fb
Trump และสี จิ้นผิง กำลังเปลี่ยนแนวทางห่วงโซ่อุปทาน
โดย
thanith@ditp.go.th
ลงเมื่อ 08 สิงหาคม 2568 09:39
28

นโยบายภาษีศุลกากรของ Donald Trump ที่ต้องการใช้เพื่อสกัดกั้นการแข่งขันจากต่างประเทศในตลาดสหรัฐฯ รวมถึงความขัดแย้งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับจีนต่อกรณีข้อพิพาทกับไต้หวัน กำลังดำเนินไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดครั้งแรกของห่วงโซ่อุปทานโลก ทั้งนี้ สะท้อนอย่างชัดเจนผ่านรายงานของบริษัทท่าเรือ บริษัทขนส่งทางสมุทร และผลการศึกษาของบริษัท Everstream บริษัทที่ปรึกษาด้านความเสี่ยงชื่อดัง โดยข้อมูลดังกล่าว สำนักข่าว Handelsblatt ได้รับมาเพียงผู้เดียว โดยพบว่า จากข้อมูลดังกล่าวที่เมืองรอต-เตอร์ดัม ของเนเธอร์แลนด์ ซึ่งปัจจุบันเป็นท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดของยุโรป มีปริมาณการขนส่งผ่านเส้นทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยลดลงถึง 23.1% ในไตรมาสแรกของปีนี้ (เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า) ด้านนาย Boudewijn Siemons ผู้อำนวยการสำนักงานการท่าเรือ เมืองรอตเตอร์ดัม เปิดเผยว่า การค้าโลกในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ มีความผันผวนสูง โดยเป็นผลมาจากภัยคุกคามนโยบายภาษีศุลกากรของสหรัฐอเมริกาความผันผวนนี้ก่อให้เกิดความไม่แน่นอนในมิติการค้าและการลงทุน โดยSiemons ตั้งข้อสังเกตว่า นโยบายภาษีศุลกากรได้สะท้อนออกมาให้เห็นผ่านปริมาณของกระบวนการขนส่งสินค้า (Transloading) ซึ่ง ณ ท่าเรือฮัมบูร์ก ที่ท่าเรือหลักของเยอรมนีก็กำลังได้รับผลกระทบเบื้องต้นจากนโยบายภาษีศุลกากรของ Trump เช่นกัน โดยโฆษกท่าเรือเปิดเผยว่า ช่วงปลายปีที่ผ่านมาคลังสินค้าหลายแห่งในสหรัฐฯ มีสินค้าเต็มจนแทบจะล้นคลัง ปริมาณการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์จากท่าเรือในฮัมบูร์ก สำหรับการค้ากับสหรัฐฯ ลดลงในไตรมาสแรก โดยพบว่า ปริมาณการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์มาตรฐาน (TEU) สู่สหรัฐฯ อยู่ที่ 145,000 ตู้ ในไตรมาสช่วงฤดูใบไม้ผลิ ลดลงถึง 19% ซึ่งสถานการณ์แตกต่างจากท่าเรือฮัมบูร์กและรอตเตอร์ดัม ที่ท่าเรือเมืองแอนต์เวิร์ปในเบลเยียมซึ่งเป็นท่าเรือที่สำคัญที่สุดในการการเชื่อมต่อกับสหรัฐอเมริกากับยุโรปยังคงมีปริมาณการขนส่งไปยังสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นอยู่ ตามแถลงการณ์ผลประกอบการครึ่งปีที่เผยแพร่เมื่อวันอังคารแจ้งให้ทราบว่า ขณะเดียวกันการส่งออกรถยนต์ก็ลดลงอย่างมีนัยสำคัญนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคมของปีนี้การส่งออกรถยนต์นั่งส่วนบุคคลลดลง 14.3% รถตู้และรถบรรทุกลดลง 31.5% ท่าเรือในเมืองแอนต์เวิร์ป ของเบลเยียมอธิบายว่า สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงผลกระทบของภาษีนำเข้าของสหรัฐฯและคาดว่า สถานการณ์จะยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป ด้านนาย Wenli Zheng ผู้จัดการด้านพอร์ตโฟลิโอของ T. Rowe Price ได้เขียนบทวิเคราะห์เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ว่า สหรัฐฯ กำลังผลักดันการปฏิรูปอุตสาหกรรม โดยนโยบายภาษีนำเข้ามีบทบาทที่สำคัญซึ่งฝั่งตรงข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกกำลังมุ่งเน้นไปที่ยุทธศาสตร์สำคัญ เช่น เซมิคอนดักเตอร์ (ชิป) รถยนต์ไฟฟ้า ยา เหล็กกล้า และการต่อเรือ โดยที่ท่าเรือแอนต์เวิร์ปได้รายงานให้ทราบถึงปริมาณการส่งออกเหล็ก และเหล็กกล้าที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยนาย Zheng กล่าวว่า ผลที่ตามมา คือ ห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมเหล่านี้ทั่วโลกกำลังเผชิญกับการหยุดชะงัก และ/หรือการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ระบบห่วงโซ่อุปทานที่มีการบูรณาการสูง และมีความเป็นสากลในปัจจุบัน กำลังหลีกทางให้กับ ระบบห่วงโซ่อุปทานที่มีกรอบการทำงานที่เชื่อมโยงกันในระดับภูมิภาคมากขึ้น แต่ก็ยังคงมีการเชื่อมโยงถึงกัน หนึ่งในผลกระทบที่น่าตกใจที่สุดในปัจจุบัน คือ ปริมาณการนำเข้าสินค้าจากจีนมาตลาดยุโรปเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้ว่าสหภาพยุโรป (EU) จะเพิ่งเรียกร้องให้เศรษฐกิจของทวีปนี้เป็นอิสระจากจีนมากขึ้น เนื่องจากความขัดแย้งในไต้หวันที่ทวีความรุนแรงขึ้นก็ตาม ขนาดที่ EU เคยพูดถึงเรื่อง “การแยกตัว” ออกจากห่วงโซอุปทานนี้กันอย่างกว้างขวางเลยทีเดียว

อย่างไรก็ตาม ต้องขอบคุณ Trump ที่ทำให้สถานการณ์ตอนนี้กลับดำเนินไปในทิศทางตรงกันข้าม โดยเฉพาะที่ท่าเรือฮัมบูร์ก ปริมาณสินค้าจากจีนซึ่งเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของเมืองเติบโตขึ้น 11.3% เมื่อเทียบกับปีก่อน หรือคิดเป็น 597,000 TEU ในไตรมาสแรก ในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 ปริมาณการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์จากเอเชียไปยังท่าเรือเมืองรอตเตอร์ดัมก็เพิ่มขึ้น 8.4% ท่าเรือดังกล่าวที่ตั้งอยู่ที่ทะเลเหนือตอนเหนือของเนเธอร์แลนด์ระบุว่า สาเหตุหลักที่ปริมาณการนำเข้าสูงขึ้นเป็นเพราะมีการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคที่สูงขึ้นนั่นเอง ซึ่งสิ่งนี้เองกลายเป็นเครื่องยืนยันสิ่งที่ผู้ผลิตในยุโรปกังวลมานาน  เนื่องจากจีนไม่สามารถขายสินค้าในสหรัฐฯ ได้อีกต่อไป เนื่องจากอุปสรรคด้านภาษีศุลกากรที่สูง แต่การผลิตในจีนยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่หยุด ทำให้ผลผลิตจำนวนมหาศาลจึงเทกระจาดมาท่วมสหภาพยุโรปในขณะนี้ ซึ่งมีข้อสันนิษฐานว่า ราคาจากโรงงานน่าลดลงอย่างหนัก และกลยุทธ์ของจีนนี้ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า เป็นกลยุทธ์ที่สร้างความสำเร็จมาอย่างยาวนานสำหรับบริษัทจีน นาย Wenli Zheng ผู้จัดการด้านพอร์ตโฟลิโอของ T. Rowe Price รายงานว่า สัดส่วนการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาซึ่งเมื่อวัดเป็นเปอร์เซ็นต์ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของจีนลดลงครึ่งหนึ่งตั้งแต่ปี 2010 จาก 6% เหลือ 3% นาย Zheng กล่าวอธิบายถึงการลดการพึ่งพาสหรัฐฯ ของจีน โดยอ้างอิงถึงกลยุทธ์การค้าต่างประเทศของจีน หรือที่รู้จักกันในชื่อโครงการ New Silk Road Initiative ว่า “โครงการ Belt and Road Initiative ของจีนได้ขยายการเข้าถึงตลาดโลก และสร้างพันธมิตรทางการค้าที่มีความหลากหลายมากขึ้น” แล้ว 

แต่ในเวลาเดียวกันจีนก็กำลังเผชิญกับการแข่งขันจากประเทศเพื่อนบ้านในมิติห่วงโซ่อุปทานมากขึ้น เฉพาะในช่วงฤดูไม้ผลิเพียงไตรมาสเดียวมีตู้คอนเทนเนอร์จากมาเลเซีย 54,000 ตู้ ที่ถูกส่งมายังท่าเรือฮัมบูร์ก ซึ่งเพิ่มขึ้น 50.6% จากปีก่อนหน้า ปริมาณการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์กับอินเดียเพิ่มขึ้น 39.6% เป็น 60,000 TEU แม้ว่า ส่วนหนึ่งจะมาจากยอดที่ในอดีตส่งไปยังท่าเรือเมือง Bremer ของเยอรมนีก็ตาม เหตุผลหนึ่งก็คือ เมื่อสองปีก่อนบริษัทขนส่งอย่าง Hapag-Lloyd ที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ในเมืองฮัมบูร์กได้เข้าไปซื้อหุ้นในบริษัทผู้ให้บริการท่าเทียบเรือแห่งหนึ่งในอินเดียนั่นเอง บริษัทขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ระดับโลกอื่น ๆ ก็กำลังทยอยหันมาพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานใหม่จากอินเดียเช่นกัน เมื่อสัปดาห์ที่แล้วบริษัทผู้ให้บริการด้านการขนส่งทางเรือ Unifeeder ได้เปิดตัวบริการเรือขนส่งใหม่จากท่าเรือเมืองนาห์วาเชวา กับท่าเรือเมืองมุนดรา เพื่อเชื่อมต่อระหว่างมหาสมุทรอินเดียกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออกไปหมาด ๆ กลุ่มบริษัทขนส่ง CMA CGM ของฝรั่งเศสเองก็เพิ่งเริ่มเดินเรือจากท่าเรือทั้งสองแห่งนี้ในอินเดียไปยังจุดหมายปลายทางผ่านคลองสุเอซอีกด้วย โดยมีเรือฝรั่งเศสอีก 11 รำ ที่กำลังเดินเรือจากอินเดียไปยังชายฝั่งตะวันออกของประเทศสหรัฐฯ นอกจากนี้ ยังมีเส้นทางการเดินเรือใหม่ ๆ จากเวียดนาม ซึ่งน่าสนใจอีกด้วย บริษัท MSC ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ในสวิตเซอร์แลนด์ และเป็นผู้นำตลาดระดับโลกในกลุ่มบริษัทขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ได้เข้าไปเทียบท่า ที่ท่าเรือเมืองหวุงเต่า ของเวียดนามเป็นเวลานานกว่า 11 เดือนแล้ว เพื่อขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ไปยังเมืองลิเวอร์พูล รอตเตอร์ดัม แอนต์เวิร์ป และฮัมบูร์ก เมื่อเร็ว ๆ นี้บริษัท Hai An Lines ผู้ให้บริการขนส่งในท้องถิ่นได้เริ่มเชื่อมต่อท่าเรือหลายแห่งในเวียดนามกับจุดหมายปลายทางในกัมพูชา และจีนอีกด้วย 

นับตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นมา บริษัทที่ปรึกษาด้านความเสี่ยง Everstream Analytics ได้ศึกษาถึงการเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทานที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ผลการศึกษาระบุว่า ท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้าระหว่างชาติตะวันตกและจีนที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ ๆ อย่าง Samsung, Apple, Dell, Nokia และ NXP ได้ริเริ่มการกระจายแหล่งผลิตออกไปอย่างมีนัยสำคัญการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์นี้ ไม่เพียงแต่เกิดจากตัวเร่งอย่างจากนโยบายของที่แข็งกร้าวของ สีจิ้นผิง ประธานาธิบดีจีนต่อไต้หวันเท่านั้น แต่ยังรวมถึงตัวเร่งอื่น ๆ อย่างต้นทุนแรงงานในจีนที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องอีกด้วย โดย Everstream ระบุว่า ประเทศได้รับผลประโยชน์จากการกระจายแหล่งผลิตออกไปของเหล่าบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ ๆ กลายเป็นประเทศไทย โดยผู้ผลิตเทคโนโลยีจำนวนมากรายงานว่า นับตั้งแต่ปี 2019 พวกเขามีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 100% ในประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันไทยกลายเป็นประเทศผู้ผลิตชิ้นส่วนที่มีชื่อเสียงของ Apple ในการผลิต MacBook และสมาร์ทวอทช์อยู่แล้ว นอกจากนี้ HP ยังประกาศว่า ภายในสิ้นปีงบประมาณ 2025 จะย้ายฐานการผลิต 90% จากจีนมายังไทยอีกด้วย เวียดนายเองก็ไม่ยอมแพ้ และกำลังแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาดจากจีนมาเป็นของตัวเองเช่นกัน โดยระหว่างปี 20192024 จำนวนผู้ผลิตชิ้นส่วนสินค้าที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีเพิ่มขึ้น 96% ปัจจุบันเวียดนามเป็นผู้นำในห่วงโซ่การผลิตสมาร์ทโฟนและแล็ปท็อปไปแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านการจัดหาสินค้าให้กับบริษัท Apple และ Dell และด้วยอัตราการผลิตที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ เวียดนามใช้ประโยชน์ด้านความใกล้ชิดกับจีนทำให้สามารถถ่ายโอน และบูรณาการความรู้ความชำนาญเข้ากับห่วงโซ่อุปทานที่มีอยู่ได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้ เวียดนามยังมีต้นทุนแรงงานที่ต่ำกว่าจีน และนโยบายของรัฐบาลที่เอื้อต่อการลงทุนจากต่างประเทศมาส่งเสริมอีกด้วย โดยบริษัท Everstream ยังได้รายงานอีกว่า นับตั้งแต่ปี 2019 จำนวนผู้ผลิตชิ้นส่วนด้านเทคโนโลยีในอินเดียเองก็เติบโตขึ้นเกือบ 85% เมื่อปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาบริษัท Foxconn ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนที่สำคัญที่สุดของ Apple ได้ประกาศว่า จะลงทุน 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ กับโรงงานผลิตชิ้นส่วนแห่งใหม่ใกล้เมืองเจนไน ของอินเดีย เพื่อขยายการผลิตสมาร์ทโฟนออกไป แม้ว่าก่อนหน้านี้ประธานาธิบดีทรัมป์ของสหรัฐฯ ได้เรียกร้องให้นาย Tim Cook ซีอีโอของ Apple ย้ายฐานการผลิตสมาร์ทโฟนกลับไปยังสหรัฐฯ ก็ตาม โดยผู้ผลิตอุปกรณ์ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์จำนวนมากก็กำลังขยายธุรกิจเข้าสู่มาเลเซียเช่นกัน ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มาเลเซียมีอุปกรณ์ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้นถึง 50% โดยส่วนใหญ่เป็นการผลิตชิ้นส่วนสำหรับห่วงโซ่อุปทานอิเล็กทรอนิกส์อย่าง ตัวต้านทาน (Resistor) และตัวเก็บประจุ (Capacitor) เป็นหลัก อย่างไรก็ตามนาย Mirko Woitzik ผู้เชี่ยวชาญของบริษัท Everstream ประเมินว่า สถานะของจีนในตลาดโลกน่าจะยังคงเดิม เขากล่าวว่า เมื่อห่วงโซ่อุปทานเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงไป บริษัทหลายแห่งมองว่า การลงทุนที่เพิ่มขึ้นในอินเดียและ/หรือในประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น เป็นการกระจายความเสี่ยง (Diversification) มากกว่าการถอนการลงทุน (Disinvestment) บริษัทจำนวนมากได้พิจารณาถึงการเคลื่อนไหวไปในทิศทางดังกล่าวตั้งแต่ในช่วงที่มีการเกิดสงครามการค้าจากรัฐบาลของ Trump ชุดแรกในปี 2018 แล้วไม่ได้เกิดขึ้นแบบชั่วคราว อย่างไรก็ตาม แม้ว่าอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์จะประสบความสำเร็จในการขยายห่วงโซ่อุปทานในเอเชีย แต่ปริมาณอุปทานที่ไหลเข้าสู่บางภาคส่วนในยุโรปกลับลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะภาคส่วนน้ำมัน ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม และถ่านหิน เป็นภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด ตามรายงานจากท่าเรือเมืองรอตเตอร์ดัม สาเหตุหลักของการลดตัวลงนี้น่าจะมาจากการลดลงของการผลิตเหล็กกล้าในยุโรป นอกจากนี้ อุตสาหกรรมไฟฟ้าเองก็ยังกำลังหาทางละทิ้งวัตถุดิบอย่างถ่านหิน ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นหนึ่งในสินค้าหลักที่ขนส่งทางน้ำมายังยุโรปเป็นจำนวนมหาศาล นอกจากนี้ ท่าเรือเมืองรอตเตอร์ดัมกำลังเผชิญหน้ากับจำนวนรถบรรทุกที่ข้ามฟากไปยังสหราชอาณาจักรด้วยเรือเฟอร์รี่ที่ลดน้อยลงเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามภาษีศุลกากรที่ทำเนียบขาวกำหนดไม่น่าจะเป็นสาเหตุของการหดตัวของห่วงโซ่อุปทานตัวนี้ ความเสื่อมถอยของเส้นทางการค้าข้ามผ่านช่องแคบอังกฤษที่ครั้งหนึ่งเคยใช้กันอย่างหนักเริ่มต้นขึ้นเมื่อห้าปีก่อนซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สหราชอาณาจักรได้ประกาศออกจากสหภาพยุโรปนั่นเอง

 

จาก Handelsblatt 8 สิงหาคม 2568

Share :
Instagram