เจาะลึกตลาดโลก (Deep insight into the global market)

จีน

small_ningxia 2.png

thumbnail_ningxia 2.png

ningxia 2.png

สคต. ณ นครเฉิงตู (จีน)

“เขตชาโปโถว” ยกระดับสู่ศูนย์กลางท่องเที่ยวไฮเอนด์ แห่งจีนตะวันตก

กระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมญี่ปุ่น (METI) คาดการณ์ปริมาณการผลิตเหล็กดิบ ของญี่ปุ่นช่วงไตรมาส 3 ของปี 2568&nbsp;(กรกฎาคม-กันยายน)&nbsp;ที่ 20.1 ล้านตัน หดตัวร้อยละ 2.3 เทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2567 ซึ่งแม้จะคงระดับใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนหน้า หากแต่สะท้อนสภาวะอุปสงค์อ่อนแอ ทั้งตลาดในประเทศ และตลาดส่งออก&nbsp;ปัจจัยหลักของการหดตัวดังกล่าว คือ การที่ภาคอุตสาหกรรมหลักที่ใช้วัตถุดิบเหล็ก โดยเฉพาะยานยนต์ และการก่อสร้างยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ โดยความต้องการจากภาคยานยนต์คาดว่าจะปรับขึ้นเล็กน้อยที่ร้อยละ 1.9 ปริมาณ 2.4 ล้านตัน ทั้งนี้ แม้หลายบริษัทเริ่มกลับมาดำเนินการผลิตหลังชะลอสายการผลิตเมื่อปี 2567 จากกรณีความไม่โปร่งใสในการรายงานผลด้านความปลอดภัย หากแต่ยังคงดำเนินกลยุทธ์อย่างระมัดระวัง โดยเน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ เพื่อป้องกันปัญหาที่จะส่งผลต่อความเชื่อมั่นในระยะยาว ขณะเดียวกัน ความต้องการใช้เหล็กในอุตสาหกรรมก่อสร้างยังอยู่ในระดับต่ำ ที่ 3.9 ล้านตัน ซึ่งใกล้เคียงกับ ปีก่อนหน้า เนื่องจากปัญหาการขาดแคลนแรงงาน และต้นทุนวัสดุก่อสร้างที่ปรับสูงขึ้นในส่วนของภาคการค้าระหว่างประเทศ คาดการณ์ว่าปริมาณส่งออกจะอยู่ที่ 6.1 ล้านตัน หดตัวร้อยละ 11.5 เป็นผลจากการแข่งขันที่รุนแรงจากเหล็กราคาถูกของจีนที่ยังคงทะลักเข้าสู่ตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างต่อเนื่อง ขณะที่ผู้ผลิตญี่ปุ่นไม่สามารถปรับราคาลงมาแข่งขันกับสินค้าราคาถูกที่ไม่มีมูลค่าเพิ่มได้ รวมถึงเลือกที่จะไม่ปรับลดราคาจนกระทบต่ออัตรากำไร สำหรับผลกระทบจากนโยบายขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กของสหรัฐอเมริกาที่ร้อยละ 50 เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา&nbsp;METI&nbsp;ประเมินว่า จะยังไม่ส่งผลกระทบในระยะสั้น เนื่องจากสินค้าที่สหรัฐฯ นำเข้าจากญี่ปุ่นส่วนใหญ่มีลักษณะเฉพาะ ไม่สามารถหาแหล่งผลิตอื่นทดแทนได้ง่าย อย่างไรก็ดี ผู้ผลิตบางรายเริ่มประสบปัญหาในการรักษาความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับคู่ค้าในสหรัฐฯที่มา&nbsp;:&nbsp;<a target="_blank" rel="noopener noreferrer" href="https://www.argusmedia.com/en/news-and-insights/latest-market-news/2708228-japan-s-crude-steel-output-to-fall-in-jul-sep-meti">https://www.argusmedia.com/en/news-and-insights/latest-market-news/2708228-japan-s-crude-steel-output-to-fall-in-jul-sep-meti</a>

ญี่ปุ่น

สคต. ณ นครโอซากา (ญี่ปุ่น)

สถานการณ์อุตสาหกรรมเหล็กดิบของญี่ปุ่น

<figure class="image image-style-side image_resized" style="width:44.6%;"><img src="https://files-website.ditp.go.th/uploads/G_45_2_8_2568_9753cf1c9e.jpg" alt="G-ฉบับที่ 45 วันที่ 2-8 สิงหาคม 2568.jpg" srcset="https://files-website.ditp.go.th/uploads/thumbnail_G_45_2_8_2568_9753cf1c9e.jpg 174w, https://files-website.ditp.go.th/uploads/small_G_45_2_8_2568_9753cf1c9e.jpg 500w" sizes="100vw" width="500"></figure>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;น้ำมันรำข้าว หรือ こめ油 ซึ่งได้มาจากการสกัดรำข้าว กำลังได้รับความนิยมในญี่ปุ่นในฐานะน้ำมันสารพัดประโยชน์ ด้วยคุณสมบัติที่หลากหลาย เช่น รสชาติที่ดีและอายุการเก็บรักษาที่ยาวนาน ทำให้ตลาดมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2567 มูลค่าตลาดน้ำมันรำข้าวสำหรับการบริโภคในครัวเรือนทะยานขึ้นไปจนเกือบถึงระดับ 2 หมื่นล้านเยน (ประมาณ 4.4 พันล้านบาท) และปริมาณการบริโภคน้ำมันดังกล่าวก็เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แม้จะมีการคาดการณ์ว่าตลาดยังคงสามารถเติบโตต่อไปได้ แต่ก็มีความกังวลเรื่องการจัดหาวัตถุดิบหลักอย่าง “รำข้าว” อย่างต่อเนื่อง รวมถึงต้นทุนที่เกี่ยวข้องในกระบวนการผลิต &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ในปี 2567 มูลค่าตลาดน้ำมันรำข้าวสำหรับการบริโภคในครัวเรือนอยู่ที่ประมาณ 1.9 หมื่นล้านเยน (ประมาณ 4.2 พันล้านบาท) ซึ่งเพิ่มขึ้นราวๆ 10% เมื่อเทียบกับปี 2566 และยอดขายโดยรวมก็เพิ่มขึ้นประมาณ 10% เช่นกัน แม้จะอยู่ในกลุ่มสินค้าราคาพรีเมียม แต่น้ำมันรำข้าวก็ได้รับความนิยมในรูปแบบการใช้งานทั่วไปเช่นเดียวกับน้ำมันคาโนลาและน้ำมันสลัด และยังเป็นสินค้าเพียงประเภทเดียวในกลุ่มน้ำมันราคาพรีเมียมที่มียอดขายเติบโตอย่างต่อเนื่องสำหรับน้ำมันในบรรจุภัณฑ์ขนาดใหญ่&nbsp; ในร้านค้าปลีกเองก็มีแนวโน้มขยายจำนวน Stock Keeping Unit (SKU) อย่างชัดเจน น้ำมันรำข้าวจึงกลายเป็นสินค้าที่มีการเติบโตอย่างเห็นได้ชัด รองลงมาจากน้ำมันมะกอก (ประมาณ 4.6 หมื่นล้านเยน หรือ ราวๆ 1 หมื่นล้านบาท) น้ำมันงา (ประมาณ 3.8 หมื่นล้านเยน หรือ ราวๆ 8.4 พันล้านบาท) และน้ำมันคาโนลา (ประมาณ 3.6 หมื่นล้านเยน หรือ ราวๆ 8 พันล้านบาท) ในตลาดน้ำมันสำหรับการบริโภคในครัวเรือนผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศผู้ส่งออกน้ำมันรำข้าวรายสำคัญให้กับญี่ปุ่น โดยในปี 2567 &nbsp;ไทยส่งออกน้ำมันรำข้าวไปยังญี่ปุ่นรวมทั้งสิ้นราวๆ 1.6 หมื่นตัน คิดเป็นมูลค่า 3.6 พันล้านเยน (ประมาณ 792 ล้านบาท) อ้างอิงจากรหัสศุลกากร HS Code 1515.90.410 และ 1515.90.420 หลายๆ น้ำมันรำข้าวของไทยสามารถพบได้ในญี่ปุ่น ทั้งที่ปรากฏภายใต้ตราสินค้าของตนเองและที่ผลิตในรูปแบบแบรนด์ของห้าง (Private Brand) เช่น CGC Group และ Beisia อีกทั้งน้ำมันดังกล่าวจากไทยยังเป็นหนึ่งในวัตถุดิบสำคัญที่บริษัทชั้นนำของญี่ปุ่นอย่าง Tsuno Food Industrial Co., Ltd. ซึ่งเป็นผู้ผลิตอันดับหนึ่งของวงการน้ำมันรำข้าวในญี่ปุ่น ใช้ในกระบวนการผลิตอีกด้วย เนื่องจากญี่ปุ่นประสบปัญหาเรื่องการจัดสรรข้าวในประเทศอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2567 ความต้องการในน้ำมันรำข้าวจากไทยจึงมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นในอนาคตข้อคิดเห็น/เสนอแนะของ สคต.&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;น้ำมันรำข้าวที่ผลิตในประเทศมีแนวโน้มที่จะได้รับความนิยมในหมู่ผู้บริโภคชาวญี่ปุ่นมากกว่าน้ำมันรำข้าวจากต่างประเทศ ดังนั้น การตั้งราคาขายของน้ำมันรำข้าวจากไทยในตลาดญี่ปุ่นควรต่ำกว่าผลิตภัณฑ์ในประเทศเพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันในตลาด ผู้ประกอบการไทยที่กำลังวางแผนเข้าสู่ตลาดญี่ปุ่น ควรศึกษาข้อมูลราคาขายน้ำมันรำข้าวแบ่งตามแหล่งผลิต (ในประเทศและต่างประเทศ) เพื่อวางแผนการพัฒนาสินค้าและการตั้งราคาอย่างเหมาะสม อีกจุดสำคัญที่ทำให้น้ำมันรำข้าวได้รับความนิยมในครัวเรือนญี่ปุ่นคือ คุณค่าทางโภชนาการ ดังนั้น หากสามารถแสดงข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์หรือผลการวิเคราะห์คุณค่าทางโภชนาการของผลิตภัณฑ์ตนเองได้ ก็จะช่วยเพิ่มคุณค่าให้สินค้าต่อสายตาของผู้ซื้อได้มากยิ่งขึ้นสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น แปลและเรียบเรียงจาก หนังสือพิมพ์ The Japan Food Journal ฉบับวันที่ 1 สิงหาคม 2568 ภาพประกอบข่าวจากเว็บไซต์&nbsp; https://item.rakuten.co.jp/irisplaza-r/7251792/&nbsp;

ฉบับที่ 45 วันที่ 2-8 สิงหาคม 2568.pdf

medium_ฉบับที่ 45 วันที่ 2-8 สิงหาคม 2568.jpg

small_ฉบับที่ 45 วันที่ 2-8 สิงหาคม 2568.jpg

thumbnail_ฉบับที่ 45 วันที่ 2-8 สิงหาคม 2568.jpg

ฉบับที่ 45 วันที่ 2-8 สิงหาคม 2568.jpg

สคต. ณ กรุงโตเกียว (ญี่ปุ่น)

ตลาดน้ำมันรำข้าวในญี่ปุ่น ใกล้แตะ 2 หมื่นล้านเยน

&nbsp; <img class="image_resized image-style-align-left" style="aspect-ratio:199/249;width:16.67%;" src="https://files-website.ditp.go.th/uploads/image_a553ca6dea.png" alt="image.png" width="199" height="249" align="left" hspace="12" v:shapes="図_x0020_1" uploadprocessed="true">บริษัท&nbsp;Daiwa Can Co., Ltd.&nbsp;ผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์รายใหญ่ของญี่ปุ่นเปิดตัวกระป๋องบรรจุอาหารที่สามารถอุ่นในไมโครเวฟได้เป็นครั้งแรกในญี่ปุ่น &nbsp; นับเป็นก้าวสำคัญของอุตสาหกรรมอาหารพร้อมรับประทาน&nbsp;บรรจุภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์เร่งรีบของผู้บริโภคยุคใหม่นี้ ใช้&nbsp;Non-Spark Cap&nbsp;ซึ่งคือฝาพลาสติกเสริมติดบริเวณก้นกระป๋องทำหน้าที่ลดการสะท้อนของคลื่นไมโครเวฟ และป้องกันการเกิดประกายไฟ (Sparking)&nbsp;ของโลหะ ขณะที่ให้ความร้อนสม่ำเสมอทั่วทั้งกระป๋อง นวัตกรรมนี้ทำให้ไม่ต้องถ่ายอาหารใส่ภาชนะอื่นก่อนนำเข้าอุ่น ซึ่งเป็นข้อจำกัดหลักของกระป๋องโลหะในอดีตบริษัทฯ ใช้เวลาในการวิจัย และพัฒนานานกว่า 4 ปี ตั้งแต่ปี 2021 จนได้ผลิตภัณฑ์ที่มีความปลอดภัย และประสิทธิภาพสูงในการใช้งาน โดยสามารถลดระยะเวลาในการอุ่นอาหารในไมโครเวฟขนาด 500 วัตต์ เหลือเพียง 60 วินาที และมีความปลอดภัย ไม่เกิดประกายไฟใดๆ หากทำตามคำแนะนำในการใช้ผลิตภัณฑ์ ซึ่งผลิตภัณฑ์ “พร้อมอุ่นและพร้อมรับประทาน” นี้ จะวางตลาดในปี 2026 ซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภค ทั้งในแง่ของความสะดวก ปลอดภัย และการลดปริมาณขยะภาชนะ ใช้แล้วทิ้ง โดยบริษัทฯ จะนำเสนอให้กับผู้ผลิตอาหารหลากหลายประเภท ทั้งอาหารกระป๋องสำเร็จรูป ซุป และเมนูอาหารพร้อมรับประทานการเปิดตัวนวัตกรรมนี้นับเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการผสานความคิดสร้างสรรค์ทางวิศวกรรมกับความเข้าใจผู้บริโภค ซึ่งอาจเป็นจุดเริ่มต้นของ “ยุคใหม่แห่งกระป๋องอาหาร” ที่สะดวก ปลอดภัย และสอดคล้องกับวิถีชีวิตสมัยใหม่อย่างแท้จริง โดยบริษัทฯ จะผลักดันให้เทคโนโลยีนี้เป็นมาตรฐานใหม่&nbsp;ในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ของญี่ปุ่น และต่อยอดไปยังตลาดต่างประเทศต่อไปที่มา&nbsp;:&nbsp;<a target="_blank" rel="noopener noreferrer" href="https://www.daiwa-can.co.jp/news/250711.html">https://www.daiwa-can.co.jp/news/250711.html</a>

Daiwa Can เปิดตัวกระป๋องอุ่นไมโครเวฟได้ครั้งแรกในญี่ปุ่น

ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา สังคมญี่ปุ่นให้ความสำคัญอย่างมากกับการใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพ หรือที่เรียกว่า “Jitan” (ประหยัดเวลา)&nbsp;สะท้อนพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ต้องการลดเวลาในกิจวัตรประจำวัน โดยเฉพาะในการจัดเตรียม ปรุง และรับประทานอาหาร เพื่อใช้เวลาในการทำกิจกรรมที่ชอบ หรือจำเป็นกว่าอื่นๆ&nbsp;แนวโน้มดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของสังคม โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นของครัวเรือนที่สามีภรรยาทำงานทั้งคู่ &nbsp;(Dual income)&nbsp;ซึ่งมีจำนวนมากถึง 12.78 ล้านครัวเรือน ในปี 2023 เพิ่มขึ้นร้อยละ 38 เทียบกับปี 1993 ทั้งนี้ พนักงานในญี่ปุ่นใช้เวลาเฉลี่ยเพียง 89 นาทีต่อวัน ในการรับประทานอาหาร ซึ่งน้อยที่สุดนับตั้งแต่ปี 1976&nbsp;ผลสำรวจโดยบริษัท&nbsp;Nyle&nbsp;พบว่า ร้อยละ 52 ของประชากรญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับการใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพในการปรุง และรับประทานอาหาร ส่งผลให้อุตสาหกรรมอาหารรูปแบบ “Jitan Gohan”&nbsp;หรือ&nbsp;Time-Saving Cooking&nbsp;และ&nbsp;RTE&nbsp;หรือ&nbsp;Ready to Eat มีแนวโน้มเติบโตต่อนื่อง ในการนี้ คาดการณ์การขยายตัวของตลาดอาหาร&nbsp;RTE&nbsp;ทั่วโลก จาก 422.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2025 เป็น 538 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2030 ทั้งนี้ แม้การใช้จ่ายด้านอาหารโดยรวมของผู้บริโภคญี่ปุ่นจะลดลง หากแต่คาดการณ์การขยายตัวของหมวดอาหารแปรรูปจะเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 111 ภายในปี 2040&nbsp;(ข้อมูลจาก&nbsp;Global Information)&nbsp;ทั้งนี้ "Jitan time-saving food"&nbsp;หมายถึง อาหารที่ใช้เวลาและขั้นตอนในการจัดเตรียม ปรุง และรับประทานน้อย เน้นความสะดวกรวดเร็วเป็นหลัก ขณะที่ยังคงให้ความสำคัญกับสุขภาพ และคุณค่าทางโภชนาการ ซึ่งเป็นการช่วยลดความเครียดจากการใช้ชีวิตในปัจจุบัน รวมถึงประหยัดเงินจากการออกไปทานข้าวนอกบ้าน โดยแบ่งเป็น1. อาหาร “สะดวก” เช่น&nbsp;&nbsp; &nbsp; - อาหารพร้อมรับประทาน : ข้าวกล่อง (Bento set)&nbsp;ข้าวปั้น (Onigiri)&nbsp;บะหมี่สำเร็จรูป&nbsp; &nbsp; - อาหารกระป๋อง : ปลากระป๋อง ผักผลไม้ ที่นำมาทานกับอาหารอื่นอย่างง่ายๆ เช่น เป็นหน้าขนมปังปิ้ง ใส่สลัด ฯลฯ&nbsp;&nbsp; &nbsp; - อาหารแช่แข็ง : ผัก อาหารทะเล อาหารสำเร็จรูป ที่นำมาปรุงเป็นเมนูหลากหลาย และมีคุณค่าทางโภชนาการครบ&nbsp;2. อาหารพร้อมนำมาปรุงอย่างรวดเร็ว&nbsp; &nbsp; - ผักตัดแต่ง (Pre-cut vegetables) :&nbsp;ลดเวลาในการหั่น โดยเฉพาะหัวหอม แครอต&nbsp;&nbsp; &nbsp; - ข้าว และธัญพืชหุงสำเร็จ (Pre-cooked grains)&nbsp;พร้อมประกอบเป็นอาหารที่หลากหลายรวมถึง ควินัว (Quinoa)&nbsp;และคูสคูส (Couscous)&nbsp;ที่มีคุณประโยชน์สูง&nbsp;&nbsp; &nbsp; - เต้าหู้ : สามารถนำมาปรุงเมนูผัด หรือใส่สลัด&nbsp;3. เมนูที่ประหยัดเวลาในการปรุง และล้างทำความสะอาดภาชนะ (Time-Saving Recipes)&nbsp; &nbsp;- อาหารปรุงในหม้อ (One-pot meals) :&nbsp;ซุป สตูว์ และผัด ซึ่งล้างภาชนะได้อย่างสะดวก รวดเร็ว&nbsp; &nbsp;-&nbsp;Batch cooking :&nbsp;ทำอาหารในปริมาณมาก สำหรับทานได้หลายมื้อ&nbsp; &nbsp;- “30-minute Cook Meals”&nbsp;ใช้เวลาเตรียม และปรุงไม่เกิน 30 นาที<a target="_blank" rel="noopener noreferrer" href="https://www.nikkei.com/article/DGXZQOUF2816K0Y5A720C2000000/">https://www.nikkei.com/article/DGXZQOUF2816K0Y5A720C2000000/</a><a target="_blank" rel="noopener noreferrer" href="https://www.nikkei.com/article/DGXZQOUC03A9L0T00C25A7000000/">https://www.nikkei.com/article/DGXZQOUC03A9L0T00C25A7000000/</a>

large_名称未設定のデザイン (4).png

medium_名称未設定のデザイン (4).png

small_名称未設定のデザイン (4).png

thumbnail_名称未設定のデザイン (4).png

名称未設定のデザイン (4).png

แนวโน้ม “อาหารลดเวลาปรุง” ขยายตัวในญี่ปุ่น

ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงพรีเมียมที่ผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติ/ออร์แกนิกในญี่ปุ่นมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง คาดการณ์มูลค่าตลาดในปี 2568 ประมาณ 2.16 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และจะเพิ่มถึง 5.32 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2576 ขยายตัวเฉลี่ยต่อปีร้อยละ 10.53&nbsp;ปัจจุบัน ญี่ปุ่นมีอัตราการแต่งงาน และมีบุตรลดลง รวมถึงมีประชากรสูงอายุมากที่สุดในโลก ทำให้ความนิยมเลี้ยงสัตว์เสมือนเป็นสมาชิกครอบครัวเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ และผู้สูงอายุ ทั้งนี้ ญี่ปุ่นมีจำนวนสัตว์เลี้ยง (สุนัข และแมว) มากที่สุดเป็นอันดับ 10 ของโลก หรือกว่า 15.9 ล้านตัว ขณะที่จำนวนเยาวชนอายุต่ำกว่า 15 ปี อยู่ที่ 13.7 ล้านคน&nbsp;กระแสนิยมการเลี้ยงสัตว์ส่งผลให้&nbsp;“Pet parents”&nbsp;ให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิต และการดูแลสัตว์เลี้ยงเช่นเดียวกับคน ซึ่งรวมถึงเทรนด์การเลือกอาหารพรีเมียม&nbsp;“Human grade”&nbsp;ที่มีคุณประโยชน์ ตอบโจทย์ด้านสุขภาพ&nbsp;และความปลอดภัย ช่วยการทำงานของระบบ&nbsp;(เช่น การย่อยอาหาร)&nbsp;ลดการก่อโรค และอาการแพ้&nbsp;(โดยเฉพาะจากกลูเตน&nbsp;ธัญพืช)&nbsp;เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะตามอายุ สายพันธุ์ และสุขภาพ เน้นใช้วัตถุดิบปราศจากสารเคมี/สารเติมแต่ง และมีคุณภาพสูง อาทิ เนื้อไก่ที่เลี้ยงแบบปล่อยธรรมชาติ หรือธัญพืชที่ไม่ผ่านการดัดแปลงพันธุกรรม เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่กระบวนการผลิตที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ไปจนถึงบรรจุภัณฑ์ที่ทำจากวัสดุรีไซเคิล ตลอดจนมีความโปร่งใสตลอดห่วงโซ่อุปทานรูปแบบผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์ที่มีแนวโน้มขยายตัว อาทิ อาหารสด และแช่เย็นที่ตอบโจทย์ความต้องการด้านสารอาหาร และคุณภาพสูงที่ผ่านการแปรรูปน้อยที่สุด, โปรตีนทางเลือกเพื่อความยั่งยืน และสูตรอาหารเฉพาะตามอายุ สายพันธุ์ น้ำหนัก และสภาวะสุขภาพ&nbsp;<span style="-webkit-text-stroke-width:0px;display:inline !important;float:none;font-style:normal;font-variant-caps:normal;font-variant-ligatures:normal;font-weight:400;letter-spacing:normal;orphans:2;text-align:start;text-decoration-color:initial;text-decoration-style:initial;text-decoration-thickness:initial;text-indent:0px;text-transform:none;white-space:normal;widows:2;word-spacing:0px;">แหล่งที่มา :&nbsp;https://newscast.jp/news/0078460

large_名称未設定のデザイン (3).png

medium_名称未設定のデザイン (3).png

small_名称未設定のデザイン (3).png

thumbnail_名称未設定のデザイン (3).png

名称未設定のデザイン (3).png

ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงพรีเมียมในญี่ปุ่น

สเปน

ข่าว 1 ดีลภาษีสหรัฐ-อียู คาดกระทบ GDP สเปนร้อย.pdf

large_รูปภาพ1.jpg

medium_รูปภาพ1.jpg

small_รูปภาพ1.jpg

thumbnail_รูปภาพ1.jpg

รูปภาพ1.jpg

สคต. ณ กรุงมาดริด (สเปน)

ดีลภาษีสหรัฐ-อียู คาดกระทบ GDP สเปนร้อยละ 0.10-0.15

&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; อุตสาหกรรมยานยนต์ของเยอรมนีกำลังเผชิญกับวิกฤตรุนแรง หลังจากผู้ผลิตรายใหญ่ทยอยรายงานผลประกอบการที่ย่ำแย่และประกาศแผนปลดพนักงานจำนวนมาก ทั้งนี้ ภาคธุรกิจที่เคยเป็นเสาหลักทางเศรษฐกิจของประเทศเริ่มแสดงสัญญาณชะลอตัวอย่างชัดเจน โดย&nbsp;Volkswagen วางแผนลดตำแหน่งงานถึง&nbsp;33,000 ตำแหน่ง ภายในปี 2030 และบริษัทในเครืออย่าง&nbsp;Porsche จะปลดอีก 1,900 ตำแหน่ง ด้าน&nbsp;Mercedes-Benz เองก็มีความเป็นไปได้ว่าจะลดพนักงานลงถึง 20,000 ตำแหน่ง แม้ยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการ นอกจากนี้ BMW รายงานว่ากำไรในครึ่งแรกของปี&nbsp;2025 ลดลงมากกว่า&nbsp;25% ซึ่งถือเป็นไตรมาสที่สามติดต่อกันที่ผลกำไรลดลงสำหรับ&nbsp;Porsche สถานการณ์รุนแรงยิ่งกว่า โดยขาดทุนไปเกือบ&nbsp;70% ในช่วงเวลาเดียวกัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; สาเหตุหลักของวิกฤตนี้มาจากยอดขายที่ตกต่ำ โดยเฉพาะยอดขายในตลาดจีนที่ลดลง รวมถึงผลกระทบจากนโยบายภาษีของทรัมป์ที่ต้องจ่ายสำหรับสินค้านำเข้าของสหรัฐอเมริกา แม้ว่าข้อตกลงภาษีฉบับใหม่ระหว่างสหรัฐฯและสหภาพยุโรปจะลดอัตราภาษีจาก&nbsp;27.5% เหลือ&nbsp;15% แต่ก็ยังคงสูงกว่าในอดีต ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์เยอรมันเสียเปรียบในการแข่งขัน นอกจากนี้ ความล่าช้าในการเปลี่ยนผ่านสู่การผลิตรถยนต์ไฟฟ้ายังเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ความต้องการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ ชะลอตัวลง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; Porsche ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม&nbsp;Volkswagen รวมถึง&nbsp;Mercedes หวังได้รับการปฏิบัติพิเศษในตลาดสหรัฐอเมริกา โดยประกาศแผนการลงทุนจำนวนมากในประเทศสหรัฐฯ และ&nbsp;Volkswagen ยังวางแผนที่จะสร้างโรงงานใหม่สำหรับแบรนด์&nbsp;Audi แต่หลังจากข้อตกลงเรื่องภาษีใหม่ ความหวังที่จะได้รับข้อยกเว้นพิเศษเหล่านี้ก็ต้องสลายไป นอกจากนี้ ภาษีนำเข้าในสหรัฐฯ ยังคงเป็นภาระหนักที่ส่งผลกระทบต่อซัพพลายเออร์ด้วยเช่นกัน ตัวอย่างเช่น บริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนและเทคโนโลยี Sensopart ซึ่งเป็นผู้ผลิตเซ็นเซอร์สำหรับสายการผลิตของบริษัทอย่าง Mercedes และ&nbsp;BMW ที่แม้ว่าจะมีช่องทางขายตรงในสหรัฐฯ แต่การผลิตทั้งหมดยังอยู่ที่ประเทศเยอรมนี โดยผู้บริหารของบริษัทอธิบายว่า ภาษีนำเข้า 15% บวกกับค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงถึง&nbsp;8-9% ส่งผลให้กำไรขั้นต้นของบริษัทลดลงถึง&nbsp;23-24% เมื่อเทียบกับคู่แข่งในท้องถิ่น บริษัทวางแผนที่จะรับภาระต้นทุนเหล่านี้ด้วยตนเองในระยะสั้นเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดสหรัฐฯ และไม่ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภค นอกจากนี้ยังตั้งใจที่จะมองหาโอกาสในตลาดใหม่ๆ เช่น ขยายตลาดไปยังอินเดียและอเมริกาใต้ เพื่อหลีกเลี่ยงการเลิกจ้างพนักงานกว่า&nbsp;350 คนทั่วโลก และคาดหวังการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบขับเคลื่อนแบบไฟฟ้าของรถยนต์ เนื่องจากจะช่วยสร้างความต้องการเครื่องจักรใหม่ๆ อย่างไรก็ตาม ความคืบหน้าในการเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบบรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มตัวชะลอตัวลงเนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยและการแข่งขันระดับโลกที่ตึงเครียดมากขึ้นข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; 1.&nbsp;อุตสาหกรรมรถยนต์เยอรมนีซึ่งเคยเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดโลก กำลังเผชิญกับความท้าทายอย่างหนัก ทั้งจากแรงกดดันทางเศรษฐกิจ การเปลี่ยนผ่านไปสู่รถยนต์ไฟฟ้าที่ช้ากว่าคาดการณ์ รวมถึงผลกระทบจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และความไม่แน่นอนในตลาดต่างประเทศ เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของอุตสาหกรรมที่พึ่งพาตลาดและเทคโนโลยีแบบเดิมมากเกินไป และจำเป็นต้องเร่งปรับตัวอย่างรวดเร็วเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในยุคใหม่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; 2. ผู้ประกอบการไทยที่ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์หรือชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์สำหรับยานยนต์ มีโอกาสขยายตลาดในยุคที่บริษัทใหญ่จากยุโรปกำลังมองหาผู้ค้ารายใหม่ที่หลากหลายและกระจายความเสี่ยง รวมถึงโอกาสในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังเติบโต&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; 3. การเร่งพัฒนานวัตกรรมด้านรถยนต์ไฟฟ้าและเทคโนโลยีสะอาดเพื่อรองรับเทรนด์โลกที่มุ่งสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นอีกหนึ่งโอกาสที่จะสร้างความเติบโตให้ผู้ประกอบการไทยได้*****************************************************ที่มา: tagesschau

เยอรมนี

large_transport-concept-with-cars-aerial-view.jpg

medium_transport-concept-with-cars-aerial-view.jpg

small_transport-concept-with-cars-aerial-view.jpg

thumbnail_transport-concept-with-cars-aerial-view.jpg

transport-concept-with-cars-aerial-view.jpg

สคต. ณ นครแฟรงก์เฟิร์ต (เยอรมนี)

อุตสาหกรรมรถยนต์เยอรมันยังเผชิญวิกฤตแม้ข้อตกลงใหม่ของสหรัฐฯ 

&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;ตลาดเภสัชกรรมของอินเดียกำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยคาดว่าจะมีส่วนแบ่งตลาดโลกสูงถึง 5% ภายในปี 2573 (ค.ศ. 2030) จากมูลค่าตลาดปัจจุบันที่ 55,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งคาดการณ์ว่าจะขยายตัวถึง 130,000 ล้านเหรียญสหรัฐ จากการขับเคลื่อนของอุปสงค์ภายในประเทศที่แข็งแกร่งและการส่งออกไปยังต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;ปัจจุบันอุตสาหกรรมยาและเภสัชกรรมในอินเดียมีมูลค่าประมาณ 55,000 ล้านเหรียญสหรัฐ คาดว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้น 2.2 ถึง 2.4 เท่าในช่วง 6 ปีข้างหน้า โดยคาดว่าจะมีมูลค่าระหว่าง 120,000 ถึง 130,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2573 และอาจแตะระดับ 450,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2590 อุตสาหกรรมยาและเภสัชกรรมโลกในปัจจุบันมีมูลค่าประมาณ 1.6 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ โดยอินเดียมีส่วนแบ่งอยู่ที่ประมาณ 3% ถึง 3.5% การเติบโตที่คาดการณ์ไว้จะยิ่งเน้นย้ำถึงบทบาทของอินเดียในฐานะผู้เล่นหลักในเวทีอุตสาหกรรมยาโลก<figure class="image"><img style="aspect-ratio:300/225;" alt="Picture1.jpg" src="https://files-website.ditp.go.th/uploads/Picture1_128bc8de95.jpg" width="300" height="225"></figure> &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;จุดเด่นของอุตสาหกรรมยาอินเดียคือ ตลาดส่งออกมีขนาดใกล้เคียงกับตลาดภายในประเทศ ซึ่งแสดงถึงความแข็งแกร่งด้านการแข่งขันระดับโลก การส่งออกยาของอินเดียมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ โดยคิดเป็น 6% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าทั้งหมด ในปี 2566 อินเดียส่งออกยาได้มูลค่า 27,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจาก 19,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2561 หรือเติบโตเฉลี่ยปีละ 8% ข้อมูลจากรายงานยังระบุไว้ว่า กว่า 70% ของการส่งออกเป็นยาในรูปแบบสำเร็จรูป ในขณะที่ ยาชั้นต้น (bulk drugs) และ สารตั้งต้น (intermediates) คิดเป็นราว 20% กลุ่มผลิตภัณฑ์ส่งออกอื่น ๆ ได้แก่ วัคซีน ยาชีววัตถุคล้ายคลึง (biosimilars) และผลิตภัณฑ์นวัตกรรม เช่น สารเคมีใหม่ (New Chemical Entities: NCEs) และ ชีววัตถุใหม่ (New Biological Entities: NBEs) อินเดียได้สร้างตัวเองให้เป็น “ศูนย์กลางเภสัชภัณฑ์ของโลก” โดยมีโรงงานผลิตยามากกว่า 10,000 แห่ง บริษัทเภสัชภัณฑ์กว่า 3,000 แห่ง และโรงงานที่ผ่านการรับรองจาก องค์การอาหารและยาสหรัฐ (US-FDA) ถึง 650 แห่ง ซึ่งถือเป็นจำนวนมากที่สุดที่ตั้งฐานการผลิตนอกสหรัฐอเมริกา อินเดียยังเป็นผู้จัดจำหน่ายยาสามัญรายใหญ่ที่สุดของโลก โดยผลิตยาสามัญ 1 ใน 5 ที่จำหน่ายทั่วโลก ผลิตภัณฑ์ยาอินเดียส่งออกไปเกือบ 200 ประเทศ โดยตอบสนองความต้องการยาสามัญในทวีปแอฟริการาว 50% และในสหรัฐอเมริกาประมาณ 40% ด้วยศักยภาพในการผลิตยาคุณภาพสูงในต้นทุนต่ำ อินเดียจึงได้รับสมญานามว่า "ร้านขายยาของโลก (Pharmacy of The World)" &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;แม้อินเดียจะเป็นผู้นำในเชิงปริมาณการผลิต แต่อย่างไรก็ดี ในด้านมูลค่าการส่งออก อินเดียยังคงตามหลังประเทศอื่น ๆ โดยรายงานระบุว่า อินเดียอยู่ในอันดับที่ 11 ของโลก ในเชิงของมูลค่าการส่งออกยา คิดเป็นเพียงประมาณ 3% ของการส่งออกยาทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ด้วยอุปสงค์ภายในประเทศที่แข็งแกร่ง การส่งออกที่เติบโตต่อเนื่อง และความก้าวหน้าในด้านนวัตกรรมทางเภสัชกรรม อุตสาหกรรมยาอินเดียจึงมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างโดดเด่นในปีถัดไป ข้อมูลเพิ่มเติม&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; 1.&nbsp;ตามรายงานของ HDFC Securities อุตสาหกรรมยาและการดูแลสุขภาพของอินเดียมีแนวโน้มรายได้เติบโตต่อเนื่องในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2569 (Q1FY26E) โดยธุรกิจยาคาดว่าจะมีการเติบโตของยอดขาย 11% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า (YoY) ซึ่งเป็นผลจากยอดขายภายในประเทศที่เติบโต 11% และยอดขายในตลาดสหรัฐที่เพิ่มขึ้น 2% ทั้งในเชิงรายปีและรายไตรมาส อย่างไรก็ดี อัตรากำไร (EBITDA) อาจลดลง 42 จุดฐาน (bps) เนื่องจากแรงกดดันจากต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น ราคาขายที่แข่งขันในตลาดสหรัฐ และการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนาที่คาดว่าจะขยายตัว ขณะที่ธุรกิจโรงพยาบาลคาดว่าจะเติบโต 15% (YoY) โดยได้รับแรงสนับสนุนจากระดับ ARPOB (Average Revenue Per Occupied Bed) ที่มีเสถียรภาพ แม้อัตราการเข้าพักผู้ป่วยจะไม่สูงขึ้นก็ตาม &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;2.&nbsp;ในภาพรวม อินเดียจัดเป็นประเทศผู้ผลิตยารายใหญ่อันดับ 3 ของโลกในเชิงปริมาณ และอันดับที่ 14 ในเชิงมูลค่า ด้วยโครงสร้างผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ครอบคลุมตั้งแต่ยาสามัญ ยาชั้นต้น ยา OTC วัคซีน ไปจนถึงชีววัตถุคล้ายคลึงและชีววัตถุ ส่งผลให้อุตสาหกรรมยาอินเดียมีบทบาทสำคัญในระดับโลกอย่างชัดเจน ผลกระทบทางเศรษฐกิจและความท้าทาย &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; 1. โอกาสในการส่งออกสินค้าและเทคโนโลยีด้านเภสัชภัณฑ์ของไทย: การขยายตัวของภาคการผลิตยาในอินเดีย โดยเฉพาะความต้องการสารออกฤทธิ์ทางยา (APIs) สารตั้งต้น เครื่องจักรผลิตยา และอุปกรณ์ห้องปฏิบัติการ เพื่อรองรับการลดการพึ่งพาจีน เปิดโอกาสให้ไทยวางตำแหน่งตนเองในฐานะผู้จัดหาสินค้าและเทคโนโลยีที่น่าเชื่อถือในห่วงโซ่อุปทานระดับภูมิภาค &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;2. ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ในสาขานวัตกรรมสุขภาพและผลิตภัณฑ์เสริม: แนวโน้มการเติบโตของอินเดียในด้านยา ชีววัตถุ ยาที่มีนวัตกรรม วัคซีน และตลาดสุขภาพแบบองค์รวม เช่น อายุรเวทและเวชภัณฑ์จากธรรมชาติ สอดคล้องกับจุดแข็งของไทยในด้านสมุนไพร ผลิตภัณฑ์สปา และโภชนเภสัชภัณฑ์ อันนำไปสู่โอกาสในการสร้างความร่วมมือด้านการวิจัย การลงทุนร่วม และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ส่งออกในกลุ่มอุตสาหกรรมข้ามสาขา 3. กฎระเบียบด้านการนำเข้ายาของอินเดียมีแนวโน้มเข้มงวดมากขึ้น: โดยเฉพาะในด้านคุณภาพและการตรวจสอบทางคลินิก (clinical validation) ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมของไทย (SMEs) ที่ต้องการเข้าสู่ตลาดอินเดีย ข้อคิดเห็น &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; 1. จากข้อมูลล่าสุดประจำปี พ.ศ. 2567 อุตสาหกรรมยาและเวชภัณฑ์ของอินเดียมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ประมาณ 61,360–65,200 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยคาดว่าจะเติบโตแตะระดับ 130,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี พ.ศ. 2573 คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีระหว่างร้อยละ 8.75–11.32 ทั้งนี้ อินเดียได้มีนโยบายผลักดันตนเองเป็นศูนย์กลางการผลิตยาสามัญระดับโลก ด้วยการใช้ความได้เปรียบจากโครงสร้างพื้นฐานอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่ง ประกอบด้วยโรงงานผลิตมากกว่า 10,000 แห่ง และโรงงานที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจาก USFDA จำนวน 650 ความสามารถนี้ทำให้อินเดียสามารถผลิตยาสามัญได้ถึงหนึ่งในห้าของยาทั้งหมดที่จำหน่ายทั่วโลก และยังสามารถส่งออกไปยังประเทศต่างๆ เช่น สหรัฐอเมริกา มูลค่า 8,730 ล้านเหรียญสหรัฐ สหราชอาณาจักร 784.32 ล้านเหรียญสหรัฐ และตลาดอื่น ๆ ในหลากหลายภูมิภาค &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp; 2. แม้อินเดียจะมีปริมาณการส่งออกในระดับสูง แต่มูลค่าการส่งออกกลับคิดเป็นเพียงร้อยละ 3 ของการส่งออกเภสัชภัณฑ์ทั่วโลก และอยู่ในอันดับที่ 11 ของโลก โดยกว่าร้อยละ 70 ของสินค้าส่งออกเป็นยาสำเร็จรูป และประมาณร้อยละ 20 เป็นยาดิบและสารตั้งต้น สถานการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงลักษณะตลาดที่มุ่งเน้นการแข่งขันด้านราคาและปริมาณ มากกว่าการสร้างมูลค่าเพิ่มเชิงนวัตกรรม สำหรับประเทศไทย ซึ่งมีส่วนแบ่งตลาดเภสัชกรรมโลกเพียงร้อยละ 0.5 การเข้าสู่ตลาดอินเดียจำเป็นต้องดำเนินการด้วยกลยุทธ์ที่รอบคอบและยืดหยุ่น ประกอบกับรัฐบาลมีแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาระบบยาของประเทศไทย พ.ศ. 2566-2570 อันจะเพิ่มศักยภาพการวิจัยนวัตกรรมพัฒนายาที่มีความสำคัญ โดยจะผลักดันให้เกิดการผลิตยานวัตกรรมและเพิ่มมูลค่าการส่งออกยา และส่งเสริมให้มีการผลิตวัตถุดิบยาและสมุนไพรในประเทศระยะสั้น (เช่น สารสกัดฟ้าทะลายโจร) พร้อมทั้งยกร่างกฎหมายส่งเสริมเศรษฐกิจผลิตภัณฑ์สุขภาพอย่างครบวงจร ทั้งนี้ ผู้ประกอบการไทยควรมุ่งให้ความสำคัญในเรื่อง (1) การเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันด้านต้นทุนการผลิต (2) การจัดตั้งพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์กับภาคอุตสาหกรรมในอินเดีย และ (3) การลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างนวัตกรรมในผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูง เช่น สารเคมีใหม่ (New Chemical Entities: NCEs) และสารชีวภาพใหม่ (New Biological Entities: NBEs) เพื่อสร้างความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญในตลาดที่มีการแข่งขันอย่างเข้มข้น&nbsp; ที่มา: 1.https://economictimes.indiatimes.com/industry/healthcare/biotech/pharmaceuticals/india-pharma-healthcare-revenue-to-grow-steadily-in-q1fy26e-ebitda-margins-under-pressure-report/articleshow/122401925.cms?from=mdr 2. https://auto.economictimes.indiatimes.com/news/industry/indias-automotive-sector-drives-5-trillion-economy-ambition-with-record-exports/122150911 &nbsp;

อินเดีย

บันทึก สรุปข่าวเด่นรายสัปดาห์ประจำวันที่ 4-8 .8.2568 -2.pdf

thumbnail_images.jpeg

images.jpeg

สคต. ณ เมืองมุมไบ (อินเดีย)

ตลาดเภสัชกรรมอินเดียเตรียมขยายตัว 2.4 เท่าใน 5 ปีข้างหน้า พร้อมครองส่วนแบ่งตลาดโลก 5%

medium_Untitled design (1).png

small_Untitled design (1).png

thumbnail_Untitled design (1).png

Untitled design (1).png

สคต. ณ เมืองชิงต่าว (จีน)

ศุลกากรจีนขานรับการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาอย่างเข้มข้น