ประเด็นร้อน (Hot Topics)

ระหว่างวันที่ 23-26 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา เมืองเอ็สเซิน ประเทศเยอรมนี ได้มีการจัดงาน SPIEL ESSEN 2025 งานแสดงสินค้าประเภทบอร์ดเกมและเกมการ์ดระดับนานาติ ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของโลก โดยปีนี้ได้ทำลายสถิติผู้เข้าชมงานมากที่สุด รวมผู้เข้าร่วมงานกว่า 220,000 คน โดยบัตรเข้าชมงานถูกจำหน่ายหมดทั้ง 4 วัน เนื่องจากกระแสตอบรับที่ดีในปี 2567 ในปีนี้ผู้จัดงานได้เพิ่มอาคารแสดงสินค้าเพิ่มอีก 1 อาคาร รวมเป็นทั้งหมด 7 อาคาร หรือคิดเป็นพื้นที่ 77,500 ตารางเมตร โดยมีผู้ประกอบการและบริษัทจัดแสดงสินค้าจองอาคารเต็มทั้งหมด สรุปบริษัทและผู้ประกอบการที่เข้าร่วมทั้งหมด 948 ราย จาก 50 ประเทศ&nbsp; งาน SPIEL ESSEN เป็นงานที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ณ เมืองเอ็สเซิน มีจุดเด่นคือการรวบรวมผู้ผลิต นักออกแบบเกม ผู้จัดจำหน่าย และผู้เล่นจากทั่วโลกมาพบปะกันภายในงาน ผู้เข้าร่วมงานสามารถทดลองเล่นเกมใหม่ ๆ ซื้อสินค้าโดยตรงจากผู้ผลิต และร่วมกิจกรรมเปิดตัวเกมก่อนวางจำหน่ายจริง งานนี้ถือเป็นศูนย์กลางสำคัญของวงการเกมกระดานนานาชาติ ทั้งในด้านธุรกิจ การสร้างเครือข่าย และการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมเกมจากหลากหลายประเทศ โดยภายในงานมีการนำเสนอสินค้าและนวัตกรรมด้านบอร์ดเกมและเกมกระดานหลากหลายประเภท ได้เแก่ เกมสำหรับผู้ใหญ่ เกมครอบครัว เกมสำหรับเด็ก และเกมการ์ด รวมถึงสินค้าคาแรคเตอร์หรืออุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง โดยในปีนี้ได้มีการนำเสนอเกมใหม่ภายในงานถึง 1,700 เกม นอกจากนี้ ภายในงานยังมีกิจกรรมพิเศษมากมาย อาทิ เวทีเสวนาและแลกเปลี่ยน เวิร์คชอป กิจกรรมคอสเพลย์ เป็นต้น กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ นำผู้ประกอบการไทย 13 บริษัทเข้าร่วมจัดแสดงสินค้าในงาน SPIEL ESSEN 2025 โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์หลากหลายประเภท อาทิ เกมกระดาน เกมการ์ด เพื่อการศึกษาและเพื่อความบันเทิง ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมงานทั้งชาวเยอรมันและชาวต่างชาติเป็นจำนวนมาก โดยเกมที่ได้รับความสนใจเป็นพิเศษ ได้แก่ เกมที่มีเนื้อหาเกี่ยวการเรียนรู้เชิงสรรค์และสิ่งแวดล้อม รวมถึงเกมที่สอดแทรกอัตลักษณ์ความเป็นไทย เช่น เกมที่นำเสนออาหารไทย หรือเกมที่ได้รับแรงบันดาลใจจากการละเล่นพื้นบ้าน เช่น ผีถ้วยแก้ว เป็นต้น&nbsp; สื่อออนไลน์ด้านเกมจากประเทศเยอรมนี Spielpunkt - Games und Entertainment รายงานกระแสความนิยมในอุตสาหกรรมเกมกระดานของเยอรมนี ในปี 2568 พบว่าเกมกระดานในปี 2568 มีความนิยมพัฒนาเกมเกี่ยวข้องกับด้านวิทยาศาสตร์มากขึ้น ตัวอย่างเช่น เกมที่ชนะรางวัลที่ &nbsp;1 และ ที่ 2 จากการประกวดเกมที่ดีสุดในกลุ่มประเทศที่ใช้ภาษาเยอรมัน ได้แก่ เกมกระดาน SETI และ เกม Endeavor: Die Tiefsee (Edeavor: The Deep Sea) ตามลำดับ โดยทั้งสองเกมใช้แนวคิดทางวิทยาศาสตร์เป็นแกนหลักในการออกแบบ ไม่ว่าจะเป็นการสำรวจอวกาศเพื่อค้นหาสิ่งมีชีวิตนอกโลก หรือการสำรวจใต้ท้องทะเลลึกเพื่อค้นพบทรัพยากรและสิ่งมีชีวิตใหม่ ๆ&nbsp; &nbsp;จากรายงานของสมาคม Spieleverlage e.V. สมาคมผู้รวบรวมผู้ผลิตเกมและอยู่ภายใต้สมาคมอุตสาหกรรมของเล่นแห่งเยอรมนี (DVSI) พบว่าเกมที่ได้รับความนิยมสูงในผู้เล่นเกมชาวยุโรป ในเดือนกรกฎาคม 2568 โดยเฉพาะกลุ่มวัยผู้ใหญ่ ได้แก่ เกมที่เน้นการวางแผนเชิงกลยุทธ์ การวิเคราะห์ และความท้าทายทางความคิด รวมถึงเกมที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ โดยผู้เล่นมักให้ความสนใจกับเกมที่ผสมผสานองค์ประกอบดั้งเดิมเข้ากับเทคโนโลยีการเล่นและการเล่าเรื่องที่ทันสมัย ซึ่งสะท้อนถึงแนวโน้มของตลาดที่ยังคงรักษาเอกลักษณ์ดั้งเดิมไว้ ขณะเดียวกันก็ตอบรับกับประสบการณ์การเล่นรูปแบบใหม่มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้เหตุผลในการเล่นเกมส่วนใหญ่ เนื่องจากความต้องการใช้เวลาร่วมกันกับผู้อื่น การหลบหนีจากความตึงเครียดในชีวิตประจำวัน การพัฒนาทักษะทางสังคมและทักษะทางปัญญา รวมถึงความสนุกสนาน ซึ่งยังคงเป็นแรงจูงใจสำคัญ เกมที่ต้องใช้ความร่วมมือระหว่างผู้เล่น (Cooperative Games) ยังคงครองตลาด โดยพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภคไม่ได้คำนึงถึงราคาเป็นปัจจัยหลัก แต่ให้ความสำคัญกับเนื้อหาของเกม ที่สามารถดึงดูดและตอบโจทย์ความสนใจได้มากกว่า ช่องทางจำหน่ายหลักในประเทศเยอรมนี ยังคงเป็นร้านปลีกเฉพาะทางในด้านเกม &nbsp;ข้อเสนอแนะของสคต.&nbsp; 1) งาน SPIEL ESSEN ถือเป็นหนึ่งในกิจกรรมสำคัญที่สุดของวงการเกมกระดานระดับโลก นอกจากเป็นพื้นที่จัดแสดงเกมใหม่จากผู้ผลิตทั่วโลก ยังทำหน้าที่เป็นเวทีทางธุรกิจที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการ นักออกแบบเกม และผู้จัดจำหน่ายได้พบปะ เจรจา แลกเปลี่ยนแนวคิด และสร้างเครือข่ายทางการค้าที่สร้างโอกาสในการต่อยอดเชิงพาณิชย์ในระดับนานาชาติ เนื่องจากมีผู้ประกอบการเข้าร่วมจากหลากหลายประเทศ ทั้งยุโรป อเมริกา และเอเชีย ผู้ผลิตเกมสามารถนำเสนอผลงานต่อผู้จัดจำหน่ายจากภูมิภาคต่าง ๆ รวมถึงได้รับคำแนะนำหรือข้อเสนอเพื่อการพัฒนาเกมให้เหมาะกับตลาดโลกมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยสร้างโอกาสในการขยายตลาด ส่งออกเกม และจับมือกับพันธมิตรทางธุรกิจใหม่ ๆ นอกจากนี้ ในทางการตลาดยังเป็นโอกาสให้บริษัทได้สร้างการรับรู้แบรนด์และให้ผู้เล่นทั่วโลกได้รู้จักตัวเกมผ่านการทดลองเล่นจริงในบูธของบริษัท และเป็นแหล่งรวมข้อมูลสำคัญสำหรับการติดตามเทรนและแนวโน้มของอุตสาหกรรมเกมกระดาน ทั้งในด้านรูปแบบการออกแบบ เนื้อหา และความสนใจของผู้บริโภคในแต่ละปี ผู้ประกอบการสามารถใช้ข้อมูลเหล่านี้เพื่อวางแผนการพัฒนาเกมใหม่ให้สอดคล้องกับกระแสตลาดโลก&nbsp; 2) จากผลการประกวดเกมเยอรมันในปี 2568 เกมที่ได้รับการโหวตมากที่สุดได้แก่เกมที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับทางวิทยาศาสตร์ สะท้อนให้เห็นถึงความชอบของผู้เล่นชาวเยอรมันที่ชอบเล่นเกมที่ให้ประสบการณ์เสมือนจริงพร้อมการเรียนรู้ผ่านการเล่น การคิด วิเคราะห์ และการทำงานเป็นทีม ซึ่งเป็นโอกาสที่ผู้พัฒนาเกมไทยสามารถนำไปต่อยอดเป็นแนวคิดในการสร้างสรรค์เกมสำหรับตลาดเยอรมันและนานาชาติได้&nbsp;*****************************************************************ที่มา: spielpunkt.net &nbsp;

เยอรมนี (Germany)

medium_S__22511650.jpg

small_S__22511650.jpg

thumbnail_S__22511650.jpg

S__22511650.jpg

งานบอร์ดเกมเยอรมัน SPIEL ESSEN 2025 ประสบความสำเร็จ สร้างสถิติผู้เข้างานมากที่สุด

กัมพูชา (Cambodia)

10-27-25 ไทย–กัมพูชา ลงนาม Joint Declaration ที่มาเลเซีย.pdf

small_ไทย–กัมพูชา.jpg

thumbnail_ไทย–กัมพูชา.jpg

ไทย–กัมพูชา.jpg

“ไทย–กัมพูชา ลงนาม Joint Declaration ที่มาเลเซีย"

อิตาลี (Italy)

ข่าวเด่นประจำเดือนตลุาคม 68 (ข่าวที่ 2).pdf

medium_cq5dam.web.1280.1280.jpeg

small_cq5dam.web.1280.1280.jpeg

thumbnail_cq5dam.web.1280.1280.jpeg

cq5dam.web.1280.1280.jpeg

ภาคธุรกิจ Ho.Re.Ca แห่เข้าร่วมงานแสดงสินค้า Host Milano 2025 ประเทศอิตาลี อย่างคึกคัก

เศรษฐกิจเม็กซิโกแสดงสัญญาณชะลอตัวท่ามกลางแรงกดดันการจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศซึ่งไม่มีความตกลงการค้าเสรี ส่งผลให้ภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจมีความระมัดระวังมากขึ้นในการใช้จ่ายและลงทุน&nbsp;จากรายงานแนวโน้มของผู้บริโภคเดือนกันยายน โดย&nbsp;BBVA Research สรุปได้ดังนี้<ol style="padding-left:72px;"><li>การใช้จ่ายของประชาชนทั้งในกลุ่มสินค้าและบริการชะลอตัว โดยลดลงร้อยละ 0.3 เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า&nbsp;</li><li>การใช้จ่ายในร้านค้าตลอด 9 เดือนแรกของปี เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.2 แต่ยังคงต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ 3.5</li><li>ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคต่อเศรษฐกิจลดลงร้อยละ 2.2 และคาดการณ์ความเชื่อมั่นในอีก 12 เดือนข้างหน้าลดลง ร้อยละ 4.4&nbsp;</li></ol>นาย&nbsp;Juan Carlos Molina&nbsp;ผู้อำนวยการ GS1&nbsp;México ระบุว่า มาตรการภาษีนำเข้ายังคงเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อทั้งผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคซึ่งครอบคลุมค้าปลีก ห้างสรรพสินค้า และอีคอมเมิร์ซ อย่างไรก็ดี นาย&nbsp;Juan&nbsp;ยังคงมองสถานการณ์นี้ในเชิงบวก โดยเชื่อว่าภายใต้ความท้าทายยังมีโอกาสในการพัฒนาแหล่งผลิตภายในประเทศให้เข้มแข็งขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลเม็กซิโกภายใต้โครงการ Strategic Industries Protection Program&nbsp;ที่มุ่งส่งเสริมการผลิตภายในประเทศและทดแทนการนำเข้า ทั้งนี้ ยังย้ำว่าภาคธุรกิจจำเป็นต้องปรับตัวให้ทันต่อพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง โดยใช้กลยุทธ์ที่ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของลูกค้าในทุกช่องทาง โดยยกตัวอย่างบริษัท&nbsp;Costco&nbsp;ว่าเป็นธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในการวางผู้บริโภคเป็นศูนย์กลางของกลยุทธ์ผ่านการเชื่อมโยงประสบการณ์ทั้งออนไลน์และออฟไลน์อย่างดี ความท้าทายที่แท้จริงของธุรกิจไม่ได้อยู่เพียงการเข้าใจผู้บริโภค&nbsp;แนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจเม็กซิโกอาจกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคในประเทศ นอกจากนี้แผนการของรัฐบาลเม็กซิโกในการใช้มาตรการเก็บภาษีนำเข้ากับสินค้าจากประเทศที่ไม่มีความตกลงการค้าเสรี(FTA) จะทำให้ต้นทุนการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งในระยะยาวจะส่งผลให้ความต้องการนำเข้าสินค้าจากประเทศเหล่านี้ลดลง &nbsp;ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยที่ต้องการขยายตลาดในเม็กซิโกจะต้องปรับกลยุทธ์ในการเข้าสู่ตลาดโดยไม่เน้นการแข่งขันด้านราคาเพียงอย่างเดียว แต่นำเสนอสินค้าที่มีคุณภาพและมาตรฐานเหนือกว่าคู่แข่ง พัฒนาสินค้าที่มีคุณสมบัติที่จะตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะ และเน้นการสร้างความคุ้มค่า&nbsp;(Value for Money) เพื่อให้ผู้บริโภคยอมรับสินค้าในราคาที่สูงขึ้นได้&nbsp;&nbsp;<hr>&nbsp;สคต. ณ กรุงเม็กซิโกแหล่งที่มาที่มา&nbsp;&nbsp;<a target="_blank" rel="noopener noreferrer" href="https://mexicobusiness.news/ecommerce/news/mexicos-consumer-growth-cools-tariffs-weigh-key-sectors">https://mexicobusiness.news/ecommerce/news/mexicos-consumer-growth-cools-tariffs-weigh-key-sectors</a>รายงาน&nbsp;BBVA Research&nbsp;<a target="_blank" rel="noopener noreferrer" href="https://www.bbvaresearch.com/en/publicaciones/mexico-private-spending-slows-in-september-as-confidence-declines">https://www.bbvaresearch.com/en/publicaciones/mexico-private-spending-slows-in-september-as-confidence-declines</a>

เม็กซิโก (Mexico)

medium_Oct 29_เศรษฐกิจเม็กชะลอตัว.png

small_Oct 29_เศรษฐกิจเม็กชะลอตัว.png

thumbnail_Oct 29_เศรษฐกิจเม็กชะลอตัว.png

Oct 29_เศรษฐกิจเม็กชะลอตัว.png

เศรษฐกิจเม็กซิโกเริ่มชะลอตัว ความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลงท่ามกลางแรงกดดันภาษีนำเข้า

&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; สำนักวิจัย&nbsp;Oxford Economics ระบุว่า การใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวของฟิลิปปินส์มีแนวโน้มฟื้นตัวกลับสู่ระดับก่อนการแพร่ระบาดโควิด-19 ภายในปี&nbsp;2568 โดยมีภาคอาหารและเครื่องดื่มระดับพรีเมียม (Premium Food &amp; Beverage: F&amp;B) เป็นปัจจัยหนุนที่มีศักยภาพเติบโตสูงสุด&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;&nbsp;นาย James Lambert&nbsp;ผู้อำนวยการฝ่ายที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของสำนักวิจัย&nbsp;Oxford Economics เปิดเผยว่า&nbsp;ภาคการท่องเที่ยวของฟิลิปปินส์ยังคงอยู่ในช่วงฟื้นตัวและคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะกลับไปสู่ระดับเดียวกับปี&nbsp;2562 ได้ในปี&nbsp;2569 และได้กล่าวเพิ่มเติมว่า การใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวของฟิลิปปินส์นั้นฟื้นตัวได้เร็วกว่าเล็กน้อย โดยคาดว่ามูลค่าการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวจะสูงกว่าระดับ ปี 2562 ได้ในปี 2568 คิดเป็นมูลค่าประมาณ 87,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ&nbsp;อย่างไรก็ตาม ได้เสริมว่า&nbsp;หากฟิลิปปินส์ต้องการก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางชั้นนำของภูมิภาคภายใน 5 ปีข้างหน้า จำเป็นต้องมีการลงทุนในการสร้างประสบการณ์ท่องเที่ยวที่มีมูลค่าสูง (high-value tourism experiences)&nbsp;เพื่อสร้างอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ยั่งยืน มีคุณภาพ และสามารถดึงดูดการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี สนับสนุนโดยผลสำรวจที่จัดทำโดยสำนักวิจัย Oxford Economics ร่วมกับสมาคมสุราและไวน์นานาชาติ แห่งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (APISWA) พบว่า นักท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยินดีจ่ายเพิ่มเฉลี่ย&nbsp;250 เหรียญสหรัฐฯ ต่อคนต่อวัน สำหรับจุดหมายปลายทางที่ให้ประสบการณ์ด้านอาหารและเครื่องดื่มระดับพรีเมียม โดยผลสำรวจยังชี้ว่า นักท่องเที่ยวทุกระดับรายได้มีแนวโน้มใช้จ่ายมากขึ้น ไม่ได้จำกัดเฉพาะกลุ่มรายได้สูงเท่านั้น โดยจากผลสำรวจกลุ่มนักท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จำนวน&nbsp;1,800 คน จากประเทศจีน เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักร พบว่า ร้อยละ&nbsp;71 ให้ความสำคัญกับคุณภาพของอาหารและเครื่องดื่มมากกว่าการเข้าชมแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมในการตัดสินใจเลือกจุดหมายปลายทาง ขณะเดียวกัน นักท่องเที่ยวกลุ่มดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะเลือกจุดหมายปลายทางที่ให้ประสบการณ์อาหารและเครื่องดื่มคุณภาพระดับพรีเมียมมากกว่า 2.5 เท่า เมื่อเทียบกับจุดหมายปลายทางทั่วไป อย่างไรก็ตาม นักท่องเที่ยวกว่าร้อยละ 78 ยังให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าของราคา (value for money) เป็นปัจจัยหลักในการเลือกจุดหมายปลายทาง และหากราคาของประสบการณ์อาหารและเครื่องดื่มระดับพรีเมียมเพิ่มขึ้นเพียง&nbsp;20 เหรียญสหรัฐฯ จะทำให้นักท่องเที่ยวร้อยละ&nbsp;10 หันไปเลือกตัวเลือกที่มีราคาต่ำกว่าแทน ดังนั้น เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันในตลาดการท่องเที่ยวโลก นาย James Lambert ให้ความเห็นว่า นโยบายของฟิลิปปินส์ควรคํานึงถึงความสำคัญกับการพัฒนาและส่งเสริมประสบการณ์ด้านอาหารและเครื่องดื่มระดับพรีเมียม พร้อมทั้งสนับสนุนการพัฒนาแนวคิดและรูปแบบประสบการณ์ที่หลากหลาย ตลอดจนปรับปรุงกรอบนโยบายให้ส่งเสริมมาตรฐานความปลอดภัย&nbsp;ความน่าเชื่อถือ และคุณภาพของบริการ นอกจากนี้ ยังเสนอให้ภาครัฐร่วมมือกับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเพื่อทำความเข้าใจความต้องการของตลาดและพัฒนาสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เอื้อต่อการแข่งขันอย่างยั่งยืนในระยะยาวที่มา:หนังสือพิมพ์&nbsp;Business Worldบทวิเคราะห์และข้อคิดเห็นอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักที่มีบทบาทสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ของประเทศฟิลิปปินส์ ทั้งในด้านการสร้างรายได้ การจ้างงาน และการส่งเสริมการลงทุนในภาคส่วนที่เกี่ยวเนื่อง โดยข้อมูลล่าสุดจาก สำนักวิจัย&nbsp;Oxford Economics ระบุว่า การใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวของฟิลิปปินส์มีแนวโน้มฟื้นตัวกลับสู่ระดับก่อนการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้ภายในปี 2568 ทั้งนี้ การฟื้นตัวของการใช้จ่ายนักท่องเที่ยวได้รับแรงสนับสนุนจากภาคอาหารและเครื่องดื่มระดับพรีเมียม (Premium Food &amp; Beverage: F&amp;B) ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพการเติบโตสูง และมีส่วนสำคัญในการสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวที่มีมูลค่าสูง (High-Value Tourism Experiences) โดยคาดว่ามูลค่าการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวจะสูงกว่าระดับก่อนการแพร่ระบาดในปี 2568 คิดเป็นมูลค่าประมาณ 87,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ นอกจากนี้ ภาคการท่องเที่ยวของฟิลิปปินส์โดยรวมยังอยู่ในช่วงการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่า จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะกลับสู่ระดับเดียวกับปี&nbsp;2562 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายก่อนเกิดการแพร่ระบาดได้ภายในปี 2569 ทั้งนี้ อัตราการฟื้นตัวของการใช้จ่ายนักท่องเที่ยวมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในหมวดอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งสะท้อนถึงโอกาสในการยกระดับคุณภาพการบริการและพัฒนาประสบการณ์ท่องเที่ยวเชิงพรีเมียมของประเทศในด้านนโยบายภาครัฐ รัฐบาลฟิลิปปินส์ยังคงดำเนินมาตรการส่งเสริมและฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง เช่นการประกาศใช้พระราชบัญญัติการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มแก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ (Value Added Tax Refund Act: RA 12079) เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายและสร้างแรงจูงใจให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในประเทศมากขึ้น มาตรการดังกล่าวคาดว่าจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของฟิลิปปินส์ในตลาดการท่องเที่ยวโลก และส่งผลดีต่อธุรกิจบริการที่เกี่ยวเนื่อง ในส่วนของการประชาสัมพันธ์และการสร้างภาพลักษณ์ประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวฟิลิปปินส์ได้เปิดตัวแคมเปญใหม่ภายใต้คำขวัญ “Love the Philippines” แทนคำขวัญเดิม “It’s More Fun in the Philippines” ซึ่งใช้มานานกว่า&nbsp;10 ปี โดยมีเป้าหมายเพื่อฟื้นฟูและส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศในระดับสากล ผ่านแนวคิดความรักที่สะท้อนเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม มิตรภาพ และความอบอุ่นของชาวฟิลิปปินส์ในการต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกในภาพรวม หากแคมเปญดังกล่าวและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ คาดว่าจะช่วยยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวฟิลิปปินส์ในระยะยาว และส่งผลเชิงบวกต่อธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง เช่น โรงแรม ที่พัก ร้านอาหาร และบริการสุขภาพและสปา ทั้งนี้ ยังเป็นโอกาสสำคัญสำหรับผู้ประกอบการไทยในการขยายการลงทุนในภาคบริการของฟิลิปปินส์ ตลอดจนการส่งออกสินค้าไทยเพื่อรองรับการบริโภคและการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในตลาดฟิลิปปินส์ในอนาคต

ฟิลิปปินส์ (Philippines)

อาหารและเครื่องดื่มพรีเมียมปัจจัยหนุนกา(1) RV.pdf

medium_อาหารและเครื่องดื่มพรีเมียมปัจจัยหนุนการใช้.jpg

small_อาหารและเครื่องดื่มพรีเมียมปัจจัยหนุนการใช้.jpg

thumbnail_อาหารและเครื่องดื่มพรีเมียมปัจจัยหนุนการใช้.jpg

อาหารและเครื่องดื่มพรีเมียมปัจจัยหนุนการใช้.jpg

อาหารและเครื่องดื่มพรีเมียมปัจจัยหนุนการใช้จ่ายท่องเที่ยวฟิลิปปินส์	

นายกรัฐมนตรีมาร์ก คาร์นีย์ (Mark Carney) ของแคนาดา ได้เข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน (ASEAN Summit)&nbsp; ครั้งที่ 47 ที่ประเทศมาเลเซีย ระหว่างวันที่ 25-28 ตุลาคม 2568 โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมแคนาดาในฐานะหุ้นส่วนทางการค้าที่มั่นคงและเชื่อถือได้ให้แก่ประเทศในภูมิภาคการเดินทางครั้งนี้เกิดขึ้นภายใต้บรรยากาศความตึงเครียดทางการค้าที่รุนแรงกับสหรัฐฯ ที่ปะทุขึ้นเพียงไม่กี่วันก่อนหน้าการประชุม เมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศยุติการเจรจาการค้ากับแคนาดา โดยอ้างสาเหตุจากโฆษณาของรัฐบาลรัฐออนแทริโอที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับอดีตประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกนของสหรัฐฯ จากพรรครีพับลิกันกล่าวว่า ภาษีศุลกากรก่อให้เกิดสงครามการค้าและความเสียหายทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้ประธานาธิบดีทรัมป์ไม่พอใจโฆษณาดังกล่าวอย่างมาก&nbsp;และได้ประกาศในช่วงค่ำวันที่ 23 ตุลาคมว่า โฆษณานั้นมีเนื้อหาที่บิดเบือน จึงทำให้มีการตัดสินใจล้มการเจรจาการค้าทั้งหมดกับแคนาดา และยืนยันว่าจะไม่พบกับคาร์นีย์ระหว่างการเยือนอาเซียนประเทศแคนาดาเป็นประเทศเดียวในกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ&nbsp;7 ชาติ หรือ&nbsp;G7 ที่ยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ โดยขณะนี้สหรัฐฯ จัดเก็บภาษีสินค้านำเข้าทุกชนิดของแคนาดาในอัตราร้อยละ&nbsp;35 แม้ว่าสินค้าส่วนใหญ่จะได้รับการงดเว้นจากข้อตกลงการค้าเสรี แต่ก็มีการจัดเก็บภาษีในบางภาคอุตสาหกรรมของแคนาดา เช่น ภาษีเหล็กในอัตราร้อยละ&nbsp;50 และภาษีรถยนต์นำเข้าจากแคนาดาที่ร้อยละ&nbsp;25 ซึ่งเป็นผลเสียต่อรัฐออนแทริโอที่เป็นแหล่งผลิตรถยนต์ในแคนาดาด้านคุณเจมี ทรอนเนส ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ กล่าวว่า ความขัดแย้งครั้งนี้สะท้อนถึงความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งอุปสรรคที่สำคัญของแคนาดาคือ การหาความแน่นอนทางการค้า โดยต้องมั่นใจได้ว่า เมื่อเข้าสู่ขั้นตอนการเจรจาแล้วนั้น ข้อตกลงจะไม่ถูกยกเลิกในนาทีสุดท้าย โดยคุณเจมีฯ กล่าวว่า ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ทำให้ประเทศพันธมิตรยากที่จะไว้วางใจในข้อตกลงระยะยาวได้ในขณะที่ความตึงเครียดระหว่างแคนาดากับสหรัฐฯ ทวีความรุนแรงขึ้น นายกรัฐมนตรีคาร์นีย์จึงใช้เวทีการประชุมสุดยอดอาเซียนเพื่อสร้างความสัมพันธ์ใหม่ ๆ ซึ่งผู้นำแคนาดายังมีกำหนดจะพบกับนายกรัฐมนตรีอันวาร์ &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;อิบราฮิมของมาเลเซีย เพื่อหารือเกี่ยวกับพลังงานสีเขียวและแร่ธาตุสำคัญ รวมทั้งจะเยี่ยมชมธนาคารกลางของมาเลเซีย บริษัทน้ำมันและก๊าซ และโรงงานอุตสาหกรรมอวกาศด้วยขณะเดียวกัน นายเวย์น ฟาร์เมอร์ ประธานสภาธุรกิจแคนาดา–อาเซียน กล่าวว่า ประเทศในภูมิภาคนี้มองแคนาดาในแง่บวก โดยสมาชิกในกลุ่มอาเซียนก็มีความต้องการอย่างมากที่จะขยายความร่วมมือกับแคนาดา เพราะมองว่าแคนาดาเป็นพันธมิตรที่มั่นคงและเชื่อถือได้ ซึ่งสามารถวางแผนทำงานร่วมกันในระยะยาวได้&nbsp;ความเห็นสคต.&nbsp;สำนักงานฯ เห็นว่าภารกิจการเยือนเอเชียของนายกรัฐมนตรีคาร์นีย์เพื่อกระจายความเสี่ยงทางการค้า มีความจำเป็นทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างยิ่ง จากข้อมูลจากการสำรวจแนวโน้มธุรกิจประจำไตรมาสที่ 3 ปี 2568 ของธนาคารกลางแคนาดา ระบุว่า เศรษฐกิจในประเทศถูกกดดันอย่างหนักจากความขัดแย้งกับสหรัฐฯ โดยความเชื่อมั่นทางธุรกิจยังคงซบเซา การลงทุนและการจ้างงานหยุดชะงัก และสัดส่วนบริษัทที่คาดว่าจะเกิดภาวะถดถอยได้เพิ่มสูงขึ้นถึงร้อยละ 33 นอกจากนี้ ผลกระทบจากภาษียังทำให้กำลังซื้อภายในประเทศอ่อนแอลง เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น&nbsp;จากดัชนีเศรษฐกิจดังกล่าวจึงเร่งให้เกิดความสำคัญของยุทธศาสตร์การกระจายตลาด (Trade Diversification)&nbsp;ของรัฐบาลแคนาดา พร้อมแสวงหาหุ้นส่วนที่มั่นคงและเชื่อถือได้ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงเป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งถือเป็นโอกาสเชิงยุทธศาสตร์อันดีที่ประเทศไทยจะสามารถใช้ประโยชน์จากข้อได้เปรียบด้านความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่ง และศักยภาพในการผลิตสินค้าคุณภาพ เพื่อขยายโอกาสทางการค้าและการส่งออกสินค้าของไทยเข้าสู่ตลาดแคนาดาให้มากขึ้น&nbsp;สำหรับผู้ประกอบการไทยควรเน้นกลุ่มสินค้าที่ตอบสนองต่อความต้องการขั้นพื้นฐานและสินค้าที่มีคุณภาพ เพื่อเป็นทางเลือกทดแทนแหล่งนำเข้าอื่น ๆ จากสหรัฐฯ ควบคู่กับการพัฒนาคุณภาพสินค้าให้มีมาตรฐานสากล ทั้งด้านความปลอดภัย คุณภาพการผลิตและการตรวจสอบ

แคนาดา (Canada)

medium_PM is asia.jpg

small_PM is asia.jpg

thumbnail_PM is asia.jpg

PM is asia.jpg

คาร์นีย์ชูอาเซียนเป็นกุญแจสำคัญ แก้วิกฤตภาษีทรัมป์หลังเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ล่ม

หน่วยงานด้านสถิติของของซาอุดีอาระเบีย (General Authority for Statistics -&nbsp;Gastat) รายงาน การส่งออกสินค้าที่ไม่ใช่น้ำมันของซาอุดีอาระเบียในเดือนสิงหาคม 2025 เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.50 สู่ระดับ 29.28 พันล้านรียัล (7.81 พันล้านเหรียญสหรัฐ) โดยได้รับแรงหนุนจากการส่งออกซ้ำที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก แม้ว่าการขนส่งสินค้าที่ผลิตในประเทศจะชะลอตัวลงก็ตามการส่งออกสินค้าที่ไม่ใช่น้ำมัน รวมถึงการส่งออกซ้ำ เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.50 ขณะที่การส่งออกสินค้าที่ไม่ใช่น้ำมันภายในประเทศ ไม่รวมการส่งออกซ้ำ ลดลงร้อยละ 6.70 นอกจากนี้มูลค่าสินค้าส่งออกซ้ำเพิ่มขึ้นร้อยละ 32.90 โดยประเทศที่สินค้าที่ไม่ใช่น้ำมันของซาอุดีอาระเบียส่งออกมาที่สุด คือ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์มูลค่ากว่า 9.87 พันล้านรียัล อินเดียมูลค่า 3.70 พันล้านรียัล จีนมูลค่าราว 1.96 พันล้านรียัล คูเวตมูลค่า 1.03 พันล้านรียัล อียิปต์ที่ 813 ล้านรียัล ตุรกีมูลค่า 694 ล้านรียัล ขณะที่จอร์แดนอยู่ที่ 670.8 ล้านรียัล และสิงคโปร์อยู่ที่ 592.5 ล้านรียัลการส่งออกสินค้าทั้งหมดของซาอุดีอาระเบียในเดือนสิงหาคม 2025 มูลค่ารวม 99.09 พันล้านรียัล เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.60 ซึ่งเป็นผลมาจากการส่งออกน้ำมันที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 7 ส่งผลให้สัดส่วนการส่งออกน้ำมันเทียบกับการส่งออกทั้งหมดเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 70.20 ในเดือนสิงหาคม 2024 เป็นร้อยละ 70.50 ในเดือนสิงหาคม 2025 การส่งออกไปยังตลาดเอเชียคิดเป็นมูลค่า 72.43 พันล้านรียัล รองลงมาคือตลาดยุโรป ซึ่งมีมูลค่าการส่งออกที่ 12.54 พันล้านรียัล แอฟริกามูลค่าอยู่ที่ 7.27 พันล้านรียัล และทวีปอเมริกา อยู่ที่ 6.75 พันล้านรียัล&nbsp;การนำเข้าสินค้าจากจีน มีมูลค่ารวม 19.75 พันล้านรียัล สหรัฐอเมริกา อยู่ที่ 5.82 พันล้านรียัล สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อยู่ที่ 4.04 พันล้านรียัล และเยอรมณี อยู่ที่ 3.82 พันล้านรียัล

ซาอุดีอาระเบีย (Saudi Arabia)

ข่างประจำสัปดาห์ที่ 4.pdf

ซาอุดีอาระเบีย เผย ตัวเลขการส่งออกสินค้าที่ไม่ใช่น้ำมันในเดือนสิงหาคม 2025 แตะ 7.81 พันล้านเหรียญสหรัฐ

เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2568 นาย&nbsp;Anthony Albanese นายกรัฐมนตรีออสเตรเลียเดินทางเยือนสหรัฐอเมริกาเพื่อเข้าร่วมประชุมกับนาย Donald Trump&nbsp;ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาที่ทำเนียบขาวเป็นครั้งแรกโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเจรจาความร่วมมือในข้อตกลง Aukus เจรจาการค้า และกระชับความสัมพันธ์สองฝ่ายให้แน่นฟ้นยิ่งขึ้น โดยมีประเด็นสำคัญสรุปได้ดังนี้&nbsp;<ol style="padding-left:72px;"><li>ข้อตกลง Aukus&nbsp;ทรัมป์ยังคงสนับสนุนข้อตกลง Aukus ต่อไป (แม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะมีการทบทวนข้อตกลง&nbsp;Aukus ดังกล่าว) โดยที่ผ่านมาออสเตรเลียมอบเงินสนับสนุนการผลิตเรือของสหรัฐอเมริกาไปแล้ว 1&nbsp;พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และจะเพิ่มเงินทุนอีก&nbsp;1&nbsp;พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในสิ้นปี คาดว่า ออสเตรเลียจะสามารถซื้อเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ของสหรัฐอเมริกาได้ในช่วงปี 2575 อย่างน้อย 3 ลำจากสหรัฐฯ ก่อนที่จะผลิตเอง</li><li>แร่ธาตุหายาก&nbsp;ออสเตรเลียมีแหล่งแร่หายากจำนวนมากรวมถึงลิเธียมและโคบอลต์ที่สหรัฐอเมริกาและหลายประเทศต้องการ และความสำเร็จในการเดินทางเยือนสหรัฐอเมริกาในครั้งนี้ คือ การลงนามร่วมกับสหรัฐอเมริกาในโครงการผลิตและส่งมอบโลหะหายาก (Critical minerals project)&nbsp;มูลค่า 8.5 พันล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา (13 พันล้านเหรียญออสเตรเลีย) ซึ่งเป็นวัตถุดิบจำเป็นสำหรับการผลิตอาวุธที่ใช้ในการป้องกันประเทศและสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูง ตั้งแต่สมาร์ทโฟนไปจนถึงรถยนต์ไฟฟ้า (เพื่อฟื้นฟูระบบห่วงโซ่อุปทานโลกที่ปัจจุบันจีนเป็นแหล่งอุปทานรายใหญ่มีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 90&nbsp;ในตลาดโลกและประกาศจำกัดการส่งออกแร่หายาก)</li><li>การสร้างสัมพันธภาพที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น แม้ว่าการเดินทางเยือนสหรัฐอเมริกาของนาย Albanese&nbsp;จะเป็นการร่วมประชุมกับนายทรัมป์ครั้งแรกหลังจากรอคอยมายาวนานกว่า 9 เดือน (ตั้งแต่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี) แต่นายกรัฐมนตรีออสเตรเลียเห็นว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีและเหมาะสมอย่างยิ่งต่อการเจรจาต่อรองในประเด็นสำคัญต่างๆของออสเตรเลีย ประกอบกับที่ผ่านมา สหรัฐอเมริกามีทัศนคติในเชิงบวกกับออสเตรเลียเกี่ยวกับการได้รับข้อตกลงภาษีศุลกากรที่ดีที่สุดในโลกรวมถึงความร่วมมือในข้อตกลงด้านความมั่นคงปลอดภัยของ Aukus&nbsp;และเห็นว่าหากการประชุมเกิดขึ้นเร็วกว่านี้ท่ามกลางการเจรจาที่ตึงเครียดอาจส่งผลเชิงลบมากกว่าประโยชน์</li></ol>&nbsp;ออสเตรเลียยังไม่มีการเจรจาผ่อนปรนภาษีศุลกากรและภาษีศุลกากรตามภาคส่วนสำหรับเหล็กและอลูมิเนียมโดยตรง แต่รัฐบาลออสเตรเลียยังคงตั้งเป้าให้สหรัฐฯยกเลิกภาษีภายใต้ข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างออสเตรเลีย-สหรัฐฯ โดยรัฐบาลออสเตรเลียไม่ได้คาดหวังการเปลี่ยนแปลงด้านภาษีในอนาคตอันใกล้&nbsp;เนื่องจากการที่ออสเตรเลียมีอัตราภาษีศุลกากรต่ำที่สุดจะเป็นการสร้างข้อได้เปรียบทางการแข่งขันในสินค้าและผลิตภัณฑ์บางภาคส่วนกับผู้ส่งออกอื่นๆ ที่มีอัตราภาษีศุลกากรสูงกว่าในตลาดสหรัฐอเมริกา แต่สิ่งที่รัฐบาลออสเตรเลียกังวลคือ ภาษีใหม่ที่อาจถูกเรียกเก็บเพิ่มขึ้น เช่น ภาษีสำหรับผลิตภัณฑ์ยา และออสเตรเลียอาจต้องพิจารณาเพิ่มการใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศตามข้อเรียกร้องจากทรัมป์ที่ให้เพิ่มการใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศเป็นร้อยละ 3.5 ของ&nbsp;GDP (ประมาณ&nbsp;40 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ จากร้อยละ&nbsp;2.4 ของ&nbsp;GDP ที่คาดการณ์ไว้ภายในปี&nbsp;2576-77)&nbsp;อีกทั้ง รัฐบาลจำเป็นต้องรักษาสมดุลความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีน เนื่องจากทั้งสองประเทศล้วนเป็นประเทศที่มีความสำคัญและมีบทบาทต่อออสเตรเลียในหลายมิติ สำหรับจีนนั้นถือเป็นประเทศผู้นำเข้าสินค้าออสเตรเลียมากที่สุด ความร่วมมือในโครงการ Critical minerals project&nbsp;และข้อตกลง Aukus อาจก่อให้เกิดปฏิกิริยาเชิงลบจากจีนได้...........................................................................................สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครซิดนีย์ที่มา:&nbsp;www.abc.net.au/ www.news.com.au /www.afr.com

ออสเตรเลีย (Australia)

medium_Meeting.jpg

small_Meeting.jpg

thumbnail_Meeting.jpg

Meeting.jpg

Albanese พบทรัมป์เร่งลงนามในโครงการแร่หายากและเจรจาข้อตกลง Aukus

งานแสดงสินค้า&nbsp;Anuga 2025 งานแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่มที่ใหญ่ที่สุดในโลก จัดขึ้นระหว่างวันที่ 4–8 ตุลาคม 2568 ที่เมืองโคโลญ ประเทศเยอรมนี โดยมีผู้เข้าร่วมแสดงสินค้ากว่า 8,000 รายจาก 110 ประเทศ บนพื้นที่จัดแสดงสินค้า 300,000 ตารางเมตร และมีผู้เข้าชมงานมากกว่า 145,000 คนจากทั่วโลก โดยกรมฯ ได้นำผู้ประกอบการไทยเข้าร่วมจัดแสดงสินค้า 114 รายภายในงานปีนี้ “ความยั่งยืน” และ “นวัตกรรมจากพืช” ถูกยกให้เป็นหัวใจสำคัญของเทรนด์อาหารโลก พร้อมแนวโน้มใหม่ที่สะท้อนพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ ซึ่งให้ความสำคัญกับสุขภาพ ความโปร่งใส และความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น&nbsp;9 เทรนด์อาหารโลกจากเวที&nbsp;Anuga 2025Anuga ผู้นำตลาดการค้าระหว่างประเทศและตลาดอาหารและเครื่องดื่มระดับโลกร่วมกับ Innova Market Insights ผู้นำด้านการวิจัยตลาดอาหารและเครื่องดื่ม นำเสนอเทรนด์สำคัญและประเด็นสำคัญของอุตสาหกรรมอาหารสำหรับปี 2025 สะท้อนให้เห็นถึงพลังแห่งนวัตกรรมที่เพิ่มมากขึ้นของอุตสาหกรรมหัวใจหลักของเทรนด์ปี 2025 ได้แก่ อาหารเฉพาะบุคคล (Personalised Food), ความยั่งยืน (Sustainability), อาหารโปรตีนทางเลือก (Alternative Proteins) และ อิทธิพลที่เพิ่มขึ้นของแบรนด์ร้านค้า (Private Labels)อาหารเฉพาะบุคคล: ตอบโจทย์ผู้บริโภคแต่ละคนความต้องการอาหารที่ “เฉพาะบุคคล” ของผู้บริโภคกำลังเพิ่มขึ้นทั่วโลก “Personalised Food” หมายถึงอาหารและเครื่องดื่มที่ออกแบบให้สอดคล้องกับพฤติกรรมการรับประทานอาหารและความต้องการของแต่ละบุคคล ทั้งในด้านโภชนาการ ฟังก์ชันการทำงาน และการควบคุมน้ำหนัก โดยเฉพาะผู้บริโภคในกลุ่ม Millennials / Gen Zจากรายงาน Innova Trends Survey 2025 พบว่า ผู้บริโภคกว่าร้อยละ 60 ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพ และมากกว่าครึ่งหนึ่งวางแผนการบริโภคอาหารเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายของตนเอง และผู้บริโภคมากกว่าหนึ่งในสามเลือกบริโภคอาหารเสริมและเครื่องดื่มที่มีสารอาหารเฉพาะเพื่อบำรุงสุขภาพ โดยตลาดอาหารควบคุมน้ำหนักเติบโตเฉลี่ยปีละ&nbsp;8% (ระหว่างปี&nbsp;2022–2024) นำโดยสหรัฐอเมริกา อินเดีย และสหราชอาณาจักร ขณะที่เยอรมนีเป็นประเทศที่มีอัตราเติบโตสูงสุดในยุโรปความยั่งยืน: ความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อมขับเคลื่อนตลาดความยั่งยืนกลายเป็นปัจจัยสำคัญของผู้บริโภคยุคใหม่ โดยเฉพาะโปรตีนจากพืช เช่น ถั่วฟาวา (Fava Beans) ซึ่งมีการเติบโตของตลาดเฉลี่ย 11% ต่อปี (2022–2024) เยอรมนี สหราชอาณาจักร และฟินแลนด์เป็นผู้นำตลาด ขณะที่สวิตเซอร์แลนด์มีอัตราเติบโตสูงถึง&nbsp;108%ในเวลาเดียวกัน ความต้องการวัตถุดิบทดแทนสำหรับพืชที่อ่อนไหวต่อสภาพภูมิอากาศ เช่น โกโก้ กาแฟ และน้ำส้ม ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน บริษัทต่าง ๆ จึงหันมาใช้วัตถุดิบใหม่ที่ยั่งยืนกว่า เช่น คาโรบ (Carob) แทนโกโก้, กาแฟลูปิน (Lupin Coffee) แทนกาแฟทั่วไป และ น้ำผลไม้หมักแทนน้ำส้ม เพื่อช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ กว่าครึ่งของผู้บริโภคทั่วโลกระบุว่าจะหลีกเลี่ยงหรือเลิกบริโภคผลิตภัณฑ์ หากรู้ว่าไม่ได้มีการผลิตอย่างยั่งยืนโปรตีนทางเลือก: กระแส&nbsp;Flexitarian มาแรงหนึ่งในเทรนด์ที่โดดเด่นใน Anuga 2025 คือการเติบโตของผลิตภัณฑ์จากพืชที่ไม่ใช่แค่ “ทดแทนเนื้อสัตว์” แต่เป็น “โลกอาหารใหม่” อาทิ ชีสแคมแอมเบิร์ตจากเมล็ดมะม่วงหิมพานต์ (fermented cashew camembert) หรือเนื้อปลาทูน่าทดแทนจากพืช เป็นต้น ความนิยมในโปรตีนทางเลือกเติบโตอย่างต่อเนื่อง ระหว่างปี&nbsp;2020–2024 โปรตีนจากพืชเพิ่มขึ้น&nbsp;5% ขณะที่โปรตีนเพาะเลี้ยง (Cultivated) และโปรตีนจากจุลินทรีย์ (Microbial) เพิ่มขึ้นถึง&nbsp;15% ผลิตภัณฑ์กลุ่มที่เติบโตสูงสุดคือ อาหารทดแทนเนื้อสัตว์ (43%), อาหารพร้อมรับประทาน (13%) และ ของหวาน/ไอศกรีม (11%) นอกจากนี้ ยังพบว่าผู้บริโภคทั่วโลกราว&nbsp;40% สนใจทดลองบริโภค “เนื้อสัตว์ไฮบริด” ที่ผสานโปรตีนจากเนื้อสัตว์และโปรตีนทางเลือกเข้าด้วยกัน ตามข้อมูลของ Innova นอกจากการมุ่งเน้นไปที่การพัฒนารสชาติและเนื้อสัมผัสให้ใกล้เคียงกับผลิตภัณฑ์จากสัตว์แล้ว บริษัทต่าง ๆ ยังให้ความสำคัญกับการผลิตผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและตอบโจทย์ความต้องการด้านสุขภาพของผู้บริโภคอีกด้วยอาหารเพื่อความสะดวกและของทานเล่น: อร่อยได้โดยไม่ต้องยอมเสียสุขภาพกระแส Snackification หรือการบริโภคของทานเล่นยังคงเป็นเมกะเทรนด์ทั่วโลก ราวครึ่งหนึ่งของผู้บริโภคทานของว่างอย่างน้อยวันละหนึ่งครั้ง ผู้ผลิตจึงเน้นพัฒนาขนาดบรรจุที่เล็กลงและรสชาติใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ทั้งความอร่อยและความสะดวกแบรนด์ร้านค้า (Private Label): กำลังเติบโตทั่วโลกสินค้าแบรนด์ร้านค้าได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในยุโรปและอเมริกาเหนือ ปี&nbsp;2023 มีผู้บริโภคเกือบหนึ่งในสามเลือกซื้อสินค้าแบรนด์ร้านค้าบ่อยขึ้น โดยยุโรปครองสัดส่วนการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่สูงสุดถึง&nbsp;62% ตามด้วยอเมริกาเหนือและเอเชีย กลุ่มสินค้าที่โดดเด่น ได้แก่ เบเกอรี (13%), เนื้อสัตว์ ปลา และไข่ (12%), และ อาหารพร้อมรับประทาน (12%)สินค้าอาหารเกรดพรีเมียม: คุณภาพ ยั่งยืน และพิเศษเฉพาะตัวผู้บริโภคยุคใหม่มองหาผลิตภัณฑ์ที่ไม่เพียงพรีเมียม แต่ยังต้องมีจริยธรรมและดีต่อสุขภาพ สินค้าพรีเมียมที่เติบโตโดดเด่น ได้แก่ กลุ่มเครื่องดื่มร้อน (11%), ซอสและเครื่องเทศ (10%), และของว่าง (9%)สุขภาพลำไส้&nbsp;Gut &amp; Digestive Health: สุขภาพเริ่มต้นจากภายในกว่า&nbsp;50% ของผู้บริโภคให้ความสนใจอาหารและเครื่องดื่มที่มีไฟเบอร์สูง โดยตลาดอาหารที่มีประโยชน์ต่อระบบย่อยอาหารเติบโตเฉลี่ย&nbsp;3% ต่อปี (2022–2024) กลุ่มสินค้าที่โดดเด่น ได้แก่ อาหารเสริม (47%) และ อาหารสำหรับเด็กเล็ก (26%) ซึ่งได้รับความนิยมสูงในสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร และจีนตลาดฮาลาล: เติบโตทั่วโลกพร้อมนวัตกรรมตลาดอาหารฮาลาลทั่วโลกเติบโตเฉลี่ยปีละ&nbsp;8% ตลอดช่วง&nbsp;5 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะกลุ่ม เบเกอรี (15%), ซอสและเครื่องเทศ (13%), และ ของว่าง (11%)Clean Label: ความโปร่งใสคือปัจจัยการตัดสินใจผู้บริโภคหันมามองหาอาหารที่ “ไม่มีสารปรุงแต่งสังเคราะห์” มากขึ้น โดยกลุ่มสินค้าที่มีสัดส่วน&nbsp;Clean Label สูง อาทิ ซอสและเครื่องเทศ (13%), เบเกอรี (10%), และ ของว่าง (9%) เป็นต้นข้อเสนอแนะของ สคต.&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;เทรนด์ที่เกิดขึ้นใน&nbsp;Anuga 2025 เป็น “สัญญาณสำคัญ” ที่ผู้ผลิตอาหารไทยควรจับตา โดยเฉพาะการต่อยอดวัตถุดิบท้องถิ่น เช่น สมุนไพร เห็ด และถั่วไทย ให้เป็นอาหารฟังก์ชันหรือผลิตภัณฑ์พืชทางเลือก รวมถึงการใช้แนวคิด&nbsp;Clean Label และความยั่งยืนในการสร้างมูลค่าเพิ่ม นอกจากนี้ ตลาดยุโรปยังนิยมอาหารเอเชียที่มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ เช่น อาหารไทยแบบแช่แข็งคุณภาพสูง หรือซอสเครื่องปรุงที่ผลิตจากพืช ซึ่งสามารถตอบโจทย์ทั้งความอร่อยและสุขภาพได้พร้อมกัน อย่างไรก็ตาม&nbsp;ผู้ซื้อและผู้ค้าปลีกยุโรปเริ่มคัดเลือกผู้ผลิตที่มีการผลิตอย่างยั่งยืนและตรวจสอบห่วงโซ่การผลิตตามกฎระเบียบของสหภาพยุโรป ผู้ผลิตไทยควรเตรียมตัวด้านการผลิตให้ยั่งยืนและตรวจสอบที่มาของวัตถุดิบทั้งในด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม&nbsp;&nbsp;************************************************ที่มา:&nbsp;anuga.com

large_anuga_25_052_061.jpg

medium_anuga_25_052_061.jpg

small_anuga_25_052_061.jpg

thumbnail_anuga_25_052_061.jpg

anuga_25_052_061.jpg

จับตาเทรนด์อาหารโลก ในงานแสดงสินค้า ANUGA 2025 เยอรมนี

จีน (China)

เฉิงตู-ปารีสแฟชั่นวีคปีนี้ แบรนด์ Songmont สร้างเซอร์ไพรส์อีกครั้ง.pdf

medium_songmont.jpg

small_songmont.jpg

thumbnail_songmont.jpg

songmont.jpg

ปารีสแฟชั่นวีคปีนี้ แบรนด์ Songmont สร้างเซอร์ไพรส์อีกครั้ง