fb
เวียดนามเดินหน้ายกระดับอีคอมเมิร์ซสู่มาตรฐานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
โดย
Trann@ditp.go.th
ลงเมื่อ 22 สิงหาคม 2568 17:08
74

เนื้อข่าว 

เวียดนามกำลังเร่งผลักดันการพัฒนาแนวทางอีคอมเมิร์ซที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green solutions for e-commerce) เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมท่ามกลางการเติบโตอย่างรวดเร็วของภาคธุรกิจนี้ โดยสำนักงานอีคอมเมิร์ซและเศรษฐกิจดิจิทัล (The Vietnam E-commerce and Digital Economy Agency: iDEA) กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าเวียดนาม เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา อีคอมเมิร์ซเวียดนามมีอัตราการขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 20 ต่อปี มูลค่าตลาดสูงถึง 25,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2567 คิดเป็นร้อยละ 9 ของยอดค้าปลีกสินค้าและบริการทั้งประเทศ และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นแตะ 100,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2573 ส่งผลให้เวียดนามกลายเป็นหนึ่งในตลาดอีคอมเมิร์ซที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก

image.png

อย่างไรก็ตาม การเติบโตดังกล่าวก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อม ทั้งในด้านบรรจุภัณฑ์และการขนส่ง โดยองค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกประจำเวียดนาม (World Wildlife Fund Vietnam: WWF-Vietnam) รายงานว่า ในปี 2566 ภาคอีคอมเมิร์ซสร้างขยะบรรจุภัณฑ์กว่า 332,000 ตัน ซึ่งกว่าครึ่งเป็นพลาสติก และคาดว่าหากไม่มีมาตรการจัดการที่เหมาะสม ปริมาณขยะพลาสติกอาจเพิ่มสูงถึง 800,000 ตันต่อปีภายในปี 2573 อีกทั้งกิจกรรมการขนส่งสินค้ายังเป็นแหล่งสำคัญของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

เพื่อลดผลกระทบดังกล่าว รายงานของ Google Temasek และ Bain & Company ชี้ว่า การปรับเส้นทางการจัดส่งให้มีประสิทธิภาพและการใช้วัสดุรีไซเคิลสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึงร้อยละ 30–40 แต่การบรรลุเป้าหมายนี้จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากภาครัฐ ภาคธุรกิจ และผู้บริโภคไปพร้อมกัน การสำรวจของสมาคมอีคอมเมิร์ซเวียดนาม (Vietnam E-commerce Association: VECOM) สะท้อนความต้องการในทิศทางเดียวกัน โดยร้อยละ 79 ของผู้บริโภคคาดหวังให้รัฐบาลออกกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อม ร้อยละ 71 ต้องการให้ภาคธุรกิจเปิดเผยข้อมูลบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และร้อยละ 61 เห็นว่าควรมีการรณรงค์ด้านสื่อและการศึกษาเพื่อสร้างความตระหนักรู้ต่อสังคม

ในทางปฏิบัติ หลายองค์กรได้เริ่มดำเนินการเพื่อปรับตัว เช่น บริษัท Viettel Post ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ Viettel Group ได้พัฒนาโมเดลไปรษณีย์เคลื่อนที่ (mobile postal office model) ที่คัดแยกพัสดุบนรถโดยตรง ลดขั้นตอนการขนย้ายและระยะทางจัดส่งลงร้อยละ 15 ช่วยประหยัดเชื้อเพลิงและลดการปล่อยคาร์บอน พร้อมทั้งติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์ในศูนย์คัดแยก เพื่อใช้กับระบบไฟฟ้าและเครื่องปรับอากาศ ลดการพึ่งพาพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล 

ขณะเดียวกันในภาคการผลิตและบรรจุภัณฑ์ บริษัทข้ามชาติรายใหญ่อย่าง Nestlé Coca-Cola และ Tetra Pak ต่างผลักดันกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน โดย Nestlé ตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกร้อยละ 20 ภายในสิ้นปี 2568 และทำให้บรรจุภัณฑ์ทั้งหมดสามารถรีไซเคิลหรือใช้ซ้ำได้ ขณะที่ Coca-Cola ให้คำมั่นว่าจะใช้วัสดุรีไซเคิลร้อยละ 35–40 ในบรรจุภัณฑ์ภายในปี 2578 ส่วนโรงงาน Tetra Pak Binh Duong ถือเป็นหนึ่งในไม่กี่โรงงานในเวียดนามที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน LEED Gold สามารถประหยัดน้ำได้ถึง 2 ล้านลิตรต่อปี และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ได้ 4,000 ตัน

ด้านนโยบาย นาง Le Hoang Oanh ผู้อำนวยการ iDEA เปิดเผยว่า ร่างแก้ไขกฎหมายอีคอมเมิร์ซฉบับใหม่ (The revised draft E-commerce Law) ที่อยู่ระหว่างการจัดทำโดยกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า จะกำหนดกรอบกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อม (Green legal framework) โดยบังคับให้ผู้ประกอบการเปิดเผย การปฏิบัติตามมาตรฐานการทำธุรกิจที่โปร่งใสและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Clean business standards)ต่อสาธารณะ เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถตัดสินใจได้อย่างรอบคอบ นอกจากนี้ นาย Nguyen Hong Dien รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้ายืนยันว่ามาตรการด้านสิ่งแวดล้อมจะถูกบังคับใช้อย่างเป็นทางการ พร้อมกำหนดนโยบายสนับสนุนการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การส่งเสริมการบริโภคอย่างยั่งยืน และการเสริมสร้างระบบจัดเก็บและรีไซเคิลขยะ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจและการรักษาสิ่งแวดล้อมของเวียดนามในระยะยาว

(แหล่งที่มา https://vietnamnews.vn/ ฉบับวันที่ 18 สิงหาคม 2568)

วิเคราะห์ผลกระทบ

ตลอดเกือบสามทศวรรษที่ผ่านมา อีคอมเมิร์ซได้กลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจโลก ช่วยส่งเสริมทั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจ การปรับเปลี่ยนโครงสร้างสังคม และการบูรณาการทางการค้าในระดับนานาชาติ อย่างไรก็ตาม การขยายตัวดังกล่าวมาพร้อมกับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่ทวีความรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะ
การเพิ่มขึ้นของบรรจุภัณฑ์และขยะพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว ซึ่งกำลังกลายเป็นความท้าทายสำคัญต่อการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในหลายประเทศ รวมถึงเวียดนาม

เวียดนามเริ่มเห็นการเติบโตของอีคอมเมิร์ซอย่างจริงจังตั้งแต่ปี 2558 โดยมีมูลค่าตลาดประมาณ 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ก่อนจะเร่งตัวขึ้นอย่างก้าวกระโดดหลังปี 2559 และแตะระดับ 31,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2567 โดยกว่าหนึ่งในสามมาจากการขายปลีกออนไลน์ ทั้งนี้ สมาคมอีคอมเมิร์ซเวียดนามคาดการณ์ว่ามูลค่าตลาดจะขยายสู่เกือบ 40,000 ล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2568 และอาจสูงถึง 100,000 ล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2573 การขยายตัวดังกล่าวแม้สะท้อนถึงศักยภาพทางเศรษฐกิจการค้า แต่ก็ได้สร้างแรงกดดันต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมา และยิ่งเด่นชัดในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ธุรกิจออนไลน์และบริการส่งอาหารเติบโตอย่างรวดเร็ว พร้อมกับการใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกที่พุ่งสูงขึ้น

ข้อมูลจากองค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกประจำเวียดนาม ระบุว่า ในปี 2566 อีคอมเมิร์ซเวียดนามก่อให้เกิดขยะบรรจุภัณฑ์มากกว่า 332,000 ตัน โดยเป็นขยะพลาสติกกว่า 171,000 ตัน คิดเป็นขยะพลาสติกกว่า 7,600 ตันต่อยอดขายทุก 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่บริการส่งอาหารเพียงอย่างเดียวปล่อยขยะพลาสติกมากถึง 18,600 ตันต่อปี ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนถึงแรงกดดันเชิงโครงสร้างด้านสิ่งแวดล้อมที่ไม่เพียงส่งผลต่อคุณภาพชีวิตในประเทศ แต่ยังอาจกลายเป็นข้อจำกัดต่อความสามารถในการแข่งขันทางการค้าในเวทีระหว่างประเทศ ซึ่งกำลังปรับตัวสู่มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนอย่างเข้มข้น

เพื่อตอบสนองต่อแรงกดดันดังกล่าว รัฐบาลเวียดนาม โดยกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า กำลังดำเนินการปรับปรุงร่างกฎหมายอีคอมเมิร์ซฉบับแก้ไข โดยบรรจุแนวทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นหัวใจสำคัญ กรอบนโยบายใหม่นี้มุ่งยกระดับมาตรฐานธุรกิจให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนและแนวโน้มการค้าระดับโลก ซึ่งจะสร้างผลกระทบเป็นวงกว้าง ทั้งต่อภาครัฐที่ต้องจัดสรรทรัพยากรสนับสนุนการปรับตัว ภาคธุรกิจที่ต้องลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงผู้บริโภคที่อาจต้องรับภาระต้นทุนสิ่งแวดล้อมผ่านราคาสินค้าที่สูงขึ้น

แนวทางการพัฒนาอีคอมเมิร์ซที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมิใช่เพียงการแก้ไขผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน แต่เป็นยุทธศาสตร์ระยะยาวในการสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจและการรักษาสิ่งแวดล้อม หากสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิผล เวียดนามจะไม่เพียงก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในตลาดอีคอมเมิร์ซที่เติบโตเร็วที่สุดในภูมิภาค แต่ยังสามารถยกระดับบทบาทสู่การเป็นต้นแบบการพัฒนาที่ยั่งยืนที่สอดคล้องกับมาตรฐานการค้าระดับโลกในอนาคต

นำเสนอโอกาส/แนวทาง

ตลาดอีคอมเมิร์ซของเวียดนามกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยคาดว่าจะมีมูลค่าแตะ 100,000 ล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2573 ซึ่งได้รับแรงขับเคลื่อนจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมาใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ความต้องการผลิตภัณฑ์และบริการรักษ์โลก เช่น บรรจุภัณฑ์ชีวภาพ การขนส่งลดคาร์บอน และระบบจัดการขยะที่มีประสิทธิภาพ จึงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แนวโน้มนี้ส่งผลโดยตรงต่อการแข่งขันในตลาด เนื่องจากผู้ประกอบการที่ไม่สามารถตอบสนองมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมอาจสูญเสียโอกาสทางธุรกิจ ขณะที่ผู้ที่ปรับตัวได้ทันจะสามารถสร้างความแตกต่างและขยายฐานลูกค้าได้อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ การออกกฎหมายและมาตรการของภาครัฐ เช่น การจำกัดการใช้พลาสติก การส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน และการลงทุนพลังงานสะอาด ยังเป็นตัวเร่งให้ธุรกิจต้องยกระดับการดำเนินงานสู่ความยั่งยืนมากขึ้น

สำหรับผู้ประกอบการไทย การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวถือเป็นโอกาสสำคัญที่จะใช้จุดแข็งด้านภูมิศาสตร์ ศักยภาพการผลิต และความสัมพันธ์ทางการค้าเพื่อเข้าสู่ตลาดเวียดนามด้วยสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์กระแสความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นบรรจุภัณฑ์ย่อยสลายได้ ผลิตภัณฑ์รีไซเคิล หรือเทคโนโลยีดิจิทัลที่ช่วยยกระดับประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์ การปรับตัวเชิงรุกผ่านนวัตกรรม การยกระดับมาตรฐานสากล และการสร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับบริษัทเวียดนาม จะช่วยให้ผู้ประกอบการไทยไม่เพียงแข่งขันได้ในเวียดนาม แต่ยังเสริมสร้างความแข็งแกร่งเพื่อการขยายสู่ตลาดสากลในระยะยาวอย่างมั่นคง

News 18 - 22 August - Vietnam green solutions for e-commerce-Edit.pdf
Share :
Instagram