fb
ไต้หวันลดการพึ่งพาเศรษฐกิจจีน ขยายการค้าและการลงทุนสู่ตลาดใหม่

ไต้หวันลดการพึ่งพาเศรษฐกิจจีน ขยายการค้าและการลงทุนสู่ตลาดใหม่

ลงเมื่อ 30 กรกฎาคม 2568 16:38
42

ในช่วงเวลากว่าทศวรรษที่ผ่านมา ไต้หวันได้ค่อยๆ ปรับทิศทางด้านเศรษฐกิจโดยพยายามลดการพึ่งพาตลาดจีน ทั้งในด้านการลงทุนและการส่งออกสินค้า โดยมีปัจจัยหลายประการที่ผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ตั้งแต่ต้นทุนการดำเนินงานในจีนที่เพิ่มสูงขึ้น ความตึงเครียดทางการค้าและภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงภายในของเศรษฐกิจจีนเอง

ข้อมูลจากมูลนิธิแลกเปลี่ยนช่องแคบไต้หวัน (Straits Exchange Foundation) ระบุว่า สัดส่วนของธุรกิจไต้หวันที่ลงทุนในจีนลดลงอย่างต่อเนื่อง จาก 83.8% ของการลงทุนในต่างประเทศของไต้หวันในปี 2553 เหลือเพียง 11.4% ในปี 2566 และเหลือแค่ 2.7% ในไตรมาสแรกของปี 2567 เท่านั้น การลดลงของการลงทุนในจีนนั้น ส่วนหนึ่งมีสาเหตุมาจากนโยบายมุ่งใต้ใหม่ (New Southbound Policy) ซึ่งรัฐบาลไต้หวันส่งเสริมให้นักธุรกิจไปลงทุนในกลุ่มประเทศอาเซียนและเอเชียใต้ ทั้งนี้ การลงทุนของไต้หวันในภูมิภาคอื่นที่ไม่ใช่จีน ได้เพิ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2555 ก่อนที่ไต้หวันจะมีนโยบายมุ่งใต้ใหม่ เนื่องจากธุรกิจไต้หวันหลายแห่งเริ่มตระหนักถึงผลกระทบของสภาพแวดล้อมด้านการลงทุนในจีนที่มีต่อผลกำไร โดยค่าใช้จ่ายในการลงทุนในจีนที่เพิ่มสูงขึ้น เป็นผลจากการพัฒนาเศรษฐกิจของจีนเอง ต้นทุนด้านแรงงาน สิ่งแวดล้อม และการปฏิบัติตามกฎระเบียบ เพิ่มสูงขึ้นมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแถบเมืองชายฝั่งตะวันออก ทำให้ข้อได้เปรียบในการลงทุนในพื้นที่เหล่านั้นลดลง อีกทั้งจีนยังได้ส่งเสริมอุตสาหกรรมการผลิตภายในประเทศของตนเอง โดยมีนโยบาย “Made in China” ด้วยเป้าหมายที่จะกลายเป็นมหาอำนาจด้านการผลิตภายใน 10 ปี ซึ่งทำให้เกิดการแข่งขันกับธุรกิจในไต้หวันของเหล่านักธุรกิจไต้หวันที่ไปลงทุนในจีนด้วยเช่นกัน ส่งผลให้ธุรกิจไต้หวันเริ่มขยายการลงทุนไปยังประเทศอื่น ในปี 2025 ในปี 2555 แม้ว่าสัดส่วนของการลงทุนในจีน จะยังคงเกิน 50% ของการลงทุนในต่างประเทศทั้งหมด แต่การลงทุนในภูมิภาคอื่นก็เพิ่มขึ้นเป็น 40% ในปีเดียวกัน จากที่เคยมีสัดส่วนเพียง 22% ในปีก่อนหน้า เห็นได้ชัดว่า การลงทุนของไต้หวันทั่วโลกเพิ่มขึ้นถึง 10% ภายในเวลาเพียงปีเดียว ซึ่งถือเป็นการขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญ และเกิดขึ้นก่อนที่จะมีนโยบายมุ่งใต้ใหม่ 

ในด้านการค้า จากข้อมูลของกระทรวงการคลังไต้หวันชี้ว่า สัดส่วนการส่งออกสินค้าของไต้หวันไปยังจีนและฮ่องกงในปี 2567 มีสัดส่วนอยู่ที่ 31.7% ลดลง 12.2% จากระดับสูงสุดที่ 43.9% ในปี 2563 นอกจากความขัดแย้งทางการค้าที่ทวีความรุนแรงระหว่างจีนและสหรัฐฯ แล้ว กระทรวงการคลังยังชี้ว่า การลดลงนี้สะท้อนถึงสภาพเศรษฐกิจจีนที่อ่อนแอลง อันมีสาเหตุมาจากตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่เปราะบางและอุปสงค์ภายในประเทศที่เข้าสู่ภาวะชะลอตัว และยังสัมพันธ์กับความพยายามของรัฐบาลจีนในการผลักดันนโยบาย “Made in China 2025” ที่ลดการพึ่งพาสินค้านำเข้า โดยส่งเสริมการผลิตสินค้าในประเทศ โดยกลุ่มสินค้าไต้หวันที่การส่งออกไปจีนในปี 2567 มีการหดตัวคือ กลุ่มปิโตรเคมี โลหะพื้นฐาน เครื่องจักรกล รวมถึงชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เช่น แผงวงจรพิมพ์ (PCB) และ ไดโอด (diodes) ซึ่งได้รับผลกระทบจากภาวะอุปทานล้นตลาดในประเทศจีน อย่างไรก็ดี ในช่วงเวลาเดียวกัน การส่งออกสินค้ากลุ่ม วงจรรวมประสิทธิภาพสูง (high-end IC) และ การ์ดประมวลผลกราฟิก (GPU) ซึ่งใช้ในเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 

ในขณะที่การส่งออกไปจีนลดลง การส่งออกของไต้หวันไปยัง สหรัฐฯ และกลุ่มประเทศอาเซียนกลับมากขึ้น โดยการส่งออกของไต้หวันไปยังสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 120% ในปี 2567 ภายในระยะเวลา 4 ปี คิดเป็นมูลค่าถึง 111.4 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ การเติบโตดังกล่าวได้รับแรงขับเคลื่อนหลักจากกลุ่มผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะ เซิร์ฟเวอร์และการ์ดจอ ซึ่งเพิ่มขึ้น 640% และ เซมิคอนดักเตอร์ ที่เพิ่มขึ้นถึง 360% ในช่วงเวลาเดียวกัน โดยการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ในปี 2567 คิดเป็น 23.4% ของการส่งออกทั้งหมดของไต้หวัน ซึ่งเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นจาก 14.6% ในปี 2563 ส่วนการส่งออกไปยังกลุ่มประเทศอาเซียน คิดเป็น 18.5% ของการส่งออกทั้งหมดในปี 2567 เพิ่มขึ้น 3.1% จาก 15.4% ในปี 2563 โดยส่วนใหญ่มาจากการเติบโตของการส่งออก คอมพิวเตอร์ สินค้าที่เกี่ยวข้อง และเซมิคอนดักเตอร์ 

ภาพรวมเหล่านี้แสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในภาพใหญ่ของไต้หวัน โดยลดการพึ่งพาจีน และขยายตลาดสู่นานาชาติในลักษณะที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงและยืดหยุ่นให้กับเศรษฐกิจในระยะยาว

ที่มา: Economic Daily News, Taipei Times (14 July 2025)

ข้อเสนอแนะ/ความคิดเห็นของ สคต.

การพึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่งมากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนหรือการส่งออก ย่อมมีความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะเมื่อเผชิญกับปัจจัยทางเศรษฐกิจ การเมือง และภูมิรัฐศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงไป การกระจายความเสี่ยงจึงเป็นสิ่งจำเป็น ธุรกิจของไทยเองอาจมีโอกาสที่จะได้รับผลกระทบจากนโยบาย Made in China 2025 ของจีนเช่นกัน การทบทวนและวางแผนกระจายความเสี่ยงไปยังตลาดอื่นๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญ นอกจากนี้ การลดการพึ่งพาจีน ทำให้ธุรกิจไต้หวันต้องหาฐานการผลิตใหม่ และมีการย้าย,ฐานการลงทุนไปยังประเทศไทยเป็นจำนวนมาก เช่น กลุ่ม PCB (แผงวงจรพิมพ์ซึ่งเป็นโอกาสในการดึงดูดนักลงทุนไต้หวัน โดยเฉพาะในส่วนของอุตสาหกรรมต้นน้ำและปลายน้ำของกลุ่ม PCB ให้เข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น เพื่อให้เกิดเป็น Cluster Effect ที่จะส่งผลให้เกิดระบบนิเวศอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่งต่อไป

o680269a.pdf
Share :
Instagram