เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 บังกลาเทศได้เริ่มต้นการเจรจาครั้งสำคัญกับสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อแสวงหาข้อตกลงทางการค้าที่เป็นธรรมและหลีกเลี่ยงการถูกเก็บภาษีนำเข้าร้อยละ 35 สำหรับสินค้าส่งออกไปยังสหรัฐฯ ซึ่งมีกำหนดเริ่มบังคับใช้ในวันที่ 1 สิงหาคม 2568 การเจรจานี้เป็นส่วนหนึ่งของการหารือสามวัน โดยอาจมีการประชุมเพิ่มเติมในวันที่ 1 สิงหาคม การเจรจาครั้งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อบังกลาเทศ ซึ่งพึ่งพาการส่งออกเครื่องนุ่งห่มสำเร็จรูป (ready-made garments) ไปยังสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ
บริบทของการเจรจา
บังกลาเทศเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกเครื่องนุ่งห่มสำเร็จรูปชั้นนำของโลก โดยสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกหลัก ในปีงบประมาณ 2566-2567 บังกลาเทศส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐมูลค่า 7.68 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่นำเข้าสินค้าจากสหรัฐมูลค่า 2.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปีงบประมาณ 2567-2568 สินค้าส่งออกหลักคือเครื่องนุ่งห่มสำเร็จรูป ส่วนสินค้านำเข้าที่สำคัญ คือ เศษเหล็ก (iron scraps) ความไม่สมดุลทางการค้านี้ทำให้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ มองว่าบังกลาเทศได้เปรียบทางการค้า “อย่างไม่เป็นธรรม” ส่งผลให้มีการประกาศเก็บภาษีนำเข้าร้อยละ 35 เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2568 ซึ่งลดลงจากอัตราเริ่มต้นร้อยละ 37 ที่ระบุเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2568
การเจรจาครั้งนี้นำโดยนาย Sk Bashir Uddin ที่ปรึกษาด้านการพาณิชย์ของรัฐบาลชั่วคราวบังกลาเทศ (เทียบเท่า รมว.) ร่วมด้วยนาย Khalilur Rahman ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติ นาย Mahbubur Rahman เลขาธิการกระทรวงพาณิชย์ และนาง Nazneen Kawshar Chowdhury รองเลขาธิการ คณะเจรจามีความหวังว่าจะสามารถลดอัตราภาษีหรือรักษาความสามารถในการแข่งขันของสินค้าบังกลาเทศในตลาดสหรัฐฯ
ข้อเสนอของบังกลาเทศ
เพื่อลดช่องว่างทางการค้าและสร้างความเชื่อมั่นให้กับฝ่ายสหรัฐฯ ดังนี้
• การสั่งซื้อสินค้าจากสหรัฐฯ
บังกลาเทศได้ลงนามในข้อตกลงเพื่อนำเข้าข้าวสาลี 0.7 ล้านตันจากสหรัฐฯ ภายในห้าปี โดยในปีแรกจะนำเข้า 0.22 ล้านตัน นอกจากนี้ ยังมีการสั่งซื้อเครื่องบินโบอิ้ง 25 ลำ ซึ่งเป็นการลงทุนครั้งสำคัญเพื่อแสดงถึงความมุ่งมั่นในการกระชับความสัมพันธ์ทางการค้า คาดว่ามูลค่าการสั่งซื้อเหล่านี้จะสูงกว่า 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
• แผนเพิ่มการนำเข้า
รัฐบาลบังกลาเทศวางแผนเพิ่มมูลค่าการนำเข้าจากสหรัฐฯ อีก 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในหนึ่งปีครึ่งข้างหน้า โดยเน้นสินค้าเกษตร เช่น ถั่วเหลือง ถั่วเลนทิล และข้าวสาลี นักธุรกิจบังกลาเทศหลายรายได้เดินทางไปสหรัฐเพื่อเจรจากับคู่ค้าในประเด็นเหล่านี้ ซึ่งสะท้อนถึงความพยายามของภาคเอกชนในการสนับสนุนเป้าหมายของรัฐบาล
• การทูตเชิงรุก
บังกลาเทศใช้ประโยชน์จากความยืดหยุ่นของฝ่ายบริหารทรัมป์ ซึ่งเพิ่งลดภาษีให้สำหรับบางประเทศ เจ้าหน้าที่อาวุโสด้านการพาณิชย์ของบังกลาเทศ แสดงความหวังว่า สหรัฐฯ อาจเสนออัตราภาษีที่เป็นมิตรต่อบังกลาเทศ โดยอ้างถึงการปรับลดภาษีจากร้อยละ 37 เป็นร้อยละ 35 ซึ่งแสดงถึงความเป็นไปได้ในการเจรจา
• การมีส่วนร่วมของภาคเอกชน
การเจรจาครั้งนี้มีการปรึกษาหารือกับนักธุรกิจ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม ซึ่งเป็นภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากการขึ้นภาษี การมีส่วนร่วมของภาคเอกชนช่วยให้ข้อเสนอของบังกลาเทศมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น
ข้อสังเกตและจุดอ่อนไหวของบังกลาเทศ
• ความผันผวนของนโยบายทรัมป์
นโยบายการค้าของประธานาธิบดีทรัมป์คาดเดาได้ยาก หรือไม่มีความเป้นไปได้เลย แต่ยังคงมีช่องว่างบางประการ เช่น การขยายระยะเวลาการระงับภาษีจากวันที่ 9 กรกฎาคมเป็นวันที่ 1 สิงหาคม 2568 แสดงถึงความยืดหยุ่นบางประการ แต่ก็เพิ่มความยอกย้อน ไม่แน่นอนในการเจรจา
• ข้อจำกัดของ USTR
การเจรจาครั้งก่อนหน้าเผยให้เห็นว่า USTR มีอำนาจจำกัดในการปรับลดอัตราภาษี โดยการตัดสินใจสุดท้ายขึ้นอยู่กับฝ่ายบริหารของทรัมป์ ซึ่งทำให้การเจรจามีความซับซ้อน
• ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม
อุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม ซึ่งจ้างงานกว่า 4 ล้านคนและมีส่วนใน GDP ร้อยละ 10 อาจสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน หากภาษีร้อยละ 35 บวกกับภาษีเดิมร้อยละ 15 ถูกบังคับใช้ อาจทำให้ราคาสินค้าเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 50 ส่งผลให้ความต้องการในสหรัฐลดลงและอาจนำไปสู่การยกเลิกคำสั่งซื้อ
• การแข่งขันในตลาดโลก
ประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนามได้รับการลดภาษีเหลือร้อยละ 20 ซึ่งทำให้บังกลาเทศเสียเปรียบในแง่ราคา หากสถานการณ์ยืดเยื้อ อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงในห่วงโซ่อุปทานโลก
ผลกระทบต่อบังกลาเทศภายใต้นโยบายภาษีสหรัฐฯ
• ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม
การเพิ่มภาษีอาจนำไปสู่การสูญเสียงานในอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม โดยเฉพาะแรงงานหญิง ซึ่งเป็นกำลังสำคัญของภาคนี้ การลดลงของการส่งออกอาจกระทบต่อภาคการธนาคาร การประกันภัย และการขนส่ง
• ความท้าทายต่อการพัฒนา
การเพิ่มภาษีอาจขัดขวางความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจของบังกลาเทศ ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านจากการเป็นประเทศพัฒนาน้อยที่สุด (LDC) โดยเฉพาะในด้านการเสริมสร้างพลังให้กับแรงงานหญิงและการพัฒนาเศรษฐกิจที่ครอบคลุม
• มิติภูมิรัฐศาสตร์
การกำหนดภาษีอาจมีปัจจัยจากความสัมพันธ์ของบังกลาเทศกับกลุ่ม BRICS หรือจีน ซึ่งอาจทำให้สหรัฐฯ ใช้ภาษีเป็นเครื่องมือกดดัน
• โอกาสสำหรับความร่วมมือ
การเพิ่มการนำเข้าจากสหรัฐฯ และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นมิตรต่อสหรัฐอาจช่วยสร้างกรอบการค้าที่เป็นธรรมและยั่งยืน
ทางหนีทีไล่ของบังกลาเทศ
• เพิ่มการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน
การรวมตัวแทนจากสมาคมผู้ผลิตและส่งออกเครื่องนุ่งห่ม (BGMEA) และสมาคมผู้ผลิตและส่งออกสิ่งทอ (BTMA) จะช่วยให้การเจรจาสะท้อนความต้องการของภาคธุรกิจและเพิ่มน้ำหนักในการเจรจา
• เสริมสร้างการทูตเชิงรุก
การจ้างนักล็อบบี้ที่มีประสบการณ์ในสหรัฐฯ และการทำงานร่วมกับพันธมิตรระหว่างประเทศ เช่น อินเดียหรือสหภาพยุโรป เพื่อช่วยเพิ่มอำนาจต่อรองของบังกลาเทศ ซึ่งบังกลาเทศอาจต้องคิดหนักกับค่าใช้จ่าย
• กระจายตลาดส่งออก
เพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ บังกลาเทศควรเร่งขยายตลาดส่งออกไปยังสหภาพยุโรป อาเซียน หรือจีน ซึ่งอาจช่วยลดผลกระทบจากภาษี
• ลงทุนในนวัตกรรม
การเพิ่มประสิทธิภาพในห่วงโซ่อุปทานและการลงทุนในเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยจะช่วยให้บังกลาเทศรักษาความสามารถในการแข่งขัน แม้เผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นจากภาษี
สรุป
การเจรจาระหว่างบังกลาเทศและ USTR ในครั้งนี้ ถือเป็นช่วงเวลาวิกฤตที่อาจกำหนดทิศทางของความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสองประเทศ การที่บังกลาเทศแสดงความมุ่งมั่นในการเพิ่มการนำเข้าจากสหรัฐฯ เช่น การสั่งซื้อเครื่องบินโบอิ้งและข้าวสาลี สะท้อนถึงความพยายามในการลดช่องว่างทางการค้า อย่างไรก็ตาม ความผันผวนของนโยบายทรัมป์และข้อจำกัดของ USTR ทำให้ผลลัพธ์ของการเจรจายังคงไม่แน่นอน หากบังกลาเทศสามารถบรรลุข้อตกลงที่ลดอัตราภาษีลงได้ จะเป็นการปกป้องอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มและรักษางานของแรงงานนับล้านคน แต่หากล้มเหลว ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมของบังกลาเทศอาจรุนแรง การเจรจาครั้งนี้จึงเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายในการพิสูจน์ความสามารถของบังกลาเทศในการนำทางการเมืองระหว่างประเทศและปกป้องผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของตน การเพิ่มการนำเข้าสินค้าอาหารจากสหรัฐฯ ทำให้โอกาสการนำเข้าสินค้าอาหารจากไทยน้อยลง
ที่มาภาพ/ข่าว https://www.daily-sun.com/