ในคืนวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา นาง Ursula von der Leyen ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป (EU) และ ประธานาธิบดี Donald Trump สามารถหาข้อสรุปในการเจรจาอัตราภาษีนำเข้าใหม่ระหว่างสหรัฐฯและ EU ที่ประเทศสก็อตแลนด์ ก่อนจะถึงกำหนดขีดเส้นตายที่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ประกาศไว้ก่อนหน้านี้ในเรื่องการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหภาพยุโรปเป็นร้อยละ 30 ในวันที่ 1 สิงหาคมที่จะถึงนี้ ซึ่งอัตราใหม่ที่ตกลงได้อยู่ที่ร้อยละ 15 สำหรับสินค้าส่วนใหญ่ ในขณะที่สินค้าอีกหลายรายการยังไม่มีความชัดเจนและจำเป็นต้องติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมต่อจากนี้
ความคิดเห็นจากภาครัฐ
นาย François Bayrou นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศสตลอดจนนักการเมืองจากหลายฝ่าย แสดงความเห็นว่าการเจรจาในครั้งนี้ EU แสดงความประนีประนอมมากเกินไปส่งผลให้ผลประโยชน์ส่วนใหญ่ตกอยู่ทางฝั่งสหรัฐฯเท่านั้น ในขณะที่อีกส่วนหนึ่งแสดงความชื่นชมซึ่งเป็นส่วนน้อยที่เห็นว่า EU สามารถหลีกเลี่ยงสงครามการค้าในครั้งนี้ได้ นาย Eric Lombard รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังฝรั่งเศสเตรียมเรียกประชุมตัวแทนจากบริษัทในภาคอุตสาหกรรมต่างๆและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหารือผลกระทบจากอัตราภาษีใหม่ภายในสัปดาห์นี้
ความคิดเห็นจากภาคเอกชน
หน่วยงาน Medef (เครือข่ายภาคเอกชนที่สำคัญที่สุดของฝรั่งเศสประกอบด้วยบริษัทสมาชิกทั่วประเทศ 200,000 แห่ง) แสดงความเห็นว่า ข้อตกลงในครั้งนี้อาจไม่ให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดต่อทั้งต่อ EU และฝรั่งเศส แต่ช่วยรักษาผลประโยชน์ให้กับอุตสาหกรรมที่เป็นเศรษฐกิจหลักหลายด้านของฝรั่งเศสไว้ได้
หน่วยงาน CPME – Confédération des PME ซึ่งมีความสำคัญรองจาก Medef (เครือข่ายผู้ประกอบการขนาดเล็กและกลางที่มีลูกจ้างต่ำกว่า 250 คน ประกอบด้วยสมาชิกจำนวนทั้งสิ้น 243,709 แห่ง) กล่าวว่าอัตราภาษีร้อยละ 15 ที่เพิ่มขึ้นนี้จะส่งผลให้ผู้ประกอบการฝรั่งเศสต้องเสียภาษีศุลกากรเพิ่มขึ้นมากกว่า 1.8 พันล้านยูโร จากมูลค่าการส่งออก 50,000 ล้านยูโรในแต่ละปี ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็กมากกว่าผู้ประกอบการขนาดใหญ่ และโอกาสที่สินค้าใหม่จะเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯจะทำได้ยากมากขึ้น
สรุปผลการเจรจาในเบื้องต้น
สินค้าที่ได้รับการยกเว้นภาษีร่วมกันระหว่างทั้งสองฝ่าย ได้แก่
- สินค้าจากภาคอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องบินและส่วนประกอบ,
- สินค้าเคมีภัณฑ์บางประเภท, ยาสามัญบางชนิด
- สินค้าเซมิคอนดักเตอร์
- สินค้าเกษตรบางชนิด แต่ไม่รวมเนื้อวัว ข้าว น้ำตาล เนื้อไก่และ เอทานอล
สินค้าที่มีการปรับอัตราภาษีนำเข้าเป็นร้อยละ 15 ในเบื้องต้น ได้แก่
ประเภทของสินค้า | สถานการณ์และ/หรือผลกระทบต่อผู้ประกอบการฝรั่งเศส |
---|---|
สินค้าจากอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ | ลดลงจากอัตราร้อยละ 27.5 ในปัจจุบัน อัตราใหม่นี้สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ประกอบการมากขึ้น |
อุตสาหกรรมนมและผลิตภัณฑ์ที่มาจากนม | บริษัทฝรั่งเศสขนาดใหญ่ดังเช่น Lactalis และ Danone ต่างมีฐานการผลิตในสหรัฐฯ จะได้รับผลกระทบน้อยกว่าผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็กที่ต้องส่งสินค้าไปยังสหรัฐ โดยเฉพาะผู้ประกอบการสินค้าที่มีตราสัญลักษณ์ AOP (เครื่องหมายรับรองคุณภาพของ EU) จะได้รับผลกระทบมากกว่าเนื่องจากเป็นสินค้าที่มีราคาสูงมากกว่าสินค้าอุตสาหกรรมในท้องตลาด |
ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง | สินค้าเครื่องสำอางฝรั่งเศสได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้าสหรัฐฯมาโดยตลอด ซึ่งสหรัฐฯเป็นตลาดส่งออกขนาดใหญ่ด้วยสัดส่วนร้อยละ 12 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของฝรั่งเศส การปรับให้มีภาษีนำเข้าร้อยละ 15 ย่อมส่งกระทบต่อสินค้าชนิดนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้โดยเฉพาะต่อผู้ประกอบการขนาดเล็ก อาจก่อให้เกิดความสูญเสียถึง 300 ล้านยูโรในแต่ละปี และอาจก่อให้เกิดการยกเลิกการจ้างงานถึง 5,000 ตำแหน่ง |
สินค้าลักชัวรี่ | กลุ่มบริษัท LVMH ประเมินว่าอัตราใหม่นี้จะไม่กระทบกระเทือนต่อกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อในสหรัฐฯ |
- ภาษีเหล็กกล้าและอลูมิเนียม ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงจากที่ได้ปรับขึ้นภาษีทั่วโลกที่ร้อยละ 50 ในเดือนมีนาคมที่ผ่าน มาโดยจะมีการเจรจาเพื่อให้มีอัตราโควตาในการส่งออก
- สินค้าไวน์และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยังไม่ได้ผลสรุป
ข้อแลกเปลี่ยนทางการค้าที่อยู่ EU ตกลงร่วมกับสหรัฐอเมริกา
- EU ตกลงซื้อสินค้าพลังงานจากสหรัฐอเมริกา (แก๊สธรรมชาติ) มูลค่า 750,000 ล้านเหรียญจากสหรัฐฯ ในช่วงระยะเวลา 3 ปี ( 250,000 ล้านเหรียญต่อปี ) ซึ่งจากเดิมรัสเซียเป็นคู่ค้ารายสำคัญของ EU
- มูลค่าการลงทุนจากบริษัท EU ในสหรัฐอเมริกา เพิ่มขึ้นเป็น 600,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งรวมมูลค่าการลงทุนที่ได้ตกลงไว้เดิม
- ตกลงซื้ออาวุธยุโธปกรณ์ทางทหารเพิ่ม ซึ่งขัดแย้งกับนโยบายภายในของสหภาพยุโรปที่ต้องการให้สนับสนุนการซื้ออาวุธระหว่างกันโดยเฉพาะ EU มีผู้ผลิตรายใหญ่ของโลกอย่าง ฝรั่งเศสและสวีเดน
แนวทางการรับมือเพื่อปรับกลยุทธ์การส่งออกของฝรั่งเศสและ EU หลังจากนี้
- ขยายตลาดส่งออกไปยังภูมิภาคอื่นของโลกเพิ่มมากขึ้น ซึ่งขณะนี้ EU ให้ความสนใจต่อ อินโดนีเซียและประเทศ อื่นๆในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, กลุ่มประเทศ Mercosur , เม็กซิโก และอินเดีย เป็นประเทศที่มีศักยภาพสูง
- ศึกษาผลกระทบอย่างละเอียดเพื่อหานโยบายให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการที่จะได้รับผลกระทบในครั้งนี้ ผู้ประกอบการระดับกลางและเล็กของฝรั่งเศสย่อมจะได้รับผลกระทบมากกว่าบริษัทต่างชาติขนาดใหญ่ เนื่องจากสัดส่วนผลประกอบการที่ได้จากมูลค่าในการส่งสินค้าออกของผู้ประกอบขนาดเล็กไปยังสหรัฐอเมริกาสูงกว่าบริษัทขนาดใหญ่
- อัตราภาษีร้อยละ 15 ที่จะปรับขึ้นนี้ส่งผลกระทบเฉพาะสินค้าเท่านั้น ซึ่งเป็นส่วนที่สหรัฐอเมริกาเสียดุลให้กับ EU เป็นระยะเวลานาน แต่หากนับรวมภาคงานบริการด้วยแล้วจะพบว่า การแลกเปลี่ยนทั้งสองฝ่ายค่อนข้างสมดุลกัน ดังนั้น EU และฝรั่งเศสอาจจะเลือกใช้นโยบายปกป้องตนเอง ดังเช่น การปิดกั้นไม่ให้บริษัทสัญชาติอเมริกันเข้าร่วมการประมูลจัดซื้อจัดจ้างงานของภาครัฐ และเพิ่มความเข้มงวดในภาคงานบริการของบริษัทสหรัฐฯ มากขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะบริษัททางด้านเทคโนโลยี
ความเห็นสคต.
ผลจากการเจรจาในครั้งนี้เป็นเพียงข้อตกลงในเบื้องต้นเท่านั้น สินค้าหลายประเภทที่ยังไม่สามารถสรุปอัตราภาษีเบื้องต้นได้สร้างความกังวลให้กับผู้ประกอบการ ดังเช่นสินค้าไวน์ของฝรั่งเศสที่เป็นสินค้าส่งออกสำคัญไปยังสหรัฐฯ นอกเหนือจากนั้นการลงรายละเอียดข้อตกลงนี้ให้เป็นลายลักษณ์อักษรและนำมาปฏิบัติจริงอาจจะต้องใช้เวลาในการศึกษาเพิ่มเติมในอีกระยะเวลาหนึ่ง ทำให้ยังไม่สามารถทราบได้ว่าผลกระทบที่แท้จริงที่จะเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจฝรั่งเศสจะเป็นเช่นไร ซึ่งทางสคต. ณ กรุงปารีสจะติดตามสถานการณ์และนำมารายงานให้ทราบในโอกาสต่อไป
ที่มาของข่าว
ข้อมูลจาก
https://www.lesechos.fr/economie-france/social/droits-de-douane-le-patronat-francais-fustige-limpuissance-de-leurope-2178742