดับ 4 ของอินโดนีเซีย แม้จะมีการแพร่ระบาดของ Covid-19 แต่มูลค่าการค้าทวิภาคียังคงเติบโตในเชิงบวก (จาก 9,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2562 เป็นกว่า 14,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2566) ในปี 2566 การส่งออกของเวียดนามไปยังอินโดนีเซียมีมูลค่ามากกว่า 5,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยสินค้าที่ส่งออกหลักคือข้าวที่มีมากกว่า 1.16 ล้านตัน มูลค่า 640 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และการนำเข้าสินค้าจากอินโดนีเซียมีมูลค่า 8,730 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
ในระหว่างการเยือน นาย ฝ่ามมิงห์ ชินห์ (Pham Minh Chinh) นายกรัฐมนตรีเวียดนาม และนาย Joko Widodo ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย เป็นประธานร่วมการเจรจาทางธุรกิจระดับสูงที่กรุงฮานอย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเยือนเวียดนามครั้งนี้ ผู้นำทั้งสองเห็นพ้องกันว่าความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้ายังคงเป็นจุดสำคัญในความสัมพันธ์ทวิภาคี ในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2566 การค้าทวิภาคีมีมูลค่า 10,300 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และคาดว่าจะมีมูลค่าถึง 15,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และอาจเติบโตถึง 18,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี 2571
ในการเจรจา นาย Joko Widodo ประธานาธิบดีอินโดนีเซียเสนอให้ทั้งสองประเทศเพิ่มระดับการเจรจาและความร่วมมือ เพื่อบรรลุวิสัยทัศน์ร่วมกันในการเป็นประเทศที่มีรายได้สูงภายในปี 2588 ประธานาธิบดีอินโดนีเซียได้เชิญชวนแลกเปลี่ยนซื้อขายคาร์บอน และส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า โดยคาดว่า ผู้ประกอบการชั้นนำของเวียดนามจะเพิ่มการลงทุนในอินโดนีเซีย รวมถึงอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า อุตสาหกรรมการบิน การท่องเที่ยว อสังหาริมทรัพย์ วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ธนาคาร การเงิน การศึกษา และการผลิต
นาย ฝ่ามมิงห์ ชินห์ (Pham Minh Chinh) นายกรัฐมนตรีเวียดนาม เชื่อมั่นว่า การเยื่อนครั้งนี้และการเจราร่วมกันระหว่าง 2 ประเทศจะส่งเสริมให้ผู้ประกอบการของทั้ง 2 ฝ่าย ยกระดับความร่วมมือและการลงทุนมากขึ้น ทั้งนี้ นายกฯ ได้ขอให้ภาคธุรกิจต่างๆ ให้ความสำคัญกับตลาดอินโดนีเซียมากขึ้น ซึ่งจะเป็นการผลัดดันให้ทั้งสองประเทศพัฒนามากขึ้นและบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ นอกจากนี้ยังชื่นชมนักลงทุนอินโดนีเซียในเวียดนามที่ดำเนินโครงการต่างๆ ได้สำเร็จ โดยสังเกตว่าประเทศกำลังดึงดูดการลงทุนในภาคเศรษฐกิจเกิดใหม่ เช่น เศรษฐกิจดิจิทัล เศรษฐกิจสีเขียว เศรษฐกิจหมุนเวียน เศรษฐกิจบนฐานความรู้ และเศรษฐกิจการแบ่งปัน ตลอดจนอุตสาหกรรมฮาลาลและการเกษตร และคาดว่าผู้ประกอบการของอินโดนีเซียจะสนับสนุนคู่ค้าชาวเวียดนามให้เข้าร่วมห่วงโซ่อุปทานในอินโดนีเซียและทั่วโลกเช่นกัน เวียดนามสร้างเงื่อนไขที่อำนวยสำหรับองค์กรต่าง ๆ รวมถึงจากอินโดนีเซีย เพื่อดำเนินงานอย่างมั่นคง ยั่งยืน และประสบความสำเร็จในประเทศ ในวันเดียวกัน นาย Joko Widodo ประธานาธิบดีอินโดนีเซียได้ทัศนศึกษาที่ศูนย์การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของ VinFast ในจังหวัด ไฮฟอง (Hai Phong) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเยือนเวียดนามอย่างเป็นทางการ หลังจากเยี่ยมชมโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ประธานาธิบดีให้คำมั่นที่จะอำนวยสำหรับ VinFast ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของกลุ่มบริษัท Vingroup เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนการลงทุนและทำธุรกิจในตลาดอินโดนีเซีย
ในช่วงที่ผ่านมา VinFast มีการวางแผนที่จะลงทุนในระยะยาวอย่างน้อย 1,200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในอินโดนีเซีย นอกเหนือจากการกระจายรถยนต์นำเข้าจากเวียดนามในระยะแรก VinFast จะสร้างโรงงานรถไฟฟ้ามูลค่า 200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในอินโดนีเซีย โดยคาดว่าจะมีกำลังการผลิต 30,000-50,000 คันต่อปี
(จาก https://baochinhphu.vn/)
ข้อคิดเห็น สคต
เวียดนามและอินโดนีเซียสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตในเดือนธันวาคม 2498 ถึอเป็นความสัมพันธ์ทวิภาคีที่สืบเนื่องยาวนาน ปัจจุบันเวียดนามเป็นหนึ่งในคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของอินโดนีเซีย ในขณะเดียวกัน อินโดนีเซียเป็นคู่ค้ารายใหญ่อันดับ 3 ของเวียดนาม ในช่วงที่ผ่านมา ทั้งสองประเทศตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าการค้าทวิภาคีเป็น 15,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี 2571 และมีศักยภาพสูงที่จะบรรลุเป้าหมายนี้ การเยื่อนเวียดนามของประธานาธิบดีอินโดนีเซีย นับเป็นก้าวสำคัญของความสัมพันธ์ทวิภาคี สร้างโอกาสให้ทั้งสองประเทศส่งเสริมความสัมพันธ์ทวิภาคีเพื่อพัฒนาและให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นใน ทุกด้าน ทั้งสองประเทศมุ่งมั่นที่จะแสวงหาความร่วมมือในด้านต่างๆ เช่น การเกษตร การประมง พลังงาน การบิน วัฒนธรรม และการท่องเที่ยว โดยเฉพาะการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า โดยพึ่งพาจุดแข็งของแต่ละฝ่าย โดยผู้นำทั้งสองประเทศจะหารือเกี่ยวกับความพยายามและคำมั่นต่างๆ เพื่อยกระดับความสัมพันธ์ในการเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ให้เป็นหุ้นส่วนที่แน่นแฟ้นและรอบด้านมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ การที่ VinFast จะสร้างโรงงานรถไฟฟ้าในอินโดนีเซียเปิดโอกาสในการร่วมมือและถือเป็นก้าวใหม่สำหรับ VinFast และ GSM ในกระบวนการขยายการดำเนินงานสู่ตลาดต่างประเทศในปี 2567 และมีส่วนสนับสนุนอย่างมากต่อเป้าหมายในการลดการปล่อยมลพิษที่รัฐบาลอินโดนีเซียตั้งเป้าไว้