จากที่สินค้าลักชัวรี่เคยต้านทานภาวะเศรษฐกิจผันผวนได้เป็นอย่างดีแต่กลับกำลังได้รับผลกระทบจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวในปัจจุบัน เนื่องจากปัจจัยสำคัญหลายประการไม่ว่าจะเป็น เศรษฐกิจจีนที่เติบโตช้าลง ผู้บริโภคชาวญี่ปุ่นลดการใช้จ่าย รวมถึงผลต่อเนื่องจากนโยบายเศรษฐกิจของประธานาธิบดีทรัมป์ และการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ
ซึ่งผลกระทบเหล่านี้สะท้อนให้เห็นได้จากผลประกอบการล่าสุดที่ลดลงของบริษัทในกลุ่มแบรนด์หรูหลายแห่ง
กลุ่มบริษัท LVMH มีผลกำไรสุทธิในครึ่งปีแรกของปี 2025 คิดเป็นมูลค่า 5.7 พันล้านลดลงร้อยละ 22 จากปี 2024 ในช่วงเวลาเดียวกัน ( ปี 2024 7.3 พันล้านยูโร, ปี 2023 8.48 พันล้านยูโร ) จากยอดขายมูลค่า 39.8 พันล้านยูโรซึ่งลดลงร้อยละ 3
กลุ่มบริษัท Kering มียอดขายในครึ่งปีแรกคิดเป็นมูลค่า 7.6 พันล้านยูโรลดลงร้อยละ 15 จากปี 2024 ในช่วงเวลาเดียวกัน โดยเฉพาะยอดขายของแบรนด์หลักของบริษัทอย่างแบรนด์ Gucci ลดลงถึงร้อยละ 25 ส่งผลให้กำไรสุทธิของแบรนด์ลดลงถึงครึ่งหนึ่ง เหลือมูลค่า 474 ล้านยูโร ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าตลาดสินค้าลักชัวรี่จะยังคงเผชิญกับความท้าทายต่อเนื่องอีกระยะหนึ่ง และอาจต้องรอถึงปี 2026 ก่อนที่จะเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวอย่างแท้จริง
ถึงกระนั้นก็ตามบริษัทสินค้าลักชัวรี่อย่าง Hermès และ Prada ยังคงมียอดขายเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่องโดยแบรนด์ Hermès ขยายตัวที่ระดับร้อยละ 6 ส่งผลให้ผลประกอบการในครึ่งปีแรกของปี 2025 (8 พันล้านยูโร) แซงหน้ากลุ่มบริษัท Kering (7.6 พันล้าน)
ในขณะเดียวกันกลุ่มบริษัท Prada (แบรนด์ Miu Miu และ Prada) ที่ถึงแม้จะมียอดขายโดยรวมลดลงร้อยละ 2 แต่ผลประกอบการกลับเพิ่มขึ้นร้อยละ 9 คิดเป็นมูลค่า 2.7 พันล้านยูโร ซึ่งเกิดจากการขยายตัวในทุกภูมิภาคทั่วโลก ซึ่งมาจากการเติบโตของแบรนด์ Miu Miu ที่มียอดค้าปลีกเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 49 ถึงแม้ว่าผลประกอบการของ Prada จะเพิ่มขึ้นแต่นาย Patrizio Bertelli ประธานกลุ่มบริษัทยังคงแสดงความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่อาจส่งผลต่อทิศทางของตลาดสินค้าลักชัวรี่ในอนาคต
นาย Nicolas Hieronimus ผู้บริหารบริษัท L’Oréal กล่าวว่า การที่สหรัฐอเมริกาปรับขึ้นอัตราภาษีศุลกากรจากประเทศในสหภาพยุโรปเป็นร้อยละ 15 จะส่งผลกระทบต่อตลาดสินค้าลักชัวรี่เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะสินค้าที่ผลิตในฝรั่งเศสและอิตาลีคู่ค้ารายใหญ่ซึ่งผลิตภายใต้สกุลเงินยูโรแต่จำหน่ายในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมีความอ่อนค่าลงถึงร้อยละ 9.9 ในช่วงระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงพฤษภาคมที่ผ่านมา
แบรนด์สินค้าลักชัวรี่จำเป็นต้องปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้
ดังเช่น แบรนด์ Hermès ใช้นโยบายในการปรับราคาสินค้าที่จำหน่ายในสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ในขณะที่แบรนด์สินค้าอื่น ๆ ปรับราคาสินค้าเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 3 ระหว่างช่วงเดือนมกราคม-พฤษภาคม หลังจากที่ราคาต้นทุนสินค้าได้เพิ่มขึ้นในทุกด้านตลอดช่วงหลายปีที่ผ่าน โดยการปรับราคาครั้งล่าสุดเกิดขึ้นในช่วงระหว่างปี 2022-2023 ที่อัตราร้อยละ 7 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สินค้าลักชัวรี่เป็นที่ต้องการของตลาดเป็นอย่างมาก
นาย Luca de Meo ผู้บริหารคนใหม่ของบริษัท Kering ที่จะเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 15 กันยายนนี้กล่าวว่า Kering เป็นบริษัทมีศักยภาพสูงแต่เนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบันส่งผลให้บริษัทจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์ใหม่
ตลาดสินค้าลักชัวรี่ยังคงพึ่งพาตลาดหลักในโลกเพียงไม่กี่ประเทศเท่านั้น ได้แก่ สหรัฐอเมริกา จีน และญี่ปุ่น โดยตลาดใหม่ขนาดใหญ่ที่เพิ่มขึ้นมีเพียงอินเดียเท่านั้น สถานการณ์เศรษฐกิจของตลาดหลักที่เปลี่ยนแปลงไปย่อมส่งผลกระทบโดยตรงต่อแบรนด์ต่างๆ ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าตลาดสินค้าลักชัวรี่จะกลับมาคึกคักอีกครั้งในปี 2026 ในขณะที่บริษัท McKinsey คาดการณ์ว่าจะเป็นในปี 2027
ความเห็นสคต.
ผลประกอบการสินค้าลักชัวรี่ฝรั่งเศสในปี 2024 คิดเป็นมูลค่า 3.71 พันล้านยูโร คาดการณ์ว่าจะสามารถขยายตัวได้ร้อยละ 2 ในปี 2025 นี้ จากข้อมูลของบริษัท Morgan Stanley แบรนด์สินค้าลักชัวรี่สิบอันดับแรกของโลกเป็นแบรนด์ฝรั่งเศสทั้งสิ้น 6 แบรนด์ด้วยกัน ได้แก่ Louis Vuitton, Chanel, Hermès, Dior, Cartier, Van Cleef & Arpels ซึ่งแบรนด์ Hermès, Cartier และ Van Cleef & Arpels ยังคงสามารถขยายตัวได้ในระดับดีในช่วงปีที่ผ่านมา เนื่องมาจากกลุ่มลูกค้าที่เรียกว่า Very Important Customers (VIC) ซึ่งมีเพียงร้อยละ 2 ของกลุ่มลูกค้าทั้งหมดของสินค้าลักชัวรี่แต่สามารถสร้างยอดขายให้กับแบรนด์ต่างๆ ได้ถึงร้อยละ 40 ของยอดขายทั้งหมด โดยแบรนด์ลักชัวรี่ได้ให้ความสำคัญต่อการรักษาฐานลูกค้าเดิมที่มีอยู่นี้เป็นอย่างมาก จึงช่วยให้แบรนด์ยังคงเข้มแข็งและเติบโตได้ในสถานการณ์เศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนในปัจจุบัน ผู้ประกอบการไทยเองเช่นเดียวกันนอกเหนือจากการรักษาความสัมพันธ์อันดีกับคู่ค้าที่มีอยู่เดิมแล้ว ควรศึกษาตลาดใหม่เพื่อช่วยขยายการสร้างโอกาสทางการค้าเพิ่มขึ้นได้ในอนาคต
ที่มาของข่าว
Virginie Jacoberger-Lavoué
ข้อมูลจาก
https://www.lesechos.fr/industrie-services/mode-luxe/fragilise-par-le-recul-du-dollar-et-la-hausse-des-droits-de-douane-le-luxe-fait-le-gros-dos-2179408