เนื้อข่าว
มะม่วงเวียดนามสามารถบุกตลาดจีนได้อย่างโดดเด่นในไตรมาสแรกของปี 2568 ครองส่วนแบ่งตลาดนำเข้าถึงร้อยละ 97 แซงหน้าประเทศผู้ส่งออกรายใหญ่อย่างไทย เปรู และออสเตรเลียได้อย่างเหนือความคาดหมาย ความสำเร็จครั้งนี้เกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นราคาที่แข่งขันได้ คุณภาพของผลผลิตที่คงที่ และความสามารถในการจัดส่งที่รวดเร็วและตรงเวลา
จากข้อมูลของศุลกากรจีน ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2568 จีนได้นำเข้ามะม่วงจาก 6 ประเทศ รวมมูลค่าสูงถึง 29 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นถึง 21 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 แม้การนำเข้าจากประเทศคู่ค้ารายเดิมอย่างไทยและเปรูจะลดลงอย่างมาก แต่มะม่วงจากเวียดนามกลับโดดเด่นขึ้นมาเป็นพิเศษ โดยสามารถส่งออกได้เกือบ 40,700 ตัน ทำรายได้กว่า 28 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นถึง 145 เท่าเมื่อเทียบกับปี 2567 ที่สำคัญราคาส่งออกเฉลี่ยยังขยับขึ้นถึงร้อยละ 72.6 ซึ่งสะท้อนถึงความนิยมและการยอมรับอย่างสูงจากผู้บริโภคชาวจีน
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เวียดนามครองตลาดมะม่วงในจีนได้อย่างมั่นคง คือการตั้งราคาส่งออกที่เหมาะสม โดยมะม่วงเวียดนามมีราคาส่งออกเฉลี่ยประมาณ 700 เหรียญสหรัฐต่อตัน ซึ่งใกล้เคียงกับราคาของกัมพูชา แต่ต่ำกว่าของไทย เปรู และออสเตรเลียที่มีราคาตั้งแต่ 6,000 ถึง 11,000 เหรียญสหรัฐต่อตันอย่างชัดเจน นอกจากนี้ เวียดนามยังได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ที่ใกล้กับจีน ทำให้ต้นทุนการขนส่งต่ำ การจัดส่งรวดเร็ว และช่วยรักษาคุณภาพของผลไม้ให้สดใหม่จนถึงมือลูกค้าได้ดีขึ้น
อีกหนึ่งจุดแข็งที่สำคัญของเวียดนาม คือ การส่งออกมะม่วงในช่วงนอกฤดูของจีน ระหว่างเดือนกันยายนถึงมีนาคม ซึ่งเป็นช่วงที่ผลผลิตมะม่วงในจีนมีน้อยและความต้องการสูง ทำให้มะม่วงเวียดนามสามารถเข้าไปแข่งขันในตลาดได้อย่างมีกำไร โดยในช่วงที่ความต้องการสูงสุด มะม่วงเกรดพรีเมียมของเวียดนามมีราคาสูงถึง 100,000 เวียดนามด่งต่อกิโลกรัมเลยทีเดียว
นอกจากราคาที่เหมาะสมและช่วงเวลาส่งออกที่ได้เปรียบแล้ว มะม่วงเวียดนามยังได้รับความนิยมจากผู้บริโภคชาวจีนด้วยรสชาติที่กลมกล่อม หวานละมุน กลิ่นหอมธรรมชาติ และคุณภาพที่สม่ำเสมอ โดยเฉพาะพันธุ์ยอดนิยมอย่าง “Cát Hòa lộc” และ “Cát Chu” ที่ไม่เพียงเหมาะสำหรับการบริโภคสด แต่ยังเหมาะกับการแปรรูปในอุตสาหกรรมอีกด้วย
ปัจจุบัน พื้นที่ปลูกมะม่วงในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน VietGAP และ GlobalGAP มีมากถึง 2,000 เฮกตาร์ ซึ่งถือเป็นเกณฑ์สำคัญในการเข้าถึงตลาดระดับพรีเมียม เช่น จีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา
อย่างไรก็ตาม โอกาสเหล่านี้ก็มีความเสี่ยงแฝง เมื่อถึงเดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป จีนจะเริ่มเก็บเกี่ยวผลผลิตมะม่วงในประเทศ ทำให้ความต้องการนำเข้าลดลงอย่างรวดเร็ว ราคามะม่วงในเวียดนามจึงตกต่ำอย่างมาก บางช่วงเหลือเพียงไม่กี่พันเวียดนามด่งต่อกิโลกรัม สร้างความเสียหายให้กับเกษตรกรและผู้ส่งออกอย่างหนัก สถานการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางจากการพึ่งพาตลาดเดียวมากเกินไป
เพื่อให้การเติบโตของอุตสาหกรรมมะม่วงเป็นไปอย่างยั่งยืน เวียดนามจึงควรขยายตลาดส่งออกไปยังประเทศอื่นที่มีศักยภาพสูง พร้อมทั้งลงทุนในเทคโนโลยีการแปรรูปและการเก็บรักษาหลังเก็บเกี่ยว รวมถึงขยายพื้นที่เพาะปลูกที่ได้รับการรับรองมาตรฐานสากล เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของสินค้าเกษตรเวียดนามในตลาดโลกอย่างยั่งยืนต่อไป
(แหล่งที่มา https://vietnamnews.vn/ ฉบับวันที่ 24 พฤษภาคม 2568)
วิเคราะห์ผลกระทบ
สมาคมผลไม้และผักเวียดนามรายงานว่า ในไตรมาสแรกของปี 2568 เวียดนามส่งออกมะม่วงสดได้มูลค่า 88.5 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 16 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 ขณะที่ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมะม่วงในช่วงเวลาเดียวกัน มีมูลค่าการส่งออก 30 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.2 การเติบโตนี้สะท้อนถึงความต้องการที่เพิ่มขึ้นทั้งในตลาดสดและตลาดแปรรูป ส่งผลให้มะม่วงกลายเป็นสินค้าส่งออกอันดับ 4 ของเวียดนาม รองจากแก้วมังกร ทุเรียน และกล้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มะม่วงเวียดนามส่งออกไปยังจีนได้เกือบ 40,700 ตัน สร้างรายได้กว่า 28 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทั้งในปริมาณและมูลค่า
ข้อมูลจากสำนักงานศุลกากรจีนเปิดเผยว่า ในไตรมาสแรกของปี 2568 จีนได้นำเข้ามะม่วงจาก 6 ประเทศ มูลค่ารวม 29 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นถึง 21 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 ซึ่งนับเป็นการขยายตัวที่โดดเด่นในตลาดนำเข้ามะม่วงของจีน ในบรรดา 6 ประเทศดังกล่าว เวียดนามเป็นประเทศเดียวที่มีการเติบโตอย่างชัดเจน ส่งผลให้มะม่วงเวียดนามครองส่วนแบ่งตลาดนำเข้ามะม่วงของจีนสูงถึงร้อยละ 97 ประเทศอื่นที่ส่งออกมะม่วงไปจีน ได้แก่ กัมพูชา เปรู ออสเตรเลีย ไทย และฟิลิปปินส์ โดยในอดีต ไทยเคยเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ที่สุด แต่ปัจจุบันมูลค่าการส่งออกลดลงถึงร้อยละ 70 เหลือเพียง 65,000 เหรียญสหรัฐ ส่งผลให้ไทยหล่นมาอยู่ในอันดับ 5 ของตลาดจีน
ความต้องการบริโภคมะม่วงในจีนเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดปีที่ผ่านมา สาเหตุหลักมาจากกระแสความนิยมบริโภคผลไม้เมืองร้อนที่กำลังเติบโต รวมทั้งอุปทานภายในประเทศจีนที่ไม่เพียงพอตลอดปี ส่งผลให้มะม่วงนำเข้ากลายเป็นทางเลือกสำคัญสำหรับตลาดจีน โดยเฉพาะมะม่วงจากเวียดนามซึ่งตอบโจทย์ทั้งด้านราคาและคุณภาพ
การแข่งขันในตลาดสินค้าเกษตรยุคใหม่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับปริมาณการผลิตหรือชื่อเสียงในอดีตเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ การรักษามาตรฐานคุณภาพสินค้าอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการใช้กลยุทธ์ทางการตลาดที่ยืดหยุ่นและหลากหลาย เวียดนามสามารถสร้างฐานลูกค้าที่มั่นคงในตลาดสำคัญ เช่น จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ซึ่งส่งผลให้ผู้ส่งออกในภูมิภาคต้องเผชิญกับความท้าทายในการเจรจาต่อรองทางการค้าและการตั้งราคาสินค้าในอนาคต อีกทั้งการที่เวียดนามมีพื้นที่เพาะปลูกมะม่วงที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน VietGAP และ GlobalGAP กว่า 2,000 เฮกตาร์ ยังช่วยเสริมความน่าเชื่อถือและเปิดโอกาสสู่ตลาดสินค้าพรีเมียมได้อย่างกว้างขวางมากขึ้น
นำเสนอโอกาส/แนวทาง
ความสำเร็จของเวียดนามในตลาดมะม่วงจีนมาจากการใช้ข้อได้เปรียบหลัก คือ การเก็บเกี่ยวมะม่วงในช่วงนอกฤดูของจีน (กันยายน-มีนาคม) ซึ่งช่วยให้เวียดนามสามารถส่งออกผลไม้เข้าสู่ตลาดในช่วงที่จีนขาดแคลนผลผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมกับการตั้งราคาที่แข่งขันได้และการรักษาคุณภาพสูงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มะม่วงเวียดนามเป็นที่ต้องการอย่างมากในตลาดจีน
สำหรับผู้ประกอบการไทย แนวทางสำคัญคือการพัฒนากลยุทธ์การผลิตแบบแยกฤดูหรือการปรับเปลี่ยนช่วงเวลาการเพาะปลูกในบางพื้นที่ เพื่อหลีกเลี่ยงช่วงชนกับผลผลิตในประเทศจีน รวมถึงการลงทุนในเทคโนโลยีเรือนกระจกหรือโรงเรือนควบคุมสภาพอากาศ เพื่อยืดระยะเวลาการผลิตและยกระดับคุณภาพผลผลิต ต้นทุนการผลิตที่สูงกว่าของไทยทำให้การเน้นเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ เช่น มะม่วงอบแห้ง แช่แข็ง หรือน้ำมะม่วง รวมถึงการสร้างแบรนด์มะม่วงพรีเมียมที่โดดเด่นเรื่องรสชาติและมาตรฐานความปลอดภัย เป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่าแข่งขันด้านราคาโดยตรง
นอกจากนี้ การขยายตลาดส่งออกไปยังประเทศที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพและมาตรฐาน เช่น เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ตะวันออกกลาง และยุโรป ถือเป็นโอกาสที่ดีในการเพิ่มช่องทางการตลาดและสร้างฐานลูกค้าใหม่อย่างมั่นคง การเข้าร่วมงานแสดงสินค้าเกษตรและกิจกรรมจับคู่ธุรกิจที่จัดโดยหน่วยงานต่าง ๆ จะช่วยเปิดประตูสู่เครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง พร้อมขยายโอกาสทางการค้าในระยะยาว ด้วยการบูรณาการกลยุทธ์เหล่านี้ ผู้ประกอบการไทยจะสามารถเพิ่มศักยภาพและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในตลาดผลไม้นานาชาติอย่างยั่งยืนและมั่นคงในอนาคต