สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์หรือยูเออี มีพื้นที่เป็นทะเลทรายอันแห้งแล้ง ทำให้การทำเกษตรกรรมให้มีประสิทธิภาพจึงเป็นเรื่องที่ท้าทายเป็นอย่างมาก แต่ด้วยทั้งวิสัยทัศน์และเงินทุน จึงเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้ล่าสุดเมืองดูไบกลายเป็นเป็นที่ตั้งของ “ฟาร์มแนวตั้ง” ขนาดใหญ่แห่งหนึ่งของโลก         

Food Tech Valley ซึ่งเป็นศูนย์เทคโนโลยีอาหารของดูไบ ได้บรรลุข้อตกลงกับ ReFarm Group Corporation ในการสร้างฟาร์มขนาดยักษ์ “GigaFarm” ที่สามารถปลูกผลผลิตได้มากกว่า 3 ล้านกิโลกรัมต่อปี ทั้งสองบริษัทกล่าวในแถลงการณ์ร่วมเมื่อต้นเดือนธันวาคมว่า โครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนยูเออีในการลดคาร์บอนในการผลิตอาหาร แทนที่การนําเข้าสินค้าเกษตรสด 1% ของประเทศได้ ภายใต้ข้อตกลงดังกล่าว ซึ่งลงนามในการประชุมสุดยอด Cop28 ที่จะก่อสร้างฟาร์มขนาด 83,612 ตารางเมตรนี้ โดยจะเริ่มในกลางปี ​​2567 คาดว่าจะเปิดดำเนินการได้เต็มรูปแบบภายในปี 2569

Dr Thani Al Zeyoudi รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าต่างประเทศยูเออี (Minister of State for Foreign Trade) กล่าวว่า  “ฟาร์มที่ใช้นวัตกรรมใหม่นี้จะสามารถ นำเศษวัสดุของเหลือกินเหลือใช้มาแปรรูปใหม่  (Recycle) เพื่อ  นำกลับมาใช้งานอีกครั้ง เป็นการจัดการวัสดุเหลือใช้ที่กำลังจะเป็นขยะ โดยนำไปผ่านกระบวนการแปรสภาพ  คาดว่าจะ Recycle ขยะอาหารได้มากกว่า 50,000 ตัน และปลูกพืชได้ 2 พันล้านต้น ในแต่ละปี และการตัดสินใจของบริษัท ReFarmTM  ที่จะเปิดตัวโรงงานใน Food Tech Valley ของดูไบ ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาภาคเกษตรกรรมที่มีคาร์บอนต่ำซึ่งมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี นับได้ว่าพันธกิจของบริษัทฯ ในการทำให้การเกษตรเป็นอิสระ พึ่งพาตนเองและยั่งยืนนั้นสอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาลยูเออีในการใช้เทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรมเพื่อตอบสนองความต้องการด้านอาหาร”

ทั้งนี้  Food Tech Valley ซึ่งเป็นโครงการริเริ่มของรัฐบาลยูเออี ภายใต้วิสัยทัศน์ของ Sheikh Mohammed bin Rashid Al Maktoum รองประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี และเจ้าผู้ครองรัฐดูไบ   โดยมีบริษัท  Wasl ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ในดูไบเป็นผู้ดำเนินการ ได้ออกแบบมาเพื่อจัดการกับความมั่นคงทางอาหารในระดับท้องถิ่น ภูมิภาค และทั่วโลก ที่เปิดตัวในดูไบเมื่อเดือนพฤษภาคม 2564 เพื่อพัฒนาเกษตรกรรมแนวดิ่งและเทคโนโลยีการเกษตรขั้นสูงอื่นๆ    พันธกิจของศูนย์ฯ แห่งนี้มีเป้าหมายที่จะเพิ่มการผลิตอาหารของประเทศเป็นสามเท่า ทำให้ประเทศสามารถพึ่งพาตนเองได้มากขึ้น ประกอบด้วย 4 คลัสเตอร์สำคัญ ได้แก่ (1) กลุ่มเทคโนโลยีการเกษตรและวิศวกรรม จะมีฟาร์มแนวตั้งที่จะใช้เทคโนโลยีอาหารล่าสุดในการปลูกพืชที่สำคัญตลอดทั้งปี  (2) ศูนย์กลางในการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีธุรกิจเกษตรไว้ที่จุดเดียว จะช่วยยกระดับความสามารถผู้ประกอบการในการแข่งขันทางธุรกิจ (3) ศูนย์ด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) ระดับโลก เพื่อฝึกอบรมผู้เชี่ยวชาญด้านอาหาร และสนับสนุนสถานประกอบการด้านอาหาร (4) ศูนย์กลางโลจิสติกส์อัจฉริยะ จะมีระบบจัดเก็บอาหารที่ให้บริการจัดเก็บแบบอัตโนมัติ ควบคุมด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บอาหาร และใช้เทคโนโลยี Big Data

                   ReFarmTM  ก่อตั้งขึ้นในยูเออี โดยบริษัท  SSK Enterprise และบริษัท Christof Global Impact (CGI) กลุ่มบริษัทที่เน้นโครงการที่มีระบบหมุนเวียนและเทคโนโลยีสะอาด  ผ่านแพลตฟอร์ม Intelligent Growth Solutions (IGS) ที่มอบโซลูชันการทำเกษตรแนวตั้ง ด้วยการนำเทคโนโลยีมาพัฒนาการทำเกษตร โดยใช้เทคโนโลยี 5G เพื่อรับมือกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และการเพิ่มขึ้นของประชากร ที่ทำให้ภาคการเกษตรต้องเร่งหาวิธีใหม่ๆ มาปรับใช้และพัฒนาเพื่อรองรับปัญหาในระยะยาว ที่อาจส่งผลต่อทั้งตัวเกษตรกรและผู้บริโภคผลิตผลทางการเกษตรทั่วโลก ภายใต้โครงการนี้คาดว่าจะสามารถปลูกพืชได้มากกว่า 250 สายพันธุ์   อีกทั้งได้ประสานงานกับธนาคารชั้นนำ เพื่อจัดให้มีการสนับสนุนจาก UK Export Finance ภายใต้การดูแลของกรมธุรกิจและการค้าของรัฐบาลอังกฤษ นับได้ว่าเป็นครั้งแรกในระดับโลก ที่จะมีการนำเทคโนโลยีเสริมหกอย่างมาใช้ร่วมกันใน  Dubai Food Tech Valley ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบเปลี่ยนขยะเป็นมูลค่าหมุนเวียนแบบวงปิด โดยจะสร้างระบบนิเวศในตัวที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทรัพยากรให้สูงสุด และลดของเสียที่ต้องนำไปฝังกลบ

                   เทคโนโลยีที่ใช้ในไซต์งานคาดว่าจะสามารถดึงแอมโมเนียซัลเฟต จากน้ำเสียได้มากถึง 90 เปอร์เซ็นต์เพื่อใช้เป็นปุ๋ยพืช และจะผลิตโพลีเมอร์ที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพแบบอินทรีย์ซึ่งออกแบบมาเพื่อค่อยๆ ปล่อยน้ำและสารอาหารไปยังพืชผลในพื้นที่แห้งแล้ง โดยไม่จำเป็นต้องเชื่อมต่อท่อหลักหรือน้ำใต้ดินในการปลูกผักผลไม้สด เนื่องจากน้ำจะถูกนำกลับมาเป็นผลพลอยได้จากเทคโนโลยีขยะอินทรีย์ และป้อนเข้าสู่ฟาร์มแนวตั้ง ซึ่งประหยัดน้ำได้มากกว่าการปลูกในไร่ถึง 98 เปอร์เซ็นต์

นาย Oliver Christof ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ บริษัท Christof Global Impact (CGI) แสดงความคิดเห็นว่า “ความสำเร็จในช่วง 36 เดือนที่ผ่านมาในยูเออีเป็นสิ่งที่จะพลิกโฉมอุตสาหกรรมอาหารที่ยั่งยืน แนวคิดที่เปิดกว้าง ของผู้นำยูเออีและการให้ความสำคัญต่อเศรษฐกิจหมุนเวียน เป็นปัจจัยสำคัญสู่ความสำเร็จ”

ความเห็นของ สคต. ดูไบ
                ความสามารถใช้พื้นที่แนวตั้ง และลดความต้องการใช้ที่ดินในการเพาะปลูก มีส่วนทำให้การทำฟาร์มแนวตั้งในเมืองใหญ่น่าดึงดูดต่อการลงทุนมากขึ้น ขณะเดียวกันความต้องการทำฟาร์มแนวตั้งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างมากจากความนิยมของอาหารออร์แกนิก เนื่องจากผักเกษตรอินทรีย์ หรือผักออร์แกนิก เป็นผักที่ได้จากการทำการเกษตรแบบอินทรีย์ หมายถึงระบบการผลิตพืชที่ไม่ใช้สารเคมีทุกชนิดในทุกขั้นตอนการปลูก ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ยเคมี สารเคมีกำจัดศัตรูพืช กำจัดวัชพืช รวมถึงฮอร์โมนสังเคราะห์ ซึ่งสอดรับกับแนวทางของฟาร์มแนวตั้ง

                   หากไทยและยูเออีสามารถร่วมมือกันในด้านการพัฒนาการเกษตรและความมั่นคงทางอาหารได้ ก็จะทำให้ทั้งสองประเทศสามารถบรรลุเป้าหมายร่วมกันในการยกระดับด้านคุณภาพและปริมาณการผลิต ตลอดจนการเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าการเกษตร ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมและพัฒนาเกษตรกรไทยให้ก้าวไปสู่การทำการเกษตรแบบยั่งยืน

thThai