ท่าเรือจิตตะกอง ซึ่งเป็นท่าเรือหลักที่บริหารจัดการการนำเข้า-ส่งออกสินค้าถึง 93% ของบังกลาเทศ อยู่ระหว่างการพิจารณาการปรับขึ้นค่าธรรมเนียมการจัดการสินค้า อาจจะสูงถึง 70-100% ปรากฎในข่าวของหนังสือพิมพ์ออนไลน์ The Financial Express และ The Business Standard การปรับขึ้นนี้ ซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2529 ได้จุดประกายความกังวลในหมู่ผู้นำเข้า-ส่งออกเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจที่กำลังเผชิญกับความท้าทายอยู่แล้ว รายงานนี้จะวิเคราะห์ถึงเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังการปรับขึ้นค่าธรรมเนียม ความขัดแย้งที่เกิดขึ้น และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อการค้าในบังกลาเทศ
1. เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังการปรับขึ้นค่าธรรมเนียม
การพิจารณาปรับขึ้นค่าธรรมเนียมของท่าเรือจิตตะกอง เกิดจากความจำเป็นในการเพิ่มรายได้และปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของท่าเรือ ซึ่งจัดการการค้ากว่า 93% ของบังกลาเทศ รวมถึงสินค้าจำเป็นอย่างข้าวสาลี น้ำมันพืช และเครื่องจักรอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ท่าเรือให้เหตุผลว่าค่าธรรมเนียมที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ซึ่งกำหนดไว้ตั้งแต่ปี 2529 นั้นล้าสมัยและไม่สอดคล้องกับต้นทุนการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น โดยในปี 2567 ท่าเรือมีรายได้ 5,055 ล้านตากา (ประมาณ 430 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพิ่มขึ้น 21% จากปีก่อนหน้า และมีกำไรส่วนเกินเพิ่มขึ้น 37% เป็น 2,948 ล้านตากา (ประมาณ 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ยังคงยืนยันว่าต้นทุนการดำเนินงานที่สูงขึ้น จำเป็นต้องมีการปรับค่าธรรมเนียมเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในระดับภูมิภาค
นอกจากนี้ การบริหารจัดการท่าเรือโดยกองทัพเรือบังกลาเทศตั้งแต่วันที่ 7 กรกฎาคม 2568 ได้เพิ่มประสิทธิภาพการจัดการตู้คอนเทนเนอร์รายวันขึ้นประมาณ 13% การปรับปรุงนี้ รวมถึงการพิจารณานำผู้ประกอบการต่างชาติเข้ามาช่วยบริหารจัดการ เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการยกระดับท่าเรือให้ทันสมัยและสามารถแข่งขันกับท่าเรือในภูมิภาค เช่น ท่าเรือโคลัมโบ (ศรีลังกา) และท่าเรือสิงคโปร์ ซึ่งมีค่าธรรมเนียมสูงกว่าท่าเรือจิตตะกองอย่างมาก
2. ข้อเสนอและการต่อต้านจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
ข้อเสนอการปรับขึ้นค่าธรรมเนียมได้รับการหารือในที่ประชุมเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2568 ที่กระทรวงการขนส่งทางน้ำ โดยมีตัวแทนจาก 28 หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนเข้าร่วม อย่างไรก็ตาม การประชุมสิ้นสุดลงโดยไม่มีการตัดสินใจขั้นสุดท้าย เนื่องจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจำนวนมาก รวมถึงสมาคมตัวแทนขนส่งสินค้าของบังกลาเทศ คัดค้านข้อเสนอของการท่าเรือจิตตะกอง (CPA) โดยระบุว่าการขึ้นค่าธรรมเนียมถึง 70-100% นั้นไม่สมเหตุสมผลและอาจลดความสามารถในการแข่งขันของบังกลาเทศในภาคการค้าและโลจิสติกส์
ตัวอย่างเช่น การจัดการตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 20 ฟุต (TEU) ในปัจจุบันมีค่าใช้จ่ายประมาณ 15,000 ตากา (123 ดอลลาร์สหรัฐ) แต่ข้อเสนอใหม่ระบุว่าอาจเพิ่มขึ้นเป็น 25,000-30,000 ตากา ซึ่งสูงกว่าค่าใช้จ่ายที่ท่าเรือจิตตะกองในปัจจุบัน แต่ยังต่ำกว่าท่าเรือโคลัมโบ (100 ดอลลาร์สหรัฐ) และท่าเรือสิงคโปร์ (75 ดอลลาร์สหรัฐ) อย่างไรก็ตาม ผู้นำธุรกิจ เช่น นายนูรุล เคยูม ข่าน ประธานสมาคมคลังสินค้าภายในของบังกลาเทศ เสนอว่าการปรับขึ้นเพียง 15% จะเหมาะสมกว่า เพื่อลดผลกระทบต่อภาคธุรกิจที่กำลังเผชิญกับความท้าทายจากค่าเงินที่อ่อนลง ค่าขนส่งที่สูงขึ้น และความต้องการในตลาดที่ลดลง
3. ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและผู้บริโภค
การปรับขึ้นค่าธรรมเนียมท่าเรือจิตตะกอง อาจส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อเศรษฐกิจของบังกลาเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มสำเร็จรูป (RMG) ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนกว่า 80% ของการส่งออกของประเทศ การเพิ่มขึ้นของต้นทุนการนำเข้าวัตถุดิบและการส่งออกสินค้าสำเร็จรูป อาจทำให้ความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกของบังกลาเทศลดลง โดยเฉพาะเมื่อต้องเผชิญกับภาษีนำเข้าที่สูงถึง 35% จากสหรัฐฯ ซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2568 นายเบลายัต ฮอสเซน อดีตผู้อำนวยการสมาคมผู้ผลิตและผู้ส่งออกเครื่องนุ่งห่มแห่งบังกลาเทศ (BGMEA) เสนอว่าการปรับขึ้นค่าธรรมเนียมควรอยู่ในระดับ 10-20% เพื่อให้ธุรกิจสามารถรับมือได้
นักเศรษฐศาสตร์อย่างนายอนุ มูฮัมหมัด เตือนว่าการปรับขึ้นค่าธรรมเนียมอาจทำให้ราคาสินค้านำเข้าแพงขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผู้บริโภค โดยเฉพาะครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำและปานกลาง ซึ่งกำลังเผชิญกับอัตราเงินเฟ้อที่สูงถึง 9% มานานเกือบหนึ่งปี การขึ้นราคาสินค้าจำเป็น เช่น ข้าว (เพิ่มขึ้น 10 ตากาต่อกิโลกรัม) และน้ำมันพืช (เพิ่มขึ้น 20 ตากาต่อลิตร) จะยิ่งเพิ่มภาระให้กับประชาชนทั่วไป
4. ความพยายามในการปรับปรุงและการบริหารจัดการ
เพื่อลดความกังวลต่อผลกระทบของการปรับขึ้นค่าธรรมเนียม รัฐบาลชั่วคราวของบังกลาเทศกำลังพิจารณานำผู้ประกอบการต่างชาติ เช่น บริษัท DP World จากดูไบ เข้ามาช่วยบริหารจัดการท่าเรือ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนโลจิสติกส์ ซึ่งตามข้อมูลของธนาคารโลก คิดเป็น 4.5-4.8% ของผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของบังกลาเทศ ซึ่งสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาก การลดต้นทุนโลจิสติกส์ลงเพียง 1% อาจเพิ่มความต้องการส่งออกได้ถึง 7.4% ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้จากการส่งออกได้ถึง 19%
นอกจากนี้ การอนุญาตให้เรือขนาดใหญ่ที่มีความยาวถึง 200 เมตรและกินน้ำลึก 10 เมตร เข้ามาเทียบท่าได้ตั้งแต่ต้นปี 2565 เป็นอีกหนึ่งความพยายามในการลดความแออัดและต้นทุนการค้าต่างประเทศ การเปลี่ยนแปลงนี้ได้รับการสนับสนุนจากสมาคมตัวแทนขนส่งสินค้าของบังกลาเทศ ซึ่งระบุว่าการใช้เรือขนาดใหญ่จะช่วยลดต้นทุนการนำเข้าได้อย่างมาก
5. การตัดสินใจล่าสุดและความคืบหน้า
เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2568 ที่ปรึกษาด้านการขนส่งทางน้ำ (เทียบเท่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม) นายเอ็ม ซาคาวัต ฮอสเซน ประกาศว่าท่าเรือจิตตะกองจะปรับขึ้นค่าธรรมเนียมโดยเฉลี่ย 30% ซึ่งเป็นการลดลงจากข้อเสนอเดิมที่ 70-100% การปรับขึ้นนี้มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มขีดความสามารถ รายได้ และประสิทธิภาพของท่าเรือภายใต้การบริหารจัดการของกองทัพเรือ การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นหลังจากการเดินทางไปตรวจท่าเรือและได้รับการยืนยันจากสื่อออนไลน์หลายแห่ง เช่น The Daily Sun, UNB และ Dhaka Tribune อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจนี้ยังคงได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากผู้นำธุรกิจ ที่กังวลว่าการปรับขึ้นค่าธรรมเนียมจะเพิ่มต้นทุนการดำเนินงาน ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจของประเทศ กำลังเผชิญกับความท้าทายจากอัตราเงินเฟ้อและนโยบายการค้าสหรัฐฯ รัฐบาลก็ยังยืนยันว่าการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน และการบริหารจัดการโดยผู้เชี่ยวชาญจะช่วยลดผลกระทบในระยะยาว
สรุป
การปรับขึ้นค่าธรรมเนียมท่าเรือจิตตะกองโดยเฉลี่ย 30% ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบเกือบสี่ทศวรรษ สะท้อนถึงความพยายามของบังกลาเทศในการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานและประสิทธิภาพของท่าเรือเพื่อแข่งขันในระดับภูมิภาค อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจ เช่น อัตราเงินเฟ้อที่สูง ภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ และความเปราะบางของภาคการส่งออก โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม การปรับขึ้นค่าธรรมเนียมอาจช่วยเพิ่มรายได้และปรับปรุงการบริหารจัดการท่าเรือ แต่ก็เสี่ยงที่จะเพิ่มภาระให้กับผู้บริโภคและลดความสามารถในการแข่งขันของการส่งออก การบริหารจัดการอย่างรอบคอบ รวมถึงการนำผู้ประกอบการต่างชาติที่มีประสบการณ์เข้ามา และการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ จะเป็นปัจจัยสำคัญในการลดผลกระทบและรักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจของบังกลาเทศในระยะยาว
ที่มา:
The Financial Express, “Ctg port tariffs poised for steep rise,” 18 กุมภาพันธ์ 2568
The Business Standard, “Ctg port proposes 70%-100% tariff hike,” 16 มิถุนายน 2568
Bangladesh Pratidin, “Chattogram port to raise tariffs by 30% in first adjustment since 1986,” 25 กรกฎาคม 2568
The Financial Express, “Mixed signals from the economy,” 21 กรกฎาคม 2568
The Financial Express, “Taking port capacity to next level,” 15 พฤษภาคม 2568
The Financial Express, “Ctg port officially invites larger ships to dock,” 2568
Dhaka Tribune, “Foreign operators may be engaged in managing operations at Chittagong port,” 25 กรกฎาคม 2568
UNB, “Chattogram Port to increase tariff by 30 percent: Shipping Adviser,” 25 กรกฎาคม 2568
The Daily Sun, “Chattogram Port has decided to increase its tariff by an average of 30%,” 25 กรกฎาคม 2568