เนื้อหาสาระข่าว และ บทวิเคราะห์: หลังจากการประกาศอัตรากำแพงภาษีนำเข้าสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม ก่อนครบกำหนดการยืดระยะเวลาอัตรากำแพงภาษีนำเข้าในวันที่ 1 สิงหาคม ซึ่งอย่างที่เป็นที่ทราบกันแล้วนั้น ว่าประเทศไทยถูกกำหนดอัตรากำแพงภาษีนำเข้าอยู่ที่ 19% ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่ง แต่แม้ว่าอัตรากำแพงภาษีนำเข้าจะถูกประกาศออกมาแล้วนั้น ทว่าระบบและกลไกต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดอัตรากำแพงภาษีของรัฐบาลสหรัฐฯ โดยประธานาธิบดีทรัมป์นั้นยังคงเป็นที่ถกเถียง และมีประเด็นให้ต้องติดตามกันต่อไป กล่าวคือ ในขณะนี้ยังคงมีคดีการฟ้องร้องนโยบายการค้าของปธน.ทรัมป์ต่อศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (U.S. Court of International Trade) ซึ่งอาจส่งผลต่อการบังคับใช้อัตรากำแพงภาษีนำเข้าทั้งหมดหรือบางส่วน ตามที่ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม ศาลดังกล่าวได้มีคำสั่งให้ระงับการบังคับใช้อัตรากำแพงภาษีนำเข้า ก่อนที่รัฐบาลของ ปธน.ทรัมป์จะยื่นอุทธรณ์ในเวลาต่อมา
ภายหลังการประกาศเมื่อวันที่ 2 เมษายนของปธน.ทรัมป์ ที่ได้การกำหนดอัตรากำแพงภาษีนำเข้าแบบต่างตอบแทน (Reciprocal Tariff) ซึ่งทำให้เกิดการตื่นตัวไปทั่วโลกนั้น ให้หลังไม่นานก็ได้เกิดการเคลื่อนไหวของภาคธุรกิจเอกชนจำนวน 5 ราย และรัฐบาลระดับมลรัฐจำนวน 12 มลรัฐ (ทั้งหมดเป็นพื้นที่ฐานเสียงพรรคเดโมเเครต) ยื่นคำร้องต่อศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ให้พิจารณาความถูกต้องชอบธรรมของปธน.ทรัมป์ในการอ้างกฎหมาย พรบ.ว่าด้วยอำนาจทางเศรษฐกิจฉุกเฉินระหว่างประเทศ (International Emergency Economic Powers Act - IEEPA) เป็นที่มาของการกำหนดมาตรการอัตรากำแพงภาษีนำเข้ากับประเทศคู่ค้าทั่วโลก
โดยข้อกล่าวอ้างหลักของทางฝ่ายที่ยื่นคำร้องไปยังศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ อ้างถึงความถูกต้องชอบธรรมในการอ้างเหตุผลภัยความมั่นคงแห่งชาติทางเศรษฐกิจ (National Economic Security) และความฉุกเฉินระดับชาติ (National Emergency) ของปธน.ทรัมป์ ในการกำหนดและบังคับใช้อัตราภาษีนำเข้าทั้งหมด โดยได้กล่าวอ้างไปถึงรัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ ซึ่งได้กล่าวว่า “อำนาจในการกำหนดและจัดเก็บอัตราภาษี และการกำหนดกฎระเบียบการค้ากับต่างชาติเป็นของสภาคองเกรส” และไม่มีข้อความใดในรัฐธรรมนูญให้อำนาจแก่ประธานาธิบดีในการกระทำเหล่านั้น ในทางกลับกันรัฐธรรมนูญกำหนดเพียงแค่ให้ประธานาธิบดีเป็นผู้บังคับใช้ และปฏิบัติตามกรอบที่คองเกรสเป็นผู้กำหนด
ในอดีตสภาคองเกรสนับตั้งแต่ปีค.ศ. 1934 เป็นต้นมา ได้เริ่มมีการให้อำนาจแก่ประธานาธิบดีเป็นผู้เจรจาทางการค้า และกำหนดอัตราภาษีนำเข้าแบบต่างตอบแทนได้ ในบางกรณี อาทิ
1) การตอบโต้หลักการปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม (Unfair Trade Practices) เช่น การทุ่มตลาด (Dumping) และการอุดหนุน (Subsidies)
2) การตอบโต้ผลกระทบจากการนำเข้าต่ออุตสาหกรรมในประเทศ (Injury to an Industry from Imports) ตามมาตรา 201 โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องได้รับคำแนะนำโดยคณะกรรมการการค้าระหว่างประเทศ (International Trade Commission - ITC) ภายหลังการสอบสวนผลกระทบทางการค้า
3) มาตรการด้านความมั่นคงแห่งชาติ ให้อำนาจในการขึ้นอัตราภาษีนำเข้าสินค้าเหล็ก อะลูมิเนียมและรถยนต์ ตามมาตรา 232
4) การตอบโต้การกระทำซึ่งเลือกปฏิบัติต่อสินค้าสหรัฐฯ ตามมาตรา 338
5) การเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าเพื่อป้องกันดุลการชำระเงิน (Balance of Payment) ตามมาตรา 122
และ 6) อำนาจในการจัดการกับสภาวะฉุกเฉินตามพรบ. IEEPA ซึ่งเป็นส่วนที่กำลังอยู่ในชั้นศาลในขณะนี้ อย่างไรก็ตาม สิทธิและอำนาจของประธานาธิบดีตามที่ได้กล่าวมาข้างต้นนั้นยังคงอยู่ ยกเว้น การบังคับใช้ข้อตกลงทางการค้าและสร้างพันธะผูกพันให้กับสหรัฐฯในการกำหนดอัตราภาษีนำเข้าใด ๆ อันจะนำไปสู่การบรรลุข้อตกลงระหว่างประเทศ
ทั้งนี้ ตั้งแต่การกลับมายังทำเนียบขาวเป็นสมัยที่ 2 ของปธน.ทรัมป์ เมื่อวันที่ 20 มกราคมเป็นต้นมา ปธน.ทรัมป์ ได้ออกคำสั่งของประธานาธิบดี (Executive Order) 23 ฉบับ บันทึกข้อความ (Memorandum) 4 ฉบับและประกาศ (Proclamation) 3 ฉบับที่เกี่ยวข้องกับการค้าและอัตรากำแพงภาษีนำเข้า โดยเกือบทั้งหมดนั้น ปธน.ทรัมป์ได้อ้างความชอบธรรมในการสั่งการบังคับใช้ตามพรบ. IEEPA เพื่อปกป้องความมั่นคงของชาติทางเศรษฐกิจ แม้จะดูเหมือนไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไรสำหรับสหรัฐฯ จากการที่ก่อนหน้านี้ประธานาธิบดีหลายท่านในอดีตก็เคยได้มีการประกาศสภาวะฉุกเฉินหรือภัยความมั่นคงแห่งชาติทางเศรษฐกิจ อันเนื่องมาจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นการก่อการร้าย ภัยสงคราม หรือสภาวะโรคระบาดโควิด-19 แต่ในครั้งนี้ปธน.ทรัมป์ได้อ้างถึงการขาดดุลทางการค้า (Trade Deficits) และการปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม จึงเป็นที่มาของการตั้งคำถามถึงความหนักแน่นของเหตุผลในการกล่าวอ้าง และความชอบธรรมในการบังคับใช้มาตรการทั้งหลาย
สาระสำคัญของความขัดแย้งในครั้งนี้ คือการที่ฝ่ายผู้ยื่นคำร้องต่อศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ มีความเห็นว่าในปัจจุบันยังไม่ได้มีสภาวะฉุกเฉิน หรือภัยคุกคามอันร้ายแรงแต่ประการใด ตามที่จะอ้างได้ในกรอบกฎหมาย IEEPA ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลของปธน.ทรัมป์ได้อ้างว่า ภัยคุกคามจากหลักการปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมและสภาวะขาดดุลทางการค้าของสหรัฐนั่นเอง คือสิ่งที่เป็นภัยต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งในประเด็นนี้แม้ว่าในภาคสังคมบรรดานักวิชาการ นักเศรษฐศาสตร์ และนักรัฐศาสตร์จะถกเถียงกันอย่างไร แต่สุดท้ายผู้ที่มีอำนาจ ตัดสินใจว่าเหตุผลและความจำเป็นประการใดจะถือเป็นภัยต่อความมั่นคงแห่งชาติอยู่ที่ประธานาธิบดี
อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้คำร้องคดีฟ้องร้องดังกล่าวอยู่ในขั้นศาลอุทธรณ์ของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ แล้ว ฉากสำคัญต่อไปที่จะต้องติดตามคือศาลอุทธรณ์ของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ (United States Court of Appeals for the Federal Circuit) นั้น จะมีทิศทางในการพิพากษายืนตามศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯก่อนหน้านี้หรือไม่ ซึ่งในกรณีที่พิพากษายืนนั้นก็อาจหมายถึงการระงับการบังคับใช้มาตรการอัตราภาษีของปธน.ทรัมป์ก็จะเกิดคำถามตามมา ว่าข้อตกลงทางการค้าตลอดจนบรรดาคำสั่งและประกาศทั้งหลายของปธน.ทรัมป์ซึ่งอ้างความมั่นคงแห่งชาติทางเศรษฐกิจตามกรอบพรบ. IEEPA จะมีสถานะอย่างไรต่อไป นอกจากนี้หากศาลอุธรณ์ของรัฐบาลกลางสหรัฐฯพิพากษายืนจริงก็อาจส่งผลให้กรณีคำร้องคดีฟ้องร้องนี้ขึ้นไปสู่ศาลฎีกาของสหรัฐฯ (U.S. Supreme Court) เพื่อชี้ขาดต่อไป
ข้อคิดเห็น/ข้อเสนอแนะ: ในขณะนี้ความคืบหน้าล่าสุดของการไต่สวนในชั้นศาลอุธรณ์ของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ได้เริ่มมีการไต่สวนตัวแทนของรัฐบาลปธน.ทรัมป์แล้ว โดยมีนาย Brett Shumate ผู้ช่วยอัยการสูงสุด (Assistant Attorney General) เข้าให้การ ซึ่งจากการรายงานข่าวของสื่ออย่าง CNN ที่ได้บันทึกคำให้การบางส่วนมา ได้แสดงให้เห็นถึงความเคลือบแคลงสงสัย และความไม่ลงรอยจากคณะผู้พิพากษาที่มีต่อท่าทีของฝั่งรัฐบาล ปธน.ทรัมป์สักเท่าไหร่ โดยผู้พิพากษาบางส่วนชี้แจงว่า ในพรบ. IEEPA ไม่ได้ระบุถึงการใช้มาตรการกำแพงภาษีนำเข้าแต่ประการใด ทั้งยังตั้งคำถามถึงความหนักแน่นในการอ้างสภาวะฉุกเฉินทางเศรษฐกิจในการกำหนดอัตรากำแพงภาษีนำเข้า ตลอดจนตั้งคำถามถึงการอ้างสภาวะการขาดดุลทางการค้าของสหรัฐฯว่าเป็นภัยคุกคามอย่างร้ายแรงของชาติ ทั้งๆ ที่สหรัฐฯก็อยู่กับสภาวะขาดดุลมาเป็นทศวรรษแล้ว เหล่านี้บ่งชี้ให้เห็นทิศทางการให้น้ำหนักของคณะผู้พิพากษาได้ในระดับหนึ่ง
มีการคาดการณ์ว่ากระบวนการไต่สวนของชั้นศาลอุธรณ์กลางสหรัฐฯนี้ อาจใช้เวลาทอดยาวหลายสัปดาห์หรือหลายเดือนก็เป็นได้จนกว่าจะมีการพิพากษาในชั้นนี้ ซึ่งหมายความว่าอัตรากำแพงภาษีนำเข้า 19% สำหรับประเทศไทย ตลอดจนอัตราภาษีนำเข้าเฉพาะกลุ่มสินค้า (Sectoral tariff) ยังคงบังคับใช้เต็มอัตรา และต้องไม่ลืมว่าถึงแม้ว่าศาลจะมีคำอุธรณ์รัฐบาลกลางสหรัฐฯพิพากษายืน ก็อาจสร้างความเปลี่ยนแปลงต่อการบังคับใช้แต่เพียงอัตรากำแพงภาษีนำเข้าแบบต่างตอบแทนเท่านั้น เนื่องจากผิดหลักตามกรอบพรบ. IEEPA ไม่นับรวมถึงมาตรการอัตราภาษีนำเข้าเฉพาะกลุ่มสินค้าอื่น ๆ ซึ่งมีที่มาจากกรอบกฎหมายที่ต่างออกไป ซึ่งได้ประกาศออกมาแล้ว และรวมถึงที่รัฐบาลปธน.ทรัมป์เองก็อาจพิจารณาประกาศบังคับใช้กับกลุ่มสินค้าอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ในอนาคต
ดังนั้น ผู้ประกอบการและผู้ส่งออกสินค้ามายังสหรัฐฯ จะยังนิ่งนอนใจไม่ได้กับกฎระเบียบและมาตรการทางภาษีนำเข้าของรัฐบาลปธน.ทรัมป์ โดยจะต้องติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป
แหล่งสืบค้น/อ้างอิงข้อมูล:
1) “Trump Tariffs and the Court: Round 2” โดย Alan Wm. Wolff จาก Peterson Institute for International Economics
2) “Are Trump’s Tariffs Unlawful? A Major Court Case Could Reshape his Trade Strategy” โดย Elizabeth Buchwald จาก CNN
สคต. ไมอามี /วันที่ 1 สิงหาคม 2568