ข้อมูลจากแผนแม่บทการจ้างงานภาคการค้าส่งและค้าปลีก (Job Blueprint for Wholesale and Retail Trade) ซึ่งจัดทำโดยความร่วมมือระหว่างกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมฟิลิปปินส์ (Department of Trade and Industry: DTI) สมาคมผู้ค้าปลีกแห่งฟิลิปปินส์ (Philippine Retailers Association) และสมาคมการจัดการห่วงโซ่อุปทานแห่งฟิลิปปินส์ (Supply Chain Management Association of the Philippines) ระบุว่า ร้านขายของชำดั้งเดิมในชุมชนหรือร้าน Sari-sari ยังคงเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และคาดว่าจะสามารถสร้างมูลค่าในภาคธุรกิจการค้าปลีกได้สูงถึง 2.4 ล้านล้านเปโซภายในปี 2573
นาง Cristina Roque รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรม (DTI) กล่าวว่าในปี 2568 DTI ตั้งเป้าสำหรับการขยายตัวของยอดขายร้าน Sari-sari ร้อยละ 10 จากปีก่อนหน้า ซึ่งมีร้าน Sari-sari ทั่วประเทศประมาณ 1.3 ล้านแห่ง โดยแต่ละแห่งมีรายได้เฉลี่ยต่อปีอยู่ระหว่าง 861,000 – 1.12 ล้านเปโซ ซึ่งประเมินว่า สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจรวมกันอยู่ที่ประมาณ 1.12 ถึง 1.46 ล้านล้านเปโซต่อปี นอกจากนี้ ร้าน Sari-sari ยังมีบทบาทที่สำคัญในการจ้างงาน โดยคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 8.3 ของแรงงานนอกระบบทั้งหมด สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของร้าน Sari-sari ในระดับชุมชน ซึ่งแผนแม่บทฯ ระบุว่าร้านขายของชำดั้งเดิมในชุมชนไม่เพียงแต่เป็นแหล่งรายได้ของเจ้าของร้านเท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสในการจ้างงานสำหรับประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะในชุมชนที่ร้านค้าปลีกขนาดใหญ่เข้าไม่ถึง อย่างไรก็ตาม ร้าน Sari-sari ยังคงมีข้อจำกัดหลายประการ เช่น ขาดทักษะด้านการบริหารธุรกิจ และการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเติบโตและความยั่งยืน ซึ่งแผนแม่บทฯ ดังกล่าวได้เสนอแนวทางแก้ไข โดยเน้นการยกระดับประสิทธิภาพในการดำเนินงานและการขยายตลาดของร้าน Sari-sari ผ่านการใช้เครื่องมือดิจิทัล เช่น ระบบบริหารจัดการสต็อกและการเงิน รวมถึงการนำระบบจุดขาย (Point of Sale: POS) มาประยุกต์ใช้ นอกจากนี้ แผนแม่บทฯ ยังได้เสนอให้มีการจัดทำบริการทางการเงินที่เหมาะสมกับบริบทสำหรับเจ้าของร้าน Sari-sari เพื่อช่วยให้เข้าถึงแหล่งทุนได้สะดวกยิ่งขึ้น รวมถึงส่งเสริมการอบรมเพื่อพัฒนาทักษะด้านการบริหารธุรกิจ การเพิ่มความหลากหลายของสินค้านอกเหนือจากกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำหน่ายได้เร็ว (FMCG) ตลอดจนการส่งเสริมแนวทางการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การลดการใช้พลาสติก การรีไซเคิล และการจัดการของเสียภายในร้านอย่างเป็นระบบ ทั้งนี้ แผนแม่บทฯ มีเป้าหมายเพื่อวางกรอบยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมในการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน และเสริมสร้างความสามารถในการรับมือกับความผันผวนและปรับตัวต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงให้แก่ภาคการค้าส่งและค้าปลีก
ของประเทศในระยะยาว
ที่มา: หนังสือพิมพ์ The Philippine Star
บทวิเคราะห์และข้อคิดเห็น
-
- การใช้จ่ายภาคครัวเรือนของฟิลิปปินส์เป็นภาคส่วนสำคัญที่เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลักของประเทศ มีสัดส่วนประมาณ ร้อยละ 70 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) โดยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การขยายตัวของการบริโภคภาคครัวเรือนในฟิลิปปินส์เป็นปัจจัยหนุนสำคัญต่อการเติบโตอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องของภาคค้าปลีกในประเทศ ทั้งนี้ ประเทศฟิลิปปินส์มีช่องทางค้าปลีกค่อนข้างหลากหลายไม่ว่า
จะเป็นซุปเปอร์มาร์เก็ต ไฮเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ ร้านค้าเฉพาะ ตลาดนัด และร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิมในชุมชนหรือร้าน Sari-sari ซึ่งผู้บริโภคชาวฟิลิปปินส์จะใช้ช่องทางต่างๆ ด้วยวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน สำหรับร้าน Sari-sari ถือเป็นช่องทางค้าปลีกที่ได้รับความนิยมอย่างมากในฟิลิปปินส์ โดยเฉพาะสำหรับกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป เนื่องจากพื้นที่หลายแห่งในประเทศยังมีการพัฒนาไม่มากนัก ทำให้ร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิมในชุมชนยังคงเป็นช่องทางสำคัญ นอกจากนี้ การเปิดร้าน Sari-sari ยังเป็นช่องทางในการสร้างรายได้ที่สำคัญในกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลาง-ต่ำ และการจัดตั้งร้านค้าดังกล่าวทำได้ค่อนข้างง่าย และใช้เงินลงทุนไม่สูงโดยส่วนใหญ่จะใช้บ้านหรือที่พักอาศัยจัดตั้งเป็นร้านค้า โดยยังมีกลุ่มผู้บริโภคผู้ที่มีรายได้น้อยที่มีรายได้แบบรายวันนิยมซื้อสินค้าจากร้าน Sari-sari เนื่องจากราคาที่ถูกกว่าและประหยัดค่าเดินทางไปยังซุปเปอร์มาร์เก็ต นอกจากนี้ ร้านค้าดังกล่าวยังอนุญาตให้ลูกค้าประจำสามารถผ่อนชำระค่าสินค้าได้ ด้วยปัจจัยสนับสนุนต่างๆ ดังกล่าวทำให้ร้าน Sari-sari ยังคงเป็นช่องทางจัดจำหน่ายที่ใหญ่ที่สุดในฟิลิปปินส์ โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป ทั้งนี้ สินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไปของไทยถือว่ามีความได้เปรียบเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคอาเซียน เนื่องจากผู้บริโภคชาวฟิลิปปินส์รู้จักและเชื่อมั่นในสินค้าไทยเป็นอย่างดี รวมทั้งให้การยอมรับอยู่ในอันดับต้นๆ นอกจากนี้ ประเทศไทยยังสามารถผลิตสินค้าได้หลากหลาย ดังนั้น จึงเป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบการไทยในการขยายการส่งออกมายังตลาดฟิลิปปินส์ ทั้งนี้ ผู้ประกอบการไทยควรพิจารณาใช้ประโยชน์ของช่องทางค้าปลีกของฟิลิปปินส์ในการช่วยกระจายสินค้า โดยเฉพาะร้านค้าปลีกดั้งเดิมในชุมชนหรือร้าน Sari-sari ที่สามารถเข้าถึงผู้บริโภคชาวฟิลิปปินส์ได้อย่างครอบคลุมและเป็นวงกว้าง
- การใช้จ่ายภาคครัวเรือนของฟิลิปปินส์เป็นภาคส่วนสำคัญที่เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลักของประเทศ มีสัดส่วนประมาณ ร้อยละ 70 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) โดยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การขยายตัวของการบริโภคภาคครัวเรือนในฟิลิปปินส์เป็นปัจจัยหนุนสำคัญต่อการเติบโตอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องของภาคค้าปลีกในประเทศ ทั้งนี้ ประเทศฟิลิปปินส์มีช่องทางค้าปลีกค่อนข้างหลากหลายไม่ว่า
———————————–
Office of Commercial Affairs, Royal Thai Embassy (Thai Trade Center) - Manila
มิถุนายน 2568