สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ก้าวสู่ยุคใหม่ของอุตสาหกรรมการผลิต ด้วยกลยุทธ์เน้นอนาคตและการลงทุนมหาศาล จากประเทศที่เคยอาศัยการส่งออกน้ำมันสำคัฐแห่งหนึ่งในภูมิภาค กลับมุ่งเน้นการสร้างฐานอุตสาหกรรมที่ทันสมัยและยั่งยืน พร้อมสนับสนุน SME และดึงดูดการลงทุนระดับโลกโดยการเน้นไปที่ ‘อุตสาหกรรมที่มีการเติบโตสูง’ หรือ ‘Sunrise Industries’ ซึ่งเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะเติบโต และพร้อมที่จะเป็นศูนย์กลางของการผลิตระดับโลกในอนาคต
งานประชุม ‘Make it in the Emirates’ ส่องกลยุทธ์อุตสาหกรรมแห่งอนาคต
ในระหว่างวันที่ 19-22 พฤษภาคม 2568 กรุงอาบูดาบีเป็นเจ้าภาพจัดงานประชุมอุตสาหกรรมที่สำคัญที่สุดแห่งปี ‘Make it in the Emirates’ ซึ่งจัดโดยกระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูงของยูเออี งานนี้จัดเป็นครั้งที่ 4 โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนภาคการผลิตในประเทศ รวมถึงเป็นเวทีเชื่อมโยงนักลงทุนและบริษัทชั้นนำ ทั่วโลกเข้าสู่ตลาดยูเออี โดยมีพื้นที่จัดงานกว่า 68,000 ตารางเมตร ณ ศูนย์แสดงสินค้า ADNEC มีผู้เข้าร่วมแสดงสินค้ากว่า 700 ราย และเน้นเทคโนโลยี AI, Industry 5.0 และนวัตกรรมอุตสาหกรรมยุคใหม่
เน้นสร้างรากฐานอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่งปลอดจากอุตสาหกรรมเสื่อมสภาพ
นาย Simon Penney ตำแหน่ง CEO บริษัทที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์ “Incrementum” กล่าวว่า ยูเออีซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลกอาหรับ ทำให้เกิดการลงทุนและมีการจัดตั้งบริษัทดำเนินธุรกิจขึ้น สิ่งที่ดีเกี่ยวกับ ยูเออีเมื่อพูดถึงการผลิต คือไม่ประสบปัญหาจากอุตสาหกรรมการผลิตที่ตกต่ำหรืออุตสาหกรรมเก่าแก่หรือเสื่อมถอยให้เป็นกังวล และจากการประเทศมีเศรษฐกิจที่พึ่งพาน้ำมันน้อยที่สุดในกลุ่มอาหรับ จึงพร้อมที่จะเจาะเข้าสู่กลุ่มอุตสาหกรรมอนาคต เช่น เทคโนโลยีชีวภาพ หุ่นยนต์ และพลังงานสะอาด นอกจากนี้ยูเออี อยู่ในตำแหน่งที่ดีมาก ที่จะเน้นอุตสาหกรรมที่กำลังจะรุ่งซึ่งจะเป็นศูนย์กลางการผลิตระดับโลกในอนาคต
กลยุทธ์ ‘Operation 300bn’ และนโยบายสนับสนุนอุตสาหกรรม
ในปี 2564 รัฐบาลยูเออีได้ประกาศกลยุทธ์ ‘Operation 300bn’ เพื่อสร้างอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่งและมั่นคง ภายใต้แผนนี้ รัฐบาลเน้นพัฒนาอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ อุตสาหกรรมไฟฟ้า การก่อสร้าง เครื่องจักร อาหาร ยา พลาสติก ไฟเบอร์กลาส รวมถึงไม้และกระดาษ เพื่อสร้างฐานอุตสาหกรรมที่สามารถแข่งขันได้ในระดับนานาชาติ
นอกจากนี้ ยูเออียังได้ลงนามข้อตกลงความร่วมมือทางเศรษฐกิจ (Comprehensive Economic Partnership Agreements : CEPA) กับ 9 ประเทศ ได้แก่ อินเดีย อิสราเอล ทูรเคีย อินโดนีเซีย กัมพูชา จอร์เจีย คอสตาริก้า เมอริเชียส และจอร์แดน เพื่อส่งเสริมการค้าและการลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านโลจิสติกส์ ซึ่งช่วยให้ประเทศกลายเป็นสะพานเชื่อมโยงระหว่างตะวันออกและตะวันตก
ยูเออีเร่งเครื่องโครงการ ICV สร้างมูลค่าในประเทศ ตั้งเป้าปี 2574
ยูเออีกำลังเดินหน้าโครงการ In-Country Value (ICV) อย่างเต็มสูบ โดยมีเป้าหมายชัดเจนที่จะเพิ่มสัดส่วนการใช้จ่ายภาครัฐในสินค้าและบริการท้องถิ่นเป็น 50% ภายในปี 2574 ซึ่งความสำคัญของโครงการ ICV จะสร้างสมดุลเศรษฐกิจ ลดการพึ่งพาน้ำมัน ส่งเสริมอุตสาหกรรมในประเทศ เปิดโอกาสให้ธุรกิจท้องถิ่น กระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ
Gารพัฒนาอุตสาหกรรมในแต่ละรัฐ
1.กรุงอาบูดาบี ในปี 2567มูลค่าการผลิตแตะสถิติสูงสุด 30.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ครองสัดส่วน 9.5% ของ GDP ภาคที่ไม่ใช่น้ำมัน เน้นพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ มีอัตราเติบโตเฉลี่ย 2.7% ต่อปี มีแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจแข็งแกร่งหลังโควิด
- รัฐดูไบ ประกาศแผน ICV เป็นของตัวเอง ได้ตั้งเป้าเศรษฐกิจ 8.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายใน 10 ปี ได้วางแผนกลยุทธ์ D33 สู่การเป็น 1 ใน 3 เมืองชั้นนำของโลก มีแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมั่นคง
- รัฐอื่นๆ เช่น รัฐชาร์จาห์มีภาคการผลิต 16% ของ GDP รัฐราส อัล ไคมาห์ ศูนย์กลางอุตสาหกรรม คิดเป็นสัดส่วน 27% ของ GDP ทุกรัฐมีแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจได้อีก
ผู้เชี่ยวชาญมองว่า ยูเออียังมีศักยภาพการเติบโตอีกมาก โดยเฉพาะการพัฒนาเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมสมัยใหม่ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจระยะยาวของประเทศ
การบุกเบิกธุรกิจใหม่และนวัตกรรมอุตสาหกรรม
ตัวอย่างเช่น ‘The AM Lab’ บริษัทด้านการพิมพ์ 3D ของยูเออี ที่มุ่งเน้นการลดอุปสรรคในการเข้าถึงเทคโนโลยีการผลิตแบบดิจิทัล และตั้งเป้าขยายเครือข่ายซัพพลายเชนในประเทศ เพื่อรองรับความต้องการตลาดในอนาคต โดยจะตั้งเป้าเพิ่มผู้ผลิตและซัพพลายเออร์ใหม่ทุกเดือน เพื่อให้สอดรับกับความต้องการที่เพิ่มขึ้น และสร้างมาตรฐานใหม่ของการผลิตในภูมิภาค
สรุปและความเห็นของ สคต.ดูไบ
ยูเออีก้าวสู่ยุคอุตสาหกรรมใหม่ ด้วยวิสัยทัศน์และการลงทุนระดับโลก ด้วยกลยุทธ์ที่ชัดเจน การสนับสนุนจากภาครัฐและเอกชน รวมถึงการสร้างรากฐานอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่งและยั่งยืน ยูเออีจึงเป็นหนึ่งในประเทศที่น่าจับตามองในเวทีอุตสาหกรรมโลกในอนาคต ทั้งนี้ การลงทุนกว่า 11,000 ล้านดอลลาร์ และแผนพัฒนา SME จะเป็นแรงผลักดันสำคัญให้ประเทศก้าวไปสู่เป้าหมายการเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรมระดับโลกในอีกไม่ช้า
ผลกระทบต่อการส่งออกของไทยจากยุทธศาสตร์อุตสาหกรรม Sunrise Industry ของยูเออีและโอกาสสำคัญสำหรับผู้ส่งออกไทย
1.กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมเป้าหมาย ยูเออีให้ความสำคัญกับ 7 อุตสาหกรรมหลัก ที่บางสินค้าไทยมีศักยภาพ ได้แก่
- เคมีภัณฑ์และพลาสติก (ไทยส่งออกอันดับ 3 ไปยูเออี)
- อุตสาหกรรมอาหาร (ไทยเป็นผู้ส่งออกอาหารอันดับ 1 ของยูเออี ใน ASEAN)
- ผลิตภัณฑ์ไม้และกระดาษ (เติบโตเฉลี่ย 15% ต่อปี)
- การขยายตัวของโครงการ ICV แม้ยูเออีจะเน้นการใช้สินค้าภายในประเทศ แต่ไทยอาจได้ประโยชน์จาก
- การเป็นซัพพลายเออร์วัตถุดิบคุณภาพสูง
- การร่วมทุนกับบริษัทท้องถิ่น (Joint Venture)
- การลงทุนตั้งโรงผลิตในยูเออี ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของห่วงโซ่อุปทาน และได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีภายในกลุ่ม GCC
- Gารเปิดเสรีภายใต้กรอบ CEPA อาจเป็นโอกาสให้ไทยเจรจาข้อตกลงในอนาคต ซึ่งจะช่วยลดอุปสรรคทางการค้าและส่งเสริมการส่งออกสินค้าของไทยไปยังยูเออีและกลุ่มประเทศ GCC ได้มากขึ้น
ทั้งนี้ แนวโน้มการส่งออกไทยไปยูเออียังคงสดใส แต่ต้องปรับกลยุทธ์เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ พร้อมทั้งใช้ประโยชน์จากความร่วมมือภาครัฐและเอกชน เพื่อยกระดับการค้าให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์เศรษฐกิจใหม่ของยูเออี