fb
การคุมเข้มชายแดนของโปแลนด์อาจส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจเยอรมัน

การคุมเข้มชายแดนของโปแลนด์อาจส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจเยอรมัน

โดย
thanith@ditp.go.th
ลงเมื่อ 25 กรกฎาคม 2568 13:08
18

การตัดสินใจของรัฐบาลโปแลนด์ที่จะออกมาตรการควบคุมชายแดนกับเยอรมนีกลับมาบังคับใช้อีกครั้งตั้งแต่วันจันทร์ที่ผ่านมา ทำให้เกิดความกังวลของภาคธุรกิจเยอรมันเป็นอย่างมาก โดยสภาหอการค้าพาณิชย์และอุตสาหกรรมเยอรมนี (DIHK - Der Deutsche Industrie- und Handelskammertag) เปิดเผยว่า การกระทำดังกล่าว จะทำให้เกิดความไม่มั่นคง ในบริเวณรอบ ๆ ชายแดน เรากำลังได้รับเสียงวิจารณ์อย่างหนักจากภาคธุรกิจโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากหอการค้าในท้องถิ่นโดยนาง Helena Melnikov กรรมการผู้จัดการของ DIHK ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Handelsblatt ว่า หากคนทำงาน/แรงงานทั่วไปเดินทางผ่านชายแดนเยอรมนี - โปแลนด์เป็นกิจวัตรไม่สามารถเดินทางไปทำงานได้อย่างราบรื่นและตรงเวลา ความเสี่ยงที่พวกเขาจะเปลี่ยนไปทำงานที่อื่นอย่างถาวรจะเพิ่มขึ้น ซึ่งเรื่องนี้จะทำให้เกิดการขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะในเยอรมนีโดยเฉพาะในรัฐ Brandenburg” นาย René Wilke รัฐมนตรีว่าการกระทรวง มหาดไทยของรัฐ Brandenburg ให้ความเห็นว่า “อาจเกิดปัญหาการจราจรติดขัดอย่างหนัก ถึงหนักจนแบบที่ไม่มีการเคลื่อนตัวเลยก็ได้” โดย Wilke กล่าวต่อที่ประชุมคณะกรรมาธิการมหาดไทยของรัฐสภา ของเมือง Potsdam ว่า "เรื่องนี้จะส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อประชาชนในพื้นที่ชายแดนทั้งหมดและเป็นไปได้ที่ประชาชนหลายแสนคนจะได้รับผลกระทบจากการตัดสินใจดังกล่าว” ด้านนาง Melnikov ได้เน้นย้ำความสำคัญของการที่พรมแดนในยุโรปเปิดเสรีต่อกัน ว่า “การเคลื่อนย้ายของบุคคลและสินค้าอย่างเสรีไม่ใช่สิทธิพิเศษ แต่เป็นเสาหลักสำคัญของความสำเร็จทางเศรษฐกิจของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับระบบเศรษฐกิจที่เน้นการส่งออกของเยอรมนี” นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาถึงการพัฒนาประเทศในปัจจุบัน โดยมองปัญหาการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ เป็นสำคัญ Melnikov เชื่อว่า การเสริมสร้างการรวมกลุ่มเป็นตลาดเดียว (Single Market) ของสหภาพยุโรปให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นนั้นสำคัญยิ่งกว่าที่เคย โดย Melnikov เน้นย้ำว่า “ในทางกลับกันกำแพงที่เกิดขึ้นจากการปิดกั้นพรมแดนอีกครั้งนั้น ส่งผลเสียต่อระบบเศรษฐกิจ และบั่นทอนความเชื่อมั่นในแนวทางแก้ปัญหาของสหภาพยุโรป"

ทั้งนี้ โปแลนด์วางแผนที่จะนำมาตรการควบคุมชายแดนเบื้องต้นมาใช้จนถึงวันที่ 5 สิงหาคม 2025 เพื่อตอบสนองต่อมาตรการควบคุมชายแดนของรัฐบาลเยอรมัน โดยตั้งแต่เดือนตุลาคม 2023 เป็นต้นมาเยอรมนีได้ดำเนินการนำมาตรการควบคุมชายแดนมาใช้และทำการตรวจสอบแบบสุ่มบริเวณชายแดนที่ติดกับโปแลนด์ โดยหวังที่จะหยุดยั้งการทะลักเข้ามาของผู้อพยพอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมานาย Alexander Dobrindt รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเยอรมันสังกัดพรรคสหภาพคริสต์เตียนเพื่อประชาธิปไตยประเทศเยอรมนี (CDU - Christlich Demokratische Union Deutschlands) ได้สั่งการให้มีการควบคุมชายแดนเข้มงวดยิ่งขึ้น ขณะเดียวกัน เขาได้อนุญาตให้เจ้าหน้าที่สามารถปฏิเสธไม่ให้ผู้ขอลี้ภัยเข้าประเทศได้อีกด้วย ซึ่งมาตรการดังกล่าวของเยอรมนีนี้ ได้กลายเป็นประเด็นอ่อนไหวในโปแลนด์ ตัวแทนพรรค PiS พรรคฝ่ายค้านซึ่งพรรคอนุรักษ์นิยมขวาจัดกล่าวหา รัฐบาลของนาย Donald Tusk ว่า สนับสนุนยุโรป โดยยอมรับผู้อพยพจำนวนมากจากเยอรมนี โดยกลุ่มหัวรุนแรงขวาจัดในโปแลนด์นามว่า “ขบวนการพิทักษ์พรมแดน” ได้จัดตั้งกลุ่มผู้พิทักษ์ชายแดนเพื่อเดินลาดตระเวนตามแนวชายแดนของประเทศขึ้น ขณะเดียวกันนาย Dobrindt รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยฯ กำลังมองหาพันธมิตรเพื่อผลักดันปรับนโยบายการย้ายถิ่นฐานให้เข้มงวดยิ่งขึ้น เขาได้เชิญพันธมิตรจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างฝรั่งเศส โปแลนด์ ออสเตรีย เดนมาร์ก และสาธารณรัฐเช็ก รวมถึงนาย Magnus Brunner กรรมาธิการมหาดไทยของสหภาพยุโรปเข้าร่วมการประชุมในรัฐบาวาเลีย และคาดว่า ประเด็นหลักของการประชุมดังกล่าวจะมุ่งเน้นไปที่ “การปรับโครงสร้างนโยบายการย้ายถิ่นฐานของยุโรป” นั่นเอง โดยในการประชุมดังกล่าวมีแนวโน้มว่า จะมีการหารือเกี่ยวกับนโยบายชายแดนในพื้นเขตเชงเกน (Schengen Area) ซึ่งเป็นเขตพื้นที่มีประชากรรวมกันมากกว่า 400 ล้านคน ที่สามารถเดินทางระหว่างประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปที่เข้าร่วมเป็นสมาชิกได้อย่างเสรี ซึ่งปัจจุบันในเขตพื้นที่ดังกล่าวยังไม่มีการกำหนดมาตรการควบคุมชายแดนภายในประเทศ โดยประมวลกฎหมายชายแดนพื้นเขตเชงเกนอนุญาตให้มีการควบคุมชายแดนภายในประเทศได้เฉพาะในกรณีพิเศษเท่านั้น อย่างเช่น มีภัยคุกคามจากการก่อการร้ายหรืออาชญากรรมขึ้น ซึ่งประมวลกฎหมายดังกล่าวกำหนดว่า มาตรการควบคุมเหล่านี้สามารถมีระยะเวลาใช้ได้สูงสุดได้เพียงหกเดือนเท่านั้น โดยในปีที่ผ่านมาสหภาพยุโรปได้ตกลงเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ใหม่ที่อนุญาตให้คณะกรรมาธิการยุโรปดำเนินการใช้มาตรการควบคุมได้เป็นระยะเวลาสูงสุดถึงสามปี

รัฐบาลโปแลนด์ได้ออกมายอมรับว่า มาตรการควบคุมชายแดนนี้ส่งผลเสียต่อการจราจร และนาย Adam Szlapka โฆษกรัฐบาลกล่าวกับเว็บไซต์ Onet.pl ว่า เราตระหนักดีว่า จะทำให้เกิดความล่าช้าเกิดขึ้นที่ชายแดนอย่างไรก็ตาม การทำงานของเจ้าหน้าที่รักษาชายแดนจะได้รับการจัดระเบียบเพื่อลดความไม่สะดวกให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยนาย Dirk Jandura ประธานสมาคมค้าปลีก ส่งออก และธุรกิจบริการเยอรมนี (BGA - Bundesverband Großhandel, Außenhandel, Dienstleistungen e.V.) ได้แสดงความกังวลในทำนองเดียวกันต่อ DIHK ว่า การปิดกันตัวเองนั้น ไม่ได้แก้ปัญหา แต่กลับสร้างปัญหาใหม่ ๆ ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นปัญหาต่อ (1) ห่วงโซ่อุปทาน (2) แรงงาน และ (3) ความสามัคคีทางเศรษฐกิจในสหภาพยุโรป โดยเขากล่าวกับ Handelsblatt ว่า ยุโรปจะต้องไม่กลายเป็นพรมแดนที่ปิด ๆ เปิด ๆ อีกครั้ง แน่นอนหากจำเป็นต้องมีการควบคุมชายแดนที่เข้มงวดยิ่งขึ้นเพื่อป้องกันภัยคุกคาม แน่นอนว่า เรื่องนี้มีความสำคัญ แต่ ณ จุดนี้ เรากลับมองเห็นการถอยหลังกลับไปเป็นยุโรปที่เราเคยคิดว่า เราสามารถเอาชนะมันไปแล้ว ซึ่งการควบคุมชายแดนไม่ควรจะเป็นเครื่องมือทางการเมือง นาง Melnikov กรรมการผู้จัดการของ DIHK เสนอแนะแนวทางแก้ไขโดยใช้ “ข้อตกลงเชิงปฏิบัติการระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน” เพื่อลดภาระ เช่น การออกใบอนุญาตสำหรับผู้เดินทาง หรือช่องทางพิเศษสำหรับการขนส่งสินค้าที่จำเป็น โดยเธอกล่าวว่า “วิธีนี้สามารถผสานความปลอดภัย และความสมเหตุสมผลทางเศรษฐกิจ เข้าด้วยกันได้” สิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับ ผู้เดินทางข้ามพรมแดน ผู้ให้บริการในธุรกิจบริการ และลูกค้า คือ การสามารถเดินทางได้โดยไม่มีข้อจำกัดแบบเป็นนัยยะสำคัญ นาง Melnikov อธิบายว่า หลักการนี้สามารถใช้ได้กับร้านค้าต่าง ๆ ในภูมิภาค ร้านอาหารใกล้ชายแดน ธุรกิจการดูแลสุขภาพ และการพยาบาล รวมถึงบริษัทอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ โดยกล่าวส่งท้ายว่า “บริษัทต้องการความน่าเชื่อถือ และเสรีภาพในการเคลื่อนย้ายวัสดุอุปกรณ์และพนักงงาน ไม่ใช่สร้างอุปสรรคใหม่ ๆ ขึ้นมา”

 

จาก Handelsblatt 25 กรกฎาคม 2568

Share :
Instagram