รัฐสุลต่านโอมาน (Sultanate of Oman) จะกลายเป็นประเทศแรกในกลุ่มประเทศคณะมนตรีควาเริ่มเก็บภาษี 5% จากผู้ที่มีรายได้ต่อปีเกิน 42,000 เรียลโอมาน (ประมาณ 109,234 ดอลล่าห์สหรัฐฯ) โดยจะเริ่มปฎิบัติปี 2571
กฎหมายภาษีรายได้บุคคลธรรมดาฉบับนี้ได้รับการรับรองผ่านพระราชกฤษฎีกาที่ 56/2025 (Royal Decree No. 56/2025) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกระจายแหล่งรายได้ของรัฐบาลลดการพึ่งพารายได้จากน้ำมันและความเสี่ยงเมื่อราคาน้ำมันผันผวน
โอมานจะเป็นประเทศแรกใน GCC ที่ใช้ระบบนี้ ในขณะที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) และประเทศ GCC อื่นๆ ได้นำระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และภาษีนิติบุคคลมาใช้แล้ว นอกจากนี้ยูเออียังเก็บภาษีสินค้าที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ เช่น บุหรี่และเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล เพื่อส่งเสริมวิถีชีวิตที่ดีของผู้อยู่อาศัย
ตามรายงานของสำนักข่าวโอมาน กฎหมายนี้จะมีผลบังคับใช้ในต้นปี 2571 โดยนาง Karima Mubarak Al Saadi ผู้อำนวยการโครงการภาษีรายได้บุคคล (Personal Income Tax Project) ระบุว่าการเตรียมการสำหรับการจัดเก็บภาษีทั้งหมดนั้นเสร็จสมบูรณ์แล้ว อย่างไรก็ตาม มีข้อยกเว้นบางประการ เช่น การหักค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา สาธารณสุข มรดก เงิน zakat (เงินบริจาคทางศาสนา) บ้านพักหลักหลังแรก และปัจจัยทางสังคมอื่นๆ
ทางการโอมานระบุว่าได้มีการศึกษาอย่างละเอียดก่อนนำระบบนี้มาใช้ และพบว่า ประมาณ 99%ของประชากรโอมานจะไม่ต้องเสียภาษีนี้
นาย Thomas Vanhee ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Aurifer Middle East Tax Consultancy กล่าวว่ากฎหมายนี้จะใช้กับประชาชนที่อยู่อาศัยในโอมานทุกคน ทั้งชาวโอมานพื้นเมืองและชาวต่างชาติ ทั้งนี้โอมานเป็นประเทศแรกใน GCC ที่จะบังคับใช้ระบบนี้ ซึ่งสะท้อนถึงกลยุทธ์การลดการพึ่งพาน้ำมันตามวิสัยทัศน์โอมาน 2583 หรือ Oman Vision 2040 ที่ต้องการสร้างเศรษฐกิจที่ยั่งยืนโดยไม่พึ่งพาน้ำมันอีกทั้งอัตราภาษี 5% นั้นต่ำเมื่อเทียบกับมาตรฐานโลก ดังนั้นผู้มีรายได้สูงจะถูกเก็บภาษีในอัตราที่ไม่สูงมาก
หลังจากที่โอมานประกาศการเก็บภาษีรายได้ส่วนบุคคลในปี2571 ผู้เชี่ยวชาญคาดว่าประเทศอ่าวอื่นๆ อาจพิจารณานำระบบนี้มาใช้เพื่อกระจายรายได้เช่นกัน
นาย Scott Livermore ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจจาก Oxford Economics Middle East ระบุว่า แม้ประเทศ GCC อื่นยังไม่มีแผนเก็บภาษีบุคคลในขณะนี้ แต่ในระยะกลางอาจมีการพิจารณาระบบนี้ โดยโอมานอาจเป็นต้นแบบให้ประเทศอื่นๆแม้ระบบของโอมานจะครอบคลุมแค่ 1% ของผู้มีรายได้สูง แต่แสดงให้เห็นถึงความกล้า ที่จะปฏิรูปนโยบายการคลัง
นาง Rachel Fox หุ้นส่วนและผู้เชี่ยวชาญด้านภาษี ของ Al Tamimi & Co. บริษัทกฎหมายชื่อดัง กล่าวว่ารายละเอียดเกี่ยวกับแหล่งที่มาของรายได้ที่ถือว่าต้องเสียภาษีเงินได้ส่วนบุคคล รวมถึงการลดหย่อนภาษีประเภทใดบ้างที่ได้รับอนุญาตจะชัดเจนขึ้นเมื่อกฎหมายดังกล่าวได้รับการเผยแพร่อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะมีการอนุญาตให้หักลดหย่อนภาษีสำหรับค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาการรักษาพยาบาลเงินริจาค Zakat และการบริจาคการกุศล รวมถึงรายการอื่นๆ
นาย Vijay Valecha ตำแหน่ง CIO จากบริษัทการเงิน Century Financial ระบุว่ามีข้อยกเว้นหลายประการ เช่น รายได้จากต่างประเทศ (2 ปีแรก) รายได้จากการขายบ้านหลังที่สอง มรดก และของขวัญ นอกจากนี้ ประเทศ GCC อื่นๆ ได้ปฏิรูประบบภาษีทางอ้อมไปแล้ว และโครงสร้างภาษีของโอมานถือว่าก้าวหน้า โดยเก็บจากกลุ่มคนรวยที่สุดเพียง 1% เท่านั้น
ความเห็นของ สคต.ดูไบ
การเก็บภาษีนี้แสดงให้เห็นว่าโอมานพร้อมเดินหน้าลดพึ่งพาน้ำมันขณะเดียวกันก็พยายามไม่สร้างผลกระทบต่อประชาชนส่วนใหญ่สามารถส่งเสริมความน่าเชื่อถือทางการคลัง การปฏิรูปภาษีช่วยให้โอมานดูมีความโปร่งใสและเป็นระบบมากขึ้นในสายตานักลงทุนต่างชาติ อาจช่วยปรับปรุงความน่าเชื่อถือทางเศรษฐกิจ (Credit Rating) ในระยะยาว สามารถเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคต เพราะหลายประเทศใน GCC อาจต้องเก็บภาษีรายได้บุคคลในอนาคต โอมานที่เริ่มก่อนจะได้เปรียบในการปรับตัว
ในขณะเดียวกันอาจส่งผลต่อการดึงดูดนักลงทุนและแรงงานมีทักษะ อาจทำให้บางบริษัทหรือผู้เชี่ยวชาญต่างชาติมองยูเออีหรือกาตาร์ (ที่ยังไม่เก็บภาษีนี้) เป็นทางเลือกที่น่าสนใจกว่า เพราะหากประเทศอื่นใน GCC ไม่เก็บภาษีนี้ตามโอมาน อาจทำให้โอมานเสียความได้เปรียบในการแข่งขัน นอกจากนี้ อาจจะมีแรงต่อต้านจากผู้มีรายได้สูง แม้เก็บจากกลุ่มเล็กๆ แต่ผู้มีรายได้สูงอาจมองว่าเป็นการลดกำไรหรือรายได้ส่วนตัวอาจเกิดการเลี่ยงภาษี หรือย้ายเงินไปลงทุนในประเทศอื่น และอาจจะส่งผลกระทบทางจิตวิทยาต่อตลาด นักลงทุนอาจกังวลว่าโอมานจะเพิ่มอัตราภาษีในอนาคต หรือขยายฐานผู้เสียภาษี อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นในระยะสั้น โดยเฉพาะหากเศรษฐกิจโลกไม่แน่นอน
การค้าระหว่างไทยกับโอมาน
โอมานเป็นตลาดรองรับสินค้าส่งออกของไทยอันดับ 7 ในตะวันออกกลาง ปี 2567 มูลค่า 420 ล้านดอลลาห์สหรัฐ (หดตัว 5.2%) ปี 2568 (ม.ค.-พ.ค.) มูลค่า 187ล้านดอลลาห์สหรัฐ (ขยายตัว 18.7%) ได้แก่ยานยนต์และอะไหล่ เคมีภัณฑ์ เครื่องปรับอากาศ ยางรถยนต์ ตู้เย็น/แช่แข็ง อากาศยานและส่วนประกอบ ปลากระป๋อง ไฟเบอร์บอร์ด และเครื่องสำอาง
การนำเข้าจากโอมานปี 2567 มูลค่า 999.12 ล้านดอลล่าห์สหรัฐ (หดตัว 18.8%) ปี 2568 (ม.ค.-พ.ค.) มูลค่า 353.2 ล้านดอลล่าห์สหรัฐ (หดตัว 15.1%) ได้แก่ ก๊าซธรรมชาติ เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เคมีภัณฑ์ ปุ๋ย น้ำมันสำเร็จรูป สัตว์น้ำสดแช่เย็น/แช่แข็ง สินแร่โลหะอื่น ๆ