ยอดค้าปลีกของสหรัฐฯ ในเดือนมิถุนายน 2568 ฟื้นตัว เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 มีมูลค่า 720.1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ สูงเกินกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 0.1 หลังจากลดลงร้อยละ 0.9 (มีมูลค่า 715.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ) ในเดือนพฤษภาคม ตามรายงานของสำนักสำมะโนประชากร (Census Bureau) กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ
ยอดค้าปลีกที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ ร้านจำหน่ายรถยนต์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.2 หลังจากลดลงร้อยละ 3.8 ในเดือนพฤษภาคม ร้านค้าวัสดุก่อสร้าง และอุปกรณ์ทำสวน เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.9 เสื้อผ้าออนไลน์เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 อุปกรณ์กีฬา งานอดิเรก เครื่องดนตรี และหนังสือ เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 ร้านอาหารและเครื่องดื่มซึ่งเป็นหมวดบริการเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 ซึ่งแสดงให้เห็นการใช้จ่ายของผู้บริโภคโดยรวมยังคงแข็งแกร่งซึ่งเป็นตัวชี้วัดสำคัญของสถานะการเงินของครัวเรือน ยอดขายปลีกที่ไม่รวมยานยนต์ น้ำมันเชื้อเพลิง วัสดุก่อสร้าง และบริการอาหาร เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5
สำหรับยอดค้าปลีกของร้านจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ลดลงร้อยละ 0.1 เช่นเดียวกับร้านขายเฟอร์นิเจอร์ ขณะเดียวกัน ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินหลัก อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง
ขณะเดียวกัน จากข้อมูลของกระทรวงแรงงาน รายงานว่า ตลาดแรงงานในสหรัฐฯ ยังคงมีเสถียรภาพ ด้วยจำนวนผู้ยื่นขอรับสวัสดิการการว่างงานรายสัปดาห์ลดลง 7,000 ราย เหลือ 221,000 ราย ซึ่งเป็นจำนวนที่ลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือน ซึ่งถือเป็นตัวชี้วัดการจ้างงาน
ยอดค้าปลีกในเดือนมิถุนายนที่เพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งเกิดจากราคาสินค้าที่เกี่ยวข้องกับอัตราภาษีมีการปรับราคาสูงขึ้น เช่น สินค้าเครื่องใช้ในบ้าน อุปกรณ์ตกแต่งบ้าน และอุปกรณ์กีฬา ข้อมูลเงินเฟ้อแสดงให้เห็นว่าราคาสินค้าที่อ่อนไหวต่อภาษี เช่น เฟอร์นิเจอร์ของใช้ในบ้าน อุปกรณ์เครื่องใช้ ของเล่น และสินค้าเกี่ยวกับกีฬา มีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างชัดเจนในเดือนมิถุนายน นักเศรษฐศาสตร์บางรายระบุว่า ความกังวลเกี่ยวกับราคาที่อาจเพิ่มขึ้นมากกว่านี้ในอนาคต เป็นปัจจัยที่กระตุ้นให้ผู้บริโภคซื้อสินค้ามากขึ้นในเดือนที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของยอดค้าปลีกหลังจากที่ลดลงต่อเนื่องกันสองเดือน ถือเป็นสัญญาณที่ดี แสดงให้เห็นว่า การใช้จ่ายของผู้บริโภคเพิ่มขึ้นในระดับปานกลางในไตรมาสที่สอง หลังจากเกือบหยุดนิ่งในไตรมาสแรก ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์คาดว่า การเติบโตของการใช้จ่ายของผู้บริโภคในไตรมาสที่สองจะอยู่ต่ำกว่าอัตรารายปีร้อยละ 1.5 โดยการใช้จ่ายในภาคบริการ ซึ่งมีสัดส่วนมากกว่าของการใช้จ่ายผู้บริโภคโดยรวม ยังคงอ่อนตัว เนื่องจากครัวเรือนลดการเดินทางลง ซึ่งการใช้จ่ายของผู้บริโภคได้รับแรงหนุนจากตลาดแรงงานที่มีเสถียรภาพ
ทั้งนี้ ธนาคารกลางแอตแลนตา คาดว่า GDP จะกลับมาขยายตัวที่อัตรารายปีร้อยละ 2.6 ในไตรมาสที่สอง หลังจากหดตัวร้อยละ 0.5 ในไตรมาสแรกในช่วงเดือนมกราคมถึงมีนาคมที่ ผ่านมา การฟื้นตัวของยอดค้าปลีกในเดือนมิถุนายน เป็นสัญญาณบวกต่อการบริโภคภายใน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนใหญ่ของ GDP สหรัฐฯ ประกอบกับตลาดแรงงานมั่นคง ส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคยังแข็งแกร่ง
ข้อคิดเห็น
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในไตรมาสที่สามและสี่ มีทั้งปัจจัยจาก
ภาษีนำเข้าทำให้ราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้นอาจกระทบต่อการบริโภค
ตลาดการจ้างงานเริ่มชะลอตัว แรงงานที่ถูกเลิกจ้างจำนวนมากต้องว่างงานเป็นระยะเวลานาน
การเติบโตของค่าจ้างชะลอตัว
แม้ตลาดหุ้นจะมีการฟื้นตัว แต่ราคาบ้านกลับลดลงในหลายพื้นที่ ซึ่งส่งผลให้ความมั่งคั่งของครัวเรือนลดลง และอาจเป็นอุปสรรคต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภค
การคงดอกเบี้ยในระดับสูงอาจส่งผลให้เงินดอลลาร์แข็งค่า ซึ่งกระทบการค้าโลก อาจทำให้ผู้นำเข้าสหรัฐฯ ชะลอการสั่งซื้อ