อุตสาหกรรมการส่งออกกุ้งของอินเดีย ซึ่งเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ที่สุดของโลกในด้านกุ้งแช่แข็ง กำลังเผชิญกับอุปสรรคสำคัญจากมาตรการจำกัดทางการค้าที่เพิ่มขึ้นของสหรัฐอเมริกา โดยคาดว่าปริมาณการส่งออกไปยังสหรัฐฯ จะลดลงราว
7–9% ในปีงบประมาณปัจจุบัน ตามรายงานของบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ CRISIL Ratings ทั้งนี้ สหรัฐฯ ได้เพิ่มอัตราภาษีศุลกากรตอบโต้สูงถึง 26% ซึ่งซ้ำเติมจากภาระภาษีต่อต้านการทุ่มตลาดและภาษีเงินอุดหนุนที่มีอยู่เดิม ส่งผลให้อัตราภาษีรวมสูงเกินกว่า 34% ทำให้กุ้งจากอินเดียสูญเสียความสามารถในการแข่งขันอย่างรุนแรงเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง เช่น เอกวาดอร์ ซึ่งต้องเผชิญภาษีเพียงประมาณ 10% เท่านั้น
ทั้งนี้ สหรัฐอเมริกา ถือเป็นตลาดหลักของกุ้งอินเดีย โดยคิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของปริมาณการส่งออกทั้งหมด ในปีงบประมาณ 2567 อินเดียส่งออกกุ้งแช่แข็งจำนวน 681,252.37 เมตริกตัน คิดเป็นมูลค่า 52.40 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยมีสัดส่วนการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ถึงร้อยละ 60 การเปลี่ยนแปลงของอัตราภาษีที่เกิดขึ้น จึงสร้างความวิตกกังวลอย่างมากในภาคอุตสาหกรรมนี้ และจากสถิติการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดส่งออกกุ้งที่ใหญ่ที่สุดของอินเดีย (ประมาณ 248,000 ตันในปี 2024 เทียบกับจีน 143,000 ตัน) ภาษีนำเข้านี้จึงได้ส่งผลต่อการวางตำแหน่งทางการตลาดและผลกระทบโดยตรงต่อผู้ส่งออกอินเดีย
ข้อมูลเพิ่มเติม
1. ด้วยปัจจัยหลายประการส่งผลให้สถานการณ์ของการส่งออกกุ้งอินเดียยากลำบากมากขึ้น อัตราภาษีที่เพิ่มขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการตอบโต้ทางการค้าของสหรัฐอเมริกาในวงกว้าง ซึ่งทำให้กุ้งจากอินเดียตกอยู่ท่ามกลางปัญหาเชิงนโยบาย ขณะที่ผู้ส่งออกกำลังเผชิญกับปัญหาต้นทุนอาหารสัตว์ที่เพิ่มสูงขึ้น ราคาขายที่ซบเซาในตลาดโลก และการแข่งขันที่รุนแรงจากประเทศผู้ส่งออกรายสำคัญ เช่น เอกวาดอร์และเวียดนาม
2. ภาคการส่งออกกุ้งมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ต่ำอยู่แล้ว โดยทั่วไปมีกำไรประมาณ 4–8% ซึ่งการเก็บภาษีเพิ่มเติมจะยิ่งลดช่องการทำกำไรให้แคบลง ซึ่งอาจลดลงถึง 50–100% จากต้นทุน นอกจากนี้ ผู้ส่งออกยังต้องเผชิญกับอุปสงค์ทั่วโลกที่ลดลง และต้นทุนด้านโลจิสติกส์ที่ยังคงสูง ส่งผลให้ความสามารถในการทำกำไรอยู่ภายใต้แรงกดดันอย่างรุนแรง
3. เพื่อรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว ผู้ส่งออกอินเดียกำลังพยายามกระจายตลาดเป้าหมายไปยังสหภาพยุโรป จีน ตะวันออกกลาง และรัสเซีย แม้ว่าตลาดเหล่านี้ยังอยู่ในช่วงพัฒนาและไม่สามารถทดแทนปริมาณการส่งออกที่สูญเสียไปจากตลาดสหรัฐฯ ได้ในทันที ผู้ส่งออกบางรายยังได้หันไปพัฒนาผลิตภัณฑ์แปรรูปที่มีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งมีความเสี่ยงด้านภาษีนำเข้าน้อยกว่ากุ้งดิบอีกด้วย
ผลกระทบทางเศรษฐกิจและความท้าทาย
1.รายได้เติบโตเพียงเล็กน้อยแม้ปริมาณส่งออกลดลง: บริษัท CRISIL ประเมินว่า ผู้ส่งออกกุ้งของอินเดียอาจยังคงมีรายได้เพิ่มขึ้นเล็กน้อยราว 2–3% ในปีงบประมาณ 2568 แม้ว่าปริมาณการส่งออกจะลดลงก็ตาม โดยได้รับแรงสนับสนุนจากราคากุ้งที่ปรับตัวสูงขึ้น และอัตราแลกเปลี่ยนที่เอื้อประโยชน์
2.การพัฒนาสินค้าสู่ผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่ม: ผู้ส่งออกควรให้ความสำคัญกับการยกระดับห่วงโซ่คุณค่า ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เป็นที่ตอบรับในตลาดปัจจุบัน เช่น กุ้งแปรรูปและอาหารชนิดพร้อมรับประทาน (Ready to Eat) ซึ่งมักเผชิญอัตราภาษีนำเข้าต่ำกว่า และให้ผลตอบแทนต่อหน่วยสูงกว่าเมื่อเทียบกับกุ้งดิบ
3.การหดตัวของอัตรากำไรของผู้ส่งออก: การเพิ่มขึ้นของภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ที่รวมทั้งภาษีพื้นฐาน ภาษีตอบโต้การอุดหนุน ภาษีต่อต้านการทุ่มตลาด และภาษีตอบโต้ รวมแล้วกว่า 34% อาจส่งผลให้ผู้ส่งออกจะต้องเผชิญกับการลดลงของกำไรจากการดำเนินงาน ตลอดจนผู้นำเข้าจากสหรัฐอเมริกามีตัวเลือกซัพพลายเออร์จากประเทศคู่ค้าอื่น เช่นเวียดนามหรืออินโดนีเซีย เนื่องจากมีภาษีนำเข้าที่ต่ำกว่า ความแตกต่างของอัตราภาษีนี้อาจทำให้เวียดนามเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดจากอินเดียแทนได้
ข้อคิดเห็น
1.ตลาดกุ้งอินเดียมีปริมาณ 0.93 ล้านเมตริกตันในปี 2567 และคาดการณ์ว่าจะเติบโตด้วยอัตราเฉลี่ยต่อปีที่ 9.60% เพื่อบรรลุเป้าที่ 2.33 ล้านเมตริกตันภายในปี 2577 ด้วยพฤติกรรมผู้บริโภคที่ใส่ใจในสุขภาพมองหาอาหารทะเลที่อุดมด้วยโปรตีน รวมทั้งความนิยมที่เพิ่มขึ้นของอาหารที่ทำจากกุ้ง และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ เป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนตลาดกุ้งอินเดียเติบโต ปัจจุบัน พื้นที่เกษตรกรรมหลักจะตั้งอยู่ในรัฐชายฝั่งทะเลเช่น อานธรประเทศ ทมิฬนาฑู และเบงกอลตะวันตก ครองตลาดการผลิตกุ้งในอินเดีย เนื่องจากได้รับประโยชน์จากสภาพอากาศและทรัพยากรธรรมชาติที่เอื้ออำนวย ด้วยมาตรการทางภาษีที่เกิดขึ้นกับอินเดียทำให้ภาคการส่งออกไปตลาดสหรัฐอเมริกาเริ่มมีแนวโน้มปรับตัวลดลง อาจทำให้อุตสาหกรรมกุ้งภายในประเทศมีอุปทานส่วนเกินในตลาด เนื่องจากปริมาณการส่งออกไปยังสหรัฐฯ คาดว่าจะลดลงราว 7–9% ถือว่ามีนัยสำคัญเมื่อพิจารณาว่าสหรัฐฯ ครองสัดส่วนการส่งออกกุ้งของอินเดียมากกว่า 48% การลดลงดังกล่าวจะส่งผลกระทบทั้งต่อรายได้และฐานการตลาดของผู้ส่งออกอินเดียอย่างรุนแรง ประกอบกับเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์น้ำของอินเดียลดการปล่อยลูกพันธุ์ลงในฟาร์ม เนื่องจากราคากุ้งตกต่ำควบคู่กับต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ซึ่งจะกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรของฟาร์มเลี้ยงกุ้ง ข้อพิจารณาด้านการนำเข้ากุ้งคุณภาพสูงจากต่างประเทศจึงอาจเป็นการตอบสนองตลาดผู้บริโภคระดับบน
2.แม้ว่าระหว่างเดือนมกราคม - พฤษภาคม 2568 อินเดียมีการนำเข้ากุ้งจากไทย (HS 0306.17 - กุ้งและกุลาดำแช่แข็งอื่นๆ) คิดเป็นมูลค่า 49,159 เหรียญสหรัฐ ลดลงจาก 118,573 เหรียญสหรัฐ เทียบจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน แต่ด้วยภาวะสงครามการค้าที่เกิดขึ้น อาจมองว่าเป็นการเปิดโอกาสให้ไทยปรับบทบาทต่อธุรกิจการส่งออกกุ้ง โดยผู้ประกอบการไทยสามารถพิจารณาเน้นการผลิตภัณฑ์กุ้งแปรรูปมูลค่าสูง พัฒนาผลิตภัณฑ์ตามความต้องการของแต่ละตลาด เพื่อดึงส่วนแบ่งตลาด ใช้ประโยชน์จากภาษี AD ของไทยที่ต่ำด้วยการทำราคาที่แข่งขันได้ (ภาษีนำเข้าสหรัฐฯ จะต่ำกว่าอินเดีย – จากการทบทวนมาตราการ AD ล่าสุด สหรัฐฯ กำหนดอัตราภาษีกันทุ่มตลาดให้ไทยเฉลี่ย 0.73% กับผู้ผลิต 13 ราย) ควรเร่งเจรจากับผู้นำเข้าและผู้ค้าปลีกในสหรัฐฯ เน้นคุณภาพ เพื่อเข้ามาทดแทนอินเดียจากภาษีรอบใหม่ รวมถึงสร้างแบรนด์ "กุ้งไทย" ด้วยมาตรฐานคุณภาพระดับสากล โดยอาจร่วมมือกับผู้นำเข้า/ขนส่งในอินเดีย เพื่อสร้างช่องทางจำหน่ายที่เหมาะสมต่อไป
ที่มา: 1 https://economictimes.indiatimes.com/news/economy/foreign-trade/indian-shrimp-exporters-brace-for-unprecedented-challenge-in-us-volumes-to-drop-7-9/articleshow/123072142.cms?from=mdr
2.https://www.reuters.com/world/india/indian-shrimp-industry-sails-troubled-waters-after-trump-tariffs-2025-04-14/?utm_
3.https://www.business-standard.com/economy/news/shrimp-export-volume-growth-to-stay-flat-in-fy26-due-to-us-tariffs-crisil-125053000742_1.html?utm_