ฮ่องกงลุ้นส่งออกฟื้น รับสัญญาณบวกหลังศึกภาษีสหรัฐฯ-จีน หยุดพัก

ตัวแทนภาคอุตสาหกรรมระบุว่า ฮ่องกงอาจเห็นการส่งออกเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญภายในสองเดือนข้างหน้า หลังสหรัฐฯ และจีนบรรลุข้อตกลงพักข้อพิพาททางภาษีเป็นเวลา 90 วัน ส่งผลให้ผู้ค้าจำนวนมากเร่งจัดส่งสินค้าสู่ตลาดสหรัฐฯ แม้ว่าต้นทุนค่าขนส่งจะพุ่งสูงขึ้นก็ตาม

ภายหลังการเจรจาที่บรรลุข้อตกลงเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา สหรัฐฯ ได้ประกาศลดอัตราภาษีศุลกากรที่ประกาศใช้เมื่อเดือนเมษายนลง 91 จุด และจะทยอยลดลงอีก 24 จุดในช่วง 90 วันข้างหน้า โดยยังคงจัดเก็บภาษีในอัตรา 10% สำหรับสินค้าจีนบางรายการ

อย่างไรก็ดี อัตราภาษี 20% ที่สหรัฐฯ บังคับใช้กับสินค้าจีนเมื่อต้นปี โดยให้เหตุผลว่าเพื่อสกัดกั้นการลักลอบนำเข้าเฟนทานิล ยังคงมีผลบังคับใช้เช่นเดิม

ผู้เชี่ยวชาญในแวดวงอุตสาหกรรมเปิดเผยการคาดการณ์ด้านการส่งออกเมื่อวันพุธ ซึ่งตรงกับวันแรกของการบังคับใช้อัตราภาษีใหม่ 54% สำหรับพัสดุขนาดเล็กที่มีมูลค่าไม่เกิน 800 ดอลลาร์สหรัฐ โดยก่อนหน้านี้อัตราภาษีดังกล่าวได้ปรับเพิ่มจาก 30% เป็น 90% และต่อมาไต่ระดับสูงสุดถึง 120%

Mr. Gary Lau Ho-yin, chairman of the Hong Kong Association of Freight Forwarding and Logistics เปิดเผยว่า “ช่วงผ่อนผัน 90 วันนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญที่ผู้ผลิตและผู้ส่งออกจะเร่งจัดส่งสินค้าไปยังตลาดสหรัฐฯ ให้ได้มากที่สุด โดยคาดว่าปริมาณการส่งออกจะเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนตั้งแต่สัปดาห์หน้าเป็นต้นไป”

Mr. Lau กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมาแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซหลายรายของฮ่องกงได้ระงับการจัดส่งสินค้าไปยังสหรัฐฯ และเก็บสต๊อกสินค้าไว้ในคลัง เนื่องจากผลกระทบจากอัตราภาษีที่สูง ส่งผลให้การส่งออกทางอีคอมเมิร์ซชะงักตัวลง โดยผู้ประกอบการจำนวนมากยังคงรอดูทิศทางความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ก่อนจะตัดสินใจกลับมาดำเนินการจัดส่งอีกครั้ง ทั้งนี้เขาได้เตือนว่า ต้นทุนการขนส่งอาจพุ่งสูงขึ้น เนื่องจากผู้ผลิตและผู้ส่งออกหลายรายอาจหันมาใช้บริการขนส่งทางอากาศสำหรับพัสดุเร่งด่วน ซึ่งมีความยืดหยุ่นและคล่องตัวมากกว่าการขนส่งทางเรือ โดยคาดว่าค่าขนส่งอาจเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 40–50%

แม้จะเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัว แต่ Mr. Lau ย้ำว่า อัตราภาษีสำหรับพัสดุขนาดเล็กยังอยู่ในระดับที่สูงเกินไป ส่งผลให้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังเลือกใช้แนวทาง “รอดูสถานการณ์” ก่อนตัดสินใจดำเนินการ เขาประเมินว่า ปริมาณพัสดุขนาดเล็กที่ส่งไปยังสหรัฐฯ ภายใต้อัตราภาษีใหม่ 54% จะกลับมาอยู่ที่เพียงราว 70–80% ของระดับเดิม

ด้าน Mr. Andrew Kwok Chi-wah, president of the Hong Kong Small and Medium Enterprises Association (SMEs) แสดงความเห็นว่า การฟื้นตัวของการส่งออกน่าจะเริ่มเห็นผลชัดเจนภายในช่วง 1–2 เดือนข้างหน้า “รัฐบาลฮ่องกงควรเร่งให้ความช่วยเหลือ และระดมทรัพยากรด้านโลจิสติกส์เพิ่มเติม เพื่อสนับสนุนการขนส่งสินค้าของภาคธุรกิจ” เขากล่าว

ทั้งนี้ Mr. Kwok ยอมรับว่า แม้ภาษีจะมีการปรับลดลง แต่ผู้ประกอบการ SMEs ยังคงเผชิญกับภาระต้นทุนที่สูง และสินค้าจีนยังมีราคาสูงในตลาดสหรัฐฯ เมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้า

อย่างไรก็ตาม เขาแสดงความเชื่อมั่นว่า อาจมีข่าวดีเพิ่มเติมในวันเสาร์นี้ โดยอ้างถึงถ้อยแถลงของประธานาธิบดี Donald Trump ที่ระบุว่าจะเข้าพบกับประธานาธิบดี Xi Jinping ภายในสัปดาห์นี้ และอาจมีการหารือเกี่ยวกับมาตรการภาษี ทั้งนี้ Mr. Kwok ยังเปิดเผยว่า ผู้ประกอบการ SMEs ในฮ่องกงเริ่มหันไปสำรวจตลาดใหม่ๆ เช่น ซาอุดีอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

ขณะเดียวกัน การเจรจาระดับทวิภาคีระหว่างสหรัฐฯ และจีน ที่จัดขึ้น ณ นครเจนีวาเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ยังนำไปสู่การตัดสินใจของจีนในการระงับหรือยกเลิกมาตรการตอบโต้ที่ไม่ใช่ภาษีทั้งหมดที่เคยประกาศตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน รวมถึงการขึ้นบัญชีบริษัทสหรัฐฯ บางรายไว้ในรายชื่อคว่ำบาตร และการควบคุมการส่งออกแร่หายากบางชนิด

ความคิดเห็นของ สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองฮ่องกง

การปรับลดภาษีช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับตัวในระยะสั้นได้ แต่การเปลี่ยนแปลงของนโยบายสหรัฐฯ อาจสร้างความไม่แน่นอนในอนาคต ซึ่งหมายความว่าบริษัทต้องมีแผนสำรองและกลยุทธ์ที่ยืดหยุ่น บทบาทของรัฐบาลฮ่องกงในการสนับสนุนด้านโลจิสติกส์และโครงสร้างพื้นฐานมีความสำคัญอย่างมาก หากสามารถเร่งกระบวนการขนส่งสินค้าและลดต้นทุนให้ผู้ประกอบการได้ ก็จะช่วยรักษาความสามารถในการแข่งขันทางการค้า นอกจากนี้การเดินหน้าสำรวจตลาดใหม่และการทำข้อตกลงการค้าเสรีกับภูมิภาคอื่นๆ จะรักษาเสถียรภาพของฮ่องกงในฐานะเมืองที่เป็นมิตรต่อการค้าระหว่างประเทศ โดยไทยก็จะได้รับประโยชน์จากข้อตกลงการค้า AHKFTA และข้อตกลงระหว่างอาเซียน-ฮ่องกง ซึ่งช่วยลดอุปสรรคทางภาษี ทำให้สินค้าส่งออกของไทยสามารถแข่งขันได้มากขึ้น

 แหล่งข้อมูล: China Economy News & Analysis | South China Morning Post