แนวโน้มการขยายตัวของตลาดเสื้อผ้ามือสองในสหรัฐฯ

ตลาดเสื้อผ้ามือสองทั่วโลกกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยคาดว่าในปี 2025 จะมีมูลค่าประมาณ 256,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวเพิ่มขึ้น 12.78% จากปีที่ผ่านมา และคาดว่าในปี 2029 น่าจะมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นถึง 367,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยอัตราการขยายตัวเฉลี่ยในช่วงระหว่างปี 2024-2029 อยู่ที่ประมาณ 10% ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่สูงกว่าอุตสาหกรรมเสื้อผ้าใหม่ถึง 2.7 เท่า แนวโน้มนี้สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมาให้ความสนใจกับสินค้ามือสองมากขึ้น ไม่เพียงเพราะความคุ้มค่าด้านราคาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความตระหนักต่อปัญหาสิ่งแวดล้อมและความต้องการในแฟชั่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ ปัจจัยเหล่านี้ล้วนช่วยผลักดันให้ตลาดเสื้อผ้ามือสองเติบโตอย่างรวดเร็วและก้าวขึ้นมาเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของอุตสาหกรรมแฟชั่นในระดับโลกอย่างชัดเจน

สำหรับภาพรวมของตลาดเสื้อผ้ามือสองในสหรัฐอเมริกาในปี 2025 นั้น คาดว่าน่าจะมีมูลค่าประมาณ 56,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 14.29% จากปีที่ผ่านมา และคาดว่าในปี 2029 มูลค่าตลาดน่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 74,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือมีอัตราการเติบโตในช่วงระหว่างปี 2024–2029 เฉลี่ยราว 9% ต่อปี โดยอาศัยปัจจัยหนุนจากการเติบโตของกลุ่มผู้บริโภคกลุ่มใหม่ โดยเฉพาะคนรุ่นอายุ 18–44 ปี ที่หันมาให้ความสนใจกับเสื้อผ้ามือสองมากขึ้น ทั้งนี้ผู้บริโภคกลุ่มใหม่นี้มีพฤติกรรมการซื้อที่แตกต่างอย่างชัดเจนจากผู้บริโภครุ่นก่อน โดยให้ความสำคัญกับความคุ้มค่า ความยั่งยืนและสไตล์ที่สะท้อนตัวตน นอกจากนี้ พฤติกรรมการบริโภคกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด โดยผู้บริโภคเริ่มลดการซื้อสินค้าแฟชั่นด่วน (fast fashion) ซึ่งเป็นสินค้าที่ผลิตจำนวนมากในระยะเวลาอันสั้นมีคุณภาพไม่คงทนและส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้เสื้อผ้ามือสองได้กลายเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์ทั้งในด้านความประหยัดและความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าตลาดเสื้อผ้ามือสองไม่ใช่เพียงกระแสนิยมชั่วคราว แต่คือภาพสะท้อนของแนวโน้มผู้บริโภคยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและการบริโภคอย่างมีจิตสำนึก ด้วยเหตุนี้ ภาคธุรกิจแฟชั่นและค้าปลีกจึงควรจับตาทิศทางการเปลี่ยนแปลงนี้อย่างใกล้ชิด พร้อมเร่งปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภครุ่นใหม่ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งและความยั่งยืนให้กับธุรกิจในโลกการค้าแห่งอนาคตที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

ข้อมูลทางการตลาดของ GlobalData จากการสอบถามผู้บริโภคชาวอเมริกันอายุ 18 ปีขึ้นไป จำนวน 3,034 คน ในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2025 พบว่า

  • กลุ่มตัวอย่างผู้บริโภคชาวอเมริกัน 16–18% นิยมซื้อของจากร้านขายของมือสอง (Thrift Store) เป็นประจำทุกปี และอีก 12–15% นิยมซื้อสินค้าจากร้านรีเซลหรือร้านฝากขาย
  • กลุ่มตัวอย่างผู้บริโภคชาวอเมริกันมากกว่า 93% นิยมซื้อสินค้ามือสองผ่านทางออนไลน์ และ 39% เคยซื้อเสื้อผ้ามือสองผ่านโซเชียลมีเดียในปีที่ผ่านมา
  • 1 ใน 3 ของเสื้อผ้าและของใช้ที่ชาวอเมริกันซื้อในช่วงปีที่ผ่านมาเป็นของมือสอง
  • 48% ของคนรุ่นใหม่มองหาเสื้อผ้ามือสองเป็นอันดับแรกเมื่อจะซื้อเสื้อผ้าใหม่
  • ผู้บริโภค 62% กังวลว่านโยบายภาษีและการค้าจะทำให้เสื้อผ้าแพงขึ้น ดังนั้นตลาดมือสองจึงกลายเป็นทางเลือกภายในประเทศที่ช่วยลดผลกระทบจากภาษีนำเข้า
  • ผู้บริโภค 49% และคนรุ่นใหม่ 64% ลดการซื้อเสื้อผ้าราคาถูกคุณภาพต่ำ เพราะไม่สามารถนำกลับมาขายต่อได้

จากข้อมูลของสมาคมผู้ประกอบการขายสินค้ามือสองหรือ The National Association of Resale Professionals (NARTS) ตลาดขายของมือสองสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่มหลัก ๆ ดังนี้

  • ร้านรีเซล (Resale) เป็นร้านที่รับซื้อสินค้ามือสองที่ยังอยู่ในสภาพดีจากเจ้าของโดยตรงแล้วนำมาขายต่อ ซึ่งร้านเหล่านี้จะจ่ายเงินให้เจ้าของสินค้าทันทีเมื่อรับซื้อมา
  • ร้านการกุศล (Not For Profit) เป็นร้านขายของมือสองที่ดำเนินงานในรูปแบบองค์กรไม่แสวงหากำไร โดยรายได้จะนำไปใช้เพื่อสนับสนุนกิจกรรมหรือองค์กรการกุศลต่าง ๆ ร้านประเภทนี้เป็นที่รู้จักกันทั่วไปว่า Thrift Store
  • ร้านฝากขาย (Consignment) เป็นร้านที่รับสินค้ามือสองมาวางขายโดยที่เจ้าของยังคงเป็นเจ้าของสินค้าอยู่จนกว่าจะมีคนซื้อ ร้านจะจ่ายชำระเงินให้เจ้าของตามเปอร์เซ็นต์ที่ตกลงกันไว้ต่อเมื่อสินค้านั้นขายได้เท่านั้น

ในปี 2024 การจำหน่ายเสื้อผ้ามือสองทางออนไลน์ในสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วน 88% ของยอดใช้จ่ายในตลาดเสื้อผ้ามือสองทั้งหมด และมีการเติบโตที่รวดเร็วกว่าตลาดเสื้อผ้าใหม่ทั่วไปถึง 8 เท่า ทั้งนี้ ในปี 2025 คาดว่ายอดจำหน่ายเสื้อผ้ามือสองทางออนไลน์ในสหรัฐฯ น่าจะมีมูลค่าประมาณ 26,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 18.18% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีแนวโน้มที่จะขยายตัวถึง 40,000 ล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2029 โดยอัตราการขยายตัวเฉลี่ยในช่วงระหว่างปี 2024-2029 อยู่ที่ประมาณ 13% ต่อปี

การวิเคราะห์เทรนด์ตลาดเสื้อผ้ามือสองทางออนไลน์โดย ThredUp อ้างอิงจากข้อมูลวิจัยของ GlobalData ซึ่งสำรวจผู้ค้าปลีกแฟชั่นในสหรัฐฯ 50 แบรนด์ (ครอบคลุมเสื้อผ้า เครื่องประดับ และรองเท้า) ในช่วงเดือนมกราคม–กุมภาพันธ์ 2025 พบว่าช่องทางออนไลน์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในกลุ่มผู้บริโภคในสหรัฐฯ ได้แก่ แพลตฟอร์มออนไลน์ที่เชื่อมโยงผู้ขายและผู้ซื้อเข้าหากันโดยตรง (Peer to Peer Marketplace) 31% แพลตฟอร์มออนไลน์ที่มีการบริการจัดการให้กับผู้ขายและผู้ซื้อ (Managed Marketplace) 27% โซเชียลมีเดีย (Social Media) 18% จากแบรนด์โดยตรง (Direct from Brand) 11% การขายสินค้าออนไลน์ที่ใช้การสตรีมวิดีโอสด (Livestream shopping) 8% และอื่นๆ 5%

โซเชียลคอมเมิร์ซกำลังเข้ามามีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการช้อปปิ้งทั้งในตลาดค้าปลีกและตลาดรีเซลของสหรัฐฯ โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่นิยมซื้อเสื้อผ้ามือสองผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียมากขึ้น

ข้อมูลระบุว่า 39% ของผู้บริโภครุ่นใหม่เคยซื้อเสื้อผ้ามือสองผ่านช่องทางโซเชียลคอมเมิร์ซในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา และ 50% ซื้อเสื้อผ้ามือสองเพื่อใช้สร้างคอนเทนต์หรือโพสต์ลงโซเชียลมีเดีย สิ่งที่น่าสนใจคือ ในกลุ่มผู้ที่ซื้อเสื้อผ้ามือสองผ่านโซเชียลมีเดียในปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่นิยมใช้ TikTok และ TikTok Shop เป็นช่องทางหลักในการซื้อสินค้า

จากข้อมูลของ ThredUp พบว่า ความนิยมในการซื้อขายเสื้อผ้ามือสองในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2024 ผู้บริหารร้านค้าปลีกถึง 94% ระบุว่าลูกค้ามีส่วนร่วมในตลาดรีเซลแล้ว และความต้องการของผู้บริโภคมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 0.4% ขณะเดียวกัน 86% ของผู้ค้าปลีกเห็นว่าความต้องการสินค้ามือสองในตลาดมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นหรืออย่างน้อยก็ทรงตัวในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา สำหรับร้านค้าที่ยังไม่เข้าร่วมตลาดรีเซล มีถึง 76% ที่กำลังพิจารณาหรือวางแผนจะเข้าร่วมในอนาคต ขณะที่ในกลุ่มผู้บริโภคที่ซื้อเสื้อผ้ามือสองในปี 2024 มีถึง 32% ที่ซื้อโดยตรงจากแบรนด์ โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 47%

แม้ความต้องการในตลาดรีเซลจะเพิ่มสูงขึ้น แต่หลายแบรนด์ยังไม่กล้าก้าวเข้าสู่ตลาดนี้ เนื่องจากความซับซ้อนและจำนวนผู้ให้บริการที่หลากหลาย โดยมีถึง 86% ของผู้บริหารที่ยังไม่เข้าร่วมตลาดรีเซลยอมรับว่า พวกเขาไม่รู้ว่าจะเริ่มทำรีเซลให้เหมาะกับแบรนด์ของตัวเองได้อย่างไร และ 66% ไม่มั่นใจว่าจะสามารถผสานโปรแกรมรีเซลเข้ากับระบบของบริษัทได้หรือไม่

ขณะเดียวกัน 82% ของผู้บริหารระบุว่าต้องการให้บริษัทภายนอกเข้ามาช่วยดูแลโปรแกรมรีเซลให้ ส่วนอีก 45% ยังไม่สนใจการขายแบบรีเซล เพราะมีแบรนด์ในตลาดจำหน่ายสินค้ารีเซลมากเกินไปจนเลือกไม่ถูก และ 52% มองว่าตลาดรีเซลที่ยังไม่มีความเป็นระบบ เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเริ่มต้นดำเนินธุรกิจในช่องทางนี้

ThredUp ได้มีการรวบรวมข้อมูลจากแบรนด์มากกว่า 60,000 แบรนด์ในตลาดสหรัฐฯ เพื่อจัดอันดับ “แบรนด์ที่รีเซลได้ดีที่สุด” โดยใช้คะแนนรวมจากอัตราการขายและปริมาณสินค้าที่ขายได้ระหว่างวันที่ 1 มกราคม-31 ธันวาคม 2024 และจัดอันดับ “ดาวรุ่งของตลาดรีเซล” โดยพิจารณาจากการเติบโตของอัตราการขายและจำนวนสินค้าที่ถูกนำมาลงขาย เปรียบเทียบระหว่างปี 2024 กับปี 2023 สามารถสรุปได้ ดังนี้

แนวโน้มการขยายตัวของตลาดเสื้อผ้ามือสองในสหรัฐฯ

นอกจากนี้แล้ว การซื้อขายสินค้าแบรนด์เนมมือสองก็กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน ทั้งจากฝั่งผู้ซื้อและผู้ขายทำให้ร้านค้าปลีกหลายแบรนด์เริ่มหันมาสนใจตลาดนี้มากขึ้น เพราะมองเห็นโอกาสในการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ ที่ให้ความสนใจในเรื่องความคุ้มค่าและความยั่งยืน อย่างไรก็ตามแม้แนวโน้มจะเป็นบวกแต่ตลาดรีเซลยังมีอุปสรรค โดยเฉพาะความ “กระจัดกระจาย” ของตลาด เพราะมีผู้จำหน่ายจำนวนมาก ทั้งเว็บไซต์ออนไลน์ ร้านมือสองเฉพาะทางและผู้ขายรายย่อยทำให้มีการแข่งขันสูงและควบคุมคุณภาพสินค้าได้ยาก
ข้อเสนอแนะจากสคต. นิวยอร์ก
ตลาดเสื้อผ้ามือสองกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วทั่วโลก โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ซึ่งได้รับแรงหนุนจากกระแสรักษ์โลก พฤติกรรมผู้บริโภครุ่นใหม่ ทั้งนี้ การจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ โดยเฉพาะโซเชียลมีเดียจะช่วยทำให้สินค้าไทยมีโอกาสขยายตลาดได้มากขึ้น หากสามารถปรับตัวให้ตรงกับความต้องการ ดังนี้
 ตลาดเติบโตเร็ว โดยเฉพาะช่องทางออนไลน์ (13% ต่อปี)
 ผู้บริโภคสนใจสินค้าที่ “ขายต่อได้” (resale-friendly)
 ความนิยมแฟชั่นแนววินเทจ ยั่งยืน และมีเอกลักษณ์
 โซเชียลคอมเมิร์ซอย่าง TikTok, Instagram มีบทบาทสูง
 การออกแบบสินค้าเพื่อรีเซล โดยเน้นดีไซน์ที่มีเอกลักษณ์และคุณภาพทนทาน เช่น ใช้ผ้าไทยลายวินเทจร่วมสมัยหรือการออกแบบที่เน้นความแตกต่างทางด้านวัฒนธรรมเพื่อดึงดูดผู้ซื้อ
 สร้างแบรนด์ผ่านโซเชียลมีเดีย โดยทำคอนเทนต์แนว eco-fashion เพื่อเข้าถึงกลุ่ม Gen Z และ Millennials น่าจะช่วยทำให้สินค้าและแบรนด์เป็นที่รู้จักมากขึ้น
 พัฒนาคอลเลกชันที่มีมูลค่าขายต่อ เช่น การออกสินค้าคอลเลกชั่นพิเศษ limited edition
 ความร่วมมือกับร้านรีเซลหรือ Influencer สายยั่งยืนจะช่วยเพิ่มการเจาะกลุ่มเป้าหมายและเข้าถึงตลาดในมุมกว้าง
 ใช้บรรจุภัณฑ์รักษ์โลกเพื่อเสริมภาพลักษณ์แบรนด์ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม

ข้อมูลอ้างอิง: https://capitaloneshopping.com/research/thrifting-statistics/, https://www.thredup.com/resale, https://www.fashiondive.com/

zh_CNChinese