แม้สหภาพยุโรป (EU) จะบรรลุข้อตกลงด้านภาษีศุลกากรกับศสหรัฐฯ ไปเมื่อไม่นานนี้ แต่ผู้เชี่ยวชาญบางส่วนก็ยังมีข้อกังวลว่า เทรนด์ของการใช้มาตรการกีดกันทางการค้าจะยืดเยื้อไปอีกระยะหนึ่ง ปัญหานี้นับเป็นปัญหาใหญ่สำหรับประเทศที่ได้รับประโยชน์จากระบบการค้าเสรี และประเทศที่มีอัตราการส่งออกสูงผ่านระบบการค้าเสรีโดยเฉพาะอย่างยิ่งเยอรมนี สำหรับ สินค้าที่ผลิตในเยอรมนีนั้นที่ผ่านมานับว่าเป็นที่ต้องการอย่างมากในตลาดสหรัฐฯ แต่กลับพบว่า ความสำเร็จของผู้ส่งออกเยอรมนีได้สร้างความเสี่ยงให้เกิดภาวะพึ่งพิงภาคการส่งออกมากตามไปด้วย ซึ่งสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ ด้วยการที่บริษัทเยอรมันควรจะผลักดันตัวเองเพื่อเข้าไปมีบทบาทมากขึ้นในประเทศกำลังพัฒนาและประเทศอุตสาหกรรมใหม่อื่น ๆ โดยภาคการส่งออกจะเป็นตัวผลักดันการเจริญเติบโตและความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจของเยอรมนี เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและอนาคต ภาคเอกชนจำเป็นต้องขยายธุรกิจในตลาดเกิดใหม่ทั้งในภูมิภาค เอเชีย แอฟริกา และลาตินอเมริกา ซึ่งทำให้ภาคเอกชนเยอรมันสามารถได้รับประโยชน์จากอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในตลาดเกิดใหม่เหล่านี้ได้ และแน่นอนที่โครงการส่งเสริมการส่งออกของรัฐบาลเยอรมันเปิดโอกาสและส่งเสริมให้บริษัทต่าง ๆ เข้ามามีส่วนร่วมเดินทางเข้าตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงนี้ แต่พวกเขาจะรอแต่ภาครัฐและไม่ทำอะไรเลยก็ไม่ได้ พวกเขาต้องผลักดันตัวเองเข้าสู่ตลาดใหม่เหล่านี้ด้วยกำลังของตัวเองร่วมกันไปด้วย
อีกสิ่งหนึ่งที่ชัดเจน คือ แทบไม่มีประเทศใดในโลกที่การค้าต่างประเทศจะมีความสำคัญกับระบบเศรษฐกิจของประเทศเท่ากับเยอรมนี โดยมูลค่าการนำเข้าและส่งออกรวมกันคิดเป็น 83% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ซึ่งถือเป็นอันดับ 1 ของโลก มูลค่าเพิ่ม (Value Added) ภายในประเทศประมาณ 27% มาจากการส่งออก ประมาณ 1 ใน 4 ของการจ้างงานในเยอรมนีผูกพันกับภาคเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก จากการศึกษาและวิจัยแสดงให้เห็นว่า บริษัทที่ส่งออกจ่ายค่าจ้างสูงกว่าบริษัททั่วไป ยกตัวอย่างเช่น จากการศึกษาและวิจัยของสถาบันวิจัยตลาดแรงงานและการประกอบอาชีพ (IAB - Instituts für Arbeitsmarkt- und Berufsforschung) พบว่า ช่องว่างค่าจ้างระหว่างบริษัทที่ส่งออกเป็นหลักกับบริษัทที่ไม่เน้นการส่งออกต่างกันประมาณ 5-10 % ซึ่งจะหมายความว่า ผู้ประกอบอาชีพจำนวนมากได้รับประโยชน์จากธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งเทรนด์เศรษฐกิจนี้ ได้รับแรงผลักดันหลักจากความต้องการสินค้าที่สูงอย่างต่อเนื่องจากสหรัฐฯ ปีที่ผ่านมาบริษัทเยอรมันสามารถส่งออกสินค้าไปตลาดสหรัฐฯ ได้มากกว่าประเทศอื่น ๆ โดยมีสินค้ารวมกันคิดเป็นมูลค่าประมาณ 161 พันล้านยูโร หรือประมาณ 1 ใน 10 ของปริมาณการส่งออกทั้งหมดของเยอรมนีเลยทีเดียว
แต่นโยบายภาษีศุลกากรที่ไม่แน่นอนของรัฐบาลสหรัฐฯ แสดงให้เห็นว่า อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อคู่ค้ารายใหญ่อย่างสหรัฐฯ ตัดสินใจจำกัดการเข้าถึงตลาดอย่างกะทันหัน ดังนั้น ภาคเอกชนจึงจำเป็นต้องเร่งหาและกระจายความเสี่ยงในตลาดส่งออกของตนเองอย่างจริงจัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขยายการส่งออกไปยังประเทศกำลังพัฒนาในเอเชีย แอฟริกา และลาตินอเมริกา หากเยอรมนีสามารถรักษาสถานะการแข่งขันระหว่างประเทศในตลาดต่าง ๆ ได้มากขึ้น เมื่อเกิดอุปสรรคทางการค้าในตลาดใดตลาดหนึ่งขึ้น เยอรมนีก็จะสามารถลดความเสี่ยงลงได้ ด้วยวิธีนี้ภาคเอกชนจะสามารถชดเชยธุรกิจที่ลดลงในสหรัฐฯ ได้อย่างน้อยบางส่วน และด้วยการกระจายธุรกิจระหว่างประเทศออกไปจะทำให้เยอรมนีสามารถรับมือกับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากภูมิรัฐศาสตร์และปัญหาเศรษฐกิจอื่น ๆ ได้ง่ายขึ้น นอกจากการกระจายความเสี่ยงทางการค้าออกไปผู้ส่งออกเยอรมนียังต้องการตลาดใหม่ ๆ เพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจของตนเองอีกด้วย สถาบันวิจัยของสถาบันสินเชื่อเพื่อการฟื้นฟูประเทศ (KfW - Kreditanstalt für Wiederaufbau) คาดการณ์ว่า ในปีนี้ GDP ของเยอรมนีจะคงที่ ในเวลาเดียวกัน IMF ออกมาคาดการณ์ว่า GDP ของประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียจะเติบโตที่ 4.5% สำหรับ ทวีปแอฟริกาภูมิภาคแถบใต้ทะเลทรายสะฮาราจะเติบโตที่ 3.8% และลาตินอเมริกาอยู่ที่ 2.0% แน่นอนไม่ต้องสงสัยเลยว่า การเข้าสู่ตลาดใหม่นั้นมักมีความเสี่ยงอยู่แล้ว และต้องใช้เงินลงทุนเริ่มต้นที่สูง และต้องมีความอดทนอย่างมาก เพื่อให้ธุรกิจระหว่างประเทศเติบโตได้ ดังนั้นบริษัทขนาดกลางและขนาดย่อมมักจะลังเลที่จะก้าวเข้าสู่ตลาดใหม่ เหตุนี้เองทำให้รัฐบาลเยอรมนีได้ริเริ่มโครงการส่งเสริมการส่งออกมากมายเพื่อสนับสนุนภาคเอกชน โดยบริษัทต่าง ๆ จะได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับหัวข้อเฉพาะด้านการส่งออก และการติดต่อในตลาดเป้าหมาย รวมถึงการจัดหาเงินทุนเพื่อการส่งออก และการประกันสินเชื่อเพื่อการส่งออกอีกด้วย ผู้ส่งออกในประเทศเยอรมนีควรใช้ประโยชน์จากโอกาสเหล่านี้ให้มากขึ้น พวกเขาจะได้รับประโยชน์จากการเติบโตอย่างรวดเร็วของฝั่งซีกโลกใต้ และเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับธุรกิจส่งออกของตนในระยะยาว ซึ่งความยืดหยุ่นมีความสำคัญเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ในการประกอบธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจโลกผันผวนอย่างเช่นในปัจจุบัน
โดยนาง Christiane Laibach สมาชิกคณะกรรมการสถาบันสินเชื่อเพื่อการฟื้นฟูประเทศ (KfW - Kreditanstalt für Wiederaufbau)
จาก Handelsblatt 18 สิงหาคม 2568