องค์กรกรีนพีซ (Greenpeace) ได้รายงานล่าสุดเกี่ยวกับคดีแพ่งด้านแรงงานบังคับกับบริษัท Bumble Bee บริษัทยักษ์ใหญ่ปลาทูน่าของสหรัฐฯ โดยชาวประมงชาวอินโดนีเซียจำนวน 4 รายร่วมเป็นโจทก์ได้ดำเนินการยื่นฟ้องร้องต่อบริษัท Bumble Bee
โดยข้อกล่าวหาของโจทก์ต่อบริษัท Bumble Bee เป็นการบังคับใช้แรงงานในการจับปลาทูน่า การผูกมัดด้วยหนี้สินโดยไม่ได้รับค่าจ้างที่เป็นธรรม การถูกกักขังกลางทะเลเป็นเวลานานหลายเดือน การล่วงละเมิดทางร่างกายและจิตใจ รวมทั้งการใช้ระบบถ่ายลำสินค้า (Transshipment) ซึ่งเป็นการเอื้อต่อการละเมิดแรงงาน คำร้องยังชี้ให้เห็นว่า บริษัท Bumble Bee รับรู้ถึงการละเมิดในห่วงโซ่อุปทานมาเป็นเวลานาน ซึ่งเพียงพอต่อการเข้าเกณฑ์ตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันการค้ามนุษย์ (Trafficking Victims Protection Reauthorization Act -TVPRA)
ตามกฎหมาย TVPRA เปิดโอกาสให้ผู้รอดชีวิตจากการถูกล่วงละเมิดด้านแรงงาน หรือสิทธิมนุษยชน สามารถดำเนินคดีแพ่งกับบริษัทในสหรัฐฯ ได้ หากบริษัทเหล่านั้นมีส่วนรู้เห็น และจำหน่ายสินค้าที่ผลิตจากการล่วงละเมิดดังกล่าว
ทั้งนี้ บริษัท Bumble Bee ได้ดำเนินการยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอให้ศาลพิจารณายกฟ้อง แต่องค์กรกรีนพีซ แจ้งว่า ด้วยคดีมีหลักฐานชัดเจน และโจทก์มีสิทธิที่จะให้ข้อกล่าวหาได้รับการพิจารณาในชั้นศาล
ตามเอกสารที่ยื่นต่อศาล บริษัท Bumble Bee จัดหาปลาทูน่าพันธุ์อัลบาคอร์ (albacore) ถึงร้อยละ 95 -100 โดยผ่านบริษัทแม่ในประเทศไต้หวัน คือ บริษัท Fong Chun Formosa (FCF) และเครือข่ายเรือจำนวนมากที่ทำการประมงให้กับบริษัท Bumble Bee แต่เพียงผู้เดียว และมีการถ่ายลำสินค้าในทะเล (transshipment)
คดีนี้ถือเป็นกรณีตัวอย่างแรกๆ ที่อุตสาหกรรมอาหารทะเลถูกท้าทายในศาลของสหรัฐฯ ตามกฎหมาย TVPRA และมีผลกระทบในวงกว้าง ด้วยองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน และสหภาพแรงงานหลายแห่ง ได้แสดงจุดยืนในการให้การสนับสนุนแรงงาน และประณามการค้ามนุษย์ รวมทั้งได้เรียกร้องให้รัฐบาลอินโดนีเซีย และภาคส่วนที่เกี่ยวข้องดำเนินมาตรการคุ้มครองแรงงานข้ามชาติอย่างเข้มแข็ง รวมทั้งการให้สัตยาบันอนุสัญญา ILO C-188
ทั้งนี้ ตัวแทนขององค์กรกรีนพีซ ได้ระบุว่า การกระทำของบริษัท Bumble Bee ไม่ใช่แค่กลยุทธ์ทางกฎหมาย แต่เป็นความพยายามที่จะหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบ และเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของบริษัทเหนือศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ อุตสาหกรรมอาหารทะเลที่ยุติธรรมและยั่งยืนต้องให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ที่ดีของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย ตั้งแต่แรงงานประมงข้ามชาติที่ทำงานในสภาพอันตราย ไปจนถึงผู้บริโภคชาวอเมริกันที่แสดงจุดยืนชัดเจนว่าไม่ต้องการอาหารทะเลที่ปนเปื้อนด้วยระบบทาสยุคใหม่ หรือเป็นการทำลายสิ่งแวดล้อม
ตามรายงานปี 2565 ขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (International Labor Organization- ILO) ประเมินว่า แรงงานบังคับในอุตสาหกรรมประมงทั่วโลกมีจำนวนอย่างน้อย 128,000 คน โดยส่วนใหญ่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของบริษัทข้ามชาติ การทำประมงผิดกฎหมาย (IUU) มักกระทำในพื้นที่ที่ตรวจสอบยาก และใช้แรงงานในสภาพที่ไร้มนุษยธรรม นอกจากจะมีผลกระทบต่อแรงงานแล้ว ยังมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทางทะล ทำให้ทรัพยากรทางทะเลลดลงอย่างรุนแรง ด้วยเรือประมงต้องออกทะเลลึก และอยู่นานขึ้นเพื่อความคุ้มทุน และจากสภาพที่แยกขาดจากโลกภายนอก จึงเอื้อต่อการล่วงละเมิดแรงงาน การค้ามนุษย์ และแรงงานบังคับ ซึ่งกลายเป็นทางออกของเจ้าของเรือในการลดต้นทุนแรงงาน และส่งผลให้เรือที่ไม่คุ้มทุนยังคงดำเนินกิจกรรมที่ทำลายมหาสมุทรต่อไปได้
ข้อคิดเห็น
จากข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์ และกรมศุลกากรของไทย ระบุว่า ไทยส่งออกสินค้าปลาทูน่ากระป๋องไปตลาดสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2568 (ม.ค.-มิ.ย) เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 จาก ปีที่ผ่าน มีมูลค่า 7,835 ล้านบาท
ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอุตสาหกรรมประมงขนาดใหญ่ และเป็นผู้ส่งออกอาหารทะเลรายสำคัญของโลก แม้ปัจจุบันอยู่ในสถานะที่ได้รับการยกเลิกใบเหลืองจากสหภาพยุโรป (EU) อย่างไรก็ตาม ปัญหาแรงงานบังคับและการละเมิดสิทธิมนุษยชนในอุตสาหกรรมประมงไทย รวมทั้งการแก้ไขปัญหาประมงผิดกฎหมาย ยังต้องรักษาความต่อเนื่องในการบริหารจัดการและพัฒนามาตรการต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่า อุตสาหกรรมประมงไทยเป็นไปอย่างยั่งยืน มีความโปร่งใสในซัพพลายเชน มีการจัดทำระบบตรวจสอบย้อนกลับ (traceability) เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่า สินค้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับแรงงานบังคับและสอดคล้องกับมาตรฐานสากล ซึ่งจะช่วยปกป้องภาพลักษณ์ และสร้างความเชื่อมั่นในตลาดอาหารทะเลสหรัฐฯ ได้อย่างยั่งยืน
การเกิดคดีการฟ้องร้องต่อบริษัท Bumble Bee ดังกล่าว สะท้อนถึงปัญหาระบบที่ฝังลึกอยู่ในอุตสาหกรรมประมงโลก ซึ่งยังมีแนวโน้มว่ายังคงเกิดขึ้นอยู่ แต่ต้องได้รับการแก้ไขเพื่อให้เกิดความยุติธรรม และเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดกรณีคล้ายกันนี้
ปัจจุบัน ผู้บริโภคสหรัฐฯ มีแนวโน้มสนับสนุนสินค้าที่ผลิตอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อม หากไทยสามารถแสดงความมุ่งมั่นด้านสิทธิมนุษยชนและแรงงานที่ดี จะเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงตลาดสหรัฐฯ ได้ อย่างยั่งยืน