เวียดนามงดใช้รถจักรยานยนต์และรถสกู๊ตเตอร์ที่ใช้น้ำมันเบนซินวิ่งในฮานอย
เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2568 นายกรัฐมนตรี ฟาม มิงห์ จิ๋ง (Pham Minh Chinh) ได้ออกคำสั่งเกี่ยวกับภารกิจเร่งด่วนและเข้มงวดในการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษสิ่งแวดล้อม
ในคำสั่งดังกล่าว นายกรัฐมนตรีสั่งการให้กรุงฮานอยดำเนินมาตรการ เพื่อให้หน่วยงานและประชาชนเปลี่ยนรูปแบบการใช้ยานพาหนะ โดยภายในวันที่ 1 กรกฎาคม 2569 จะไม่มีรถจักรยานยนต์หรือมอเตอร์ไซค์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงใช้ถนนอยู่ในเขตวงแหวน 1 (Beltway 1) อีกต่อไป
นอกจากห้ามรถจักรยานยนต์และมอเตอร์ไซค์ที่ใช้น้ำมันแล้ว รถยนต์ส่วนบุคคลที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงจะถูกจำกัดในเขตวงแหวน 1 และวงแหวน 2 เช่นกัน ภายในปี 2573 มาตรการดังกล่าวจะขยายให้ครอบคลุมรถส่วนบุคคลทุกประเภทที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในพื้นที่วงแหวน 3 ตามที่ระบุในคำสั่ง
ในคำสั่งดังกล่าว นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้กรุงฮานอยจัดทำและประกาศโครงการ “เขตปล่อยมลพิษต่ำ” ภายในไตรมาส 3 ปี 2568 และภายในปี 2573 กรุงฮานอยจะต้องพัฒนาเครือข่ายสาธารณะหลากหลายรูปแบบ ให้ครอบคลุมเส้นทางหลัก เชื่อมโยงพื้นที่ที่มีประชากรหนาแน่นและจุดเชื่อมต่อสำคัญต่างๆ นอกจากนี้ ยังมีคำสั่งให้ขยายระบบสถานีชาร์จไฟฟ้า บริการสำหรับยานพาหนะพลังงานสะอาด รวมถึงจำนวนรถโดยสารไฟฟ้า รวมถึงกรุงฮานอยจะออกนโยบายสนับสนุนภาคธุรกิจที่ผลิตและประกอบยานพาหนะพลังงานสะอาด และเพิ่มค่าธรรมเนียมจดทะเบียน ค่าธรรมเนียมป้ายทะเบียน และค่าจอดรถสำหรับรถที่ใช้น้ำมันในพื้นที่ใจกลางเมือง โดยตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2568 กรุงฮานอยจะเริ่มทดลองห้ามใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวในร้านอาหาร โรงแรม และร้านค้าภายในเขตวงแหวน 1
ตามแผนการของกรุงฮานอยถึงปี 2573 โดยมีวิสัยทัศน์ถึงปี 2593 ที่ได้รับการอนุมัติจากนายกรัฐมนตรี กรุงฮานอยมีถนนสายหลัก 7 สาย รวมถึงถนนสายหลัก 5 สาย (ได้แก่ ถนนสาย 1, 2, 3, 4, 5) และเส้นทางสายรอง 2 สาย (ถนนสาย 2.5 และ 3.5) ซึ่งเป็นแกนหลักที่กำหนดโครงข่ายการจราจรบนถนนของกรุงฮานอย สร้างหลักการสำคัญสำหรับการพัฒนาเมืองหลวง รวมไปถึงภาคท้องถิ่นต่างๆ ในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำทางตอนเหนือและทั่วประเทศให้เท่าเทียมกัน ครอบคลุม และยั่งยืน
ถนนวงแหวนหมายเลข 1 เป็นเส้นทางสำคัญซึ่งเป็นแกนเมืองหลักที่เชื่อมต่อเขตต่างๆ ในใจกลางเมืองและตอบโจทย์ความต้องการการเดินทางภายในเมือง โดยผ่านพื้นที่ใจกลางเมืองฮานอย รวมถึงถนน Tran Khat Chan ถนน Dai Co Viet ถนน Xa Dan ถนน Hoang Cau ถนน Vo Phuc ถนนวงแหวนที่ 1 ไม่เพียงแต่เป็นเส้นทางจราจรเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์คุณค่าทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์เมื่อผ่านพื้นที่เชิงสัญลักษณ์ เช่น ย่านเมืองเก่าของกรุงฮานอยอีกด้วย
ถนนวงแหวนที่ 1 ครอบคลุมเส้นทางดังต่อไปนี้: ถนน Tran Khat Chan (สี่แยก Tran Khat Chan,Nguyen Khoi) Dai Co Viet, Xa Dan, O Cho Dua, De La Thanh, Hoang Cau, De La Thanh, Cau Giay, Buoi street, Lac Long Quan, Au Co, Nghi Tam, Yen Phu, Tran Nhat Duat, Tran Quang Khai, Tran Khanh Du, Nguyen Khoai และ Tran Khat Chan
ภายในวันที่ 1 กรกฎาคม 2569 จะไม่มีรถจักรยานยนต์และรถสกู๊ตเตอร์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในถนนวงแหวนที่ 1 และตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2571 จะไม่มีรถจักรยานยนต์และรถสกู๊ตเตอร์ และมีข้อจำกัดเกี่ยวกับรถยนต์ส่วนบุคคลที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงใช้ถนนเวียนในถนนวงแหวนที่ 1 และถนนวงแหวนที่ 2 และตั้งแต่ปี 2573 เป็นต้นไป จะมีการขยายการดำเนินการไปยังถนนวงแหวนที่ 3 ต่อไป
(จาก https://vneconomy.vn/)
ข้อคิดเห็น สคต
จากสถิติของกรมการขนส่งและคมนาคมเวียดนาม ณ เดือนเมษายน ปี 2568 กรุงฮานอยมีจำนวนยานพาหนะรวมมากกว่า 8 ล้านคัน แบ่งเป็นรถยนต์มากกว่า 1.1 ล้านคัน และรถจักรยานยนต์ประมาณ 6.9 ล้านคัน โดยในจำนวนรถจักรยานยนต์เหล่านี้ มีมากกว่าร้อยละ 72 ที่มีอายุการใช้งานเกิน 10 ปี ซึ่งหากไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างเหมาะสม อาจปล่อยสารพิษในระดับสูงสู่สิ่งแวดล้อม และเป็นสาเหตุสำคัญของปัญหาฝุ่น PM2.5 ที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพอากาศและสุขภาพของประชาชนในเมืองหลวง ข้อมูลจากหลายแหล่งชี้ว่า ยานพาหนะเป็นแหล่งกำเนิดมลพิษทางอากาศหลักในกรุงฮานอย โดยคิดเป็นสัดส่วนระหว่างร้อยละ 58 ถึง 74 ของการปล่อยมลพิษทั้งหมด โดยเฉพาะรถจักรยานยนต์ที่มีจำนวนมากและใช้กันอย่างแพร่หลาย เป็นแหล่งปล่อยมลพิษอันดับหนึ่ง รองลงมาคือรถบรรทุกและรถแท็กซี่ นอกจากนี้ ฝุ่นจากพื้นถนนก็เป็นปัจจัยที่เสริมให้คุณภาพอากาศแย่ลงอย่างต่อเนื่องด้วยเหตุนี้ นายกรัฐมนตรีเวียดนามจึงได้ออกคำสั่งให้ยกเลิกการใช้รถจักรยานยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซินในกรุงฮานอย เพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบคมนาคมสะอาด ซึ่งนโยบายดังกล่าวไม่เพียงแต่มีเป้าหมายในการลดมลพิษเท่านั้น แต่ยังเปิดโอกาสสำคัญให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ทั้งในประเทศและระดับภูมิภาค
สำหรับประเทศไทย มาตรการนี้ถือเป็นโอกาสเชิงยุทธศาสตร์ที่ผู้ประกอบการไทยควรเร่งปรับตัวเข้าสู่ตลาด EV ของเวียดนาม โดยเน้นการพัฒนานวัตกรรม การยกระดับคุณภาพสินค้า และการสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันและขยายตลาดในระยะยาว อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เช่น แบตเตอรี่ มอเตอร์ไฟฟ้า ระบบควบคุม และสถานีชาร์จไฟฟ้า ตลอดจนชิ้นส่วนที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น ยางสำหรับรถ EV ชุดชาร์จพกพา หรือวัสดุที่ช่วยประหยัดพลังงาน จะมีแนวโน้มเติบโตสูงขึ้นในตลาดเวียดนาม นอกจากนี้ แนวโน้มการจำกัดการใช้รถจักรยานยนต์ในเมืองใหญ่ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในเวียดนามเท่านั้น แต่ยังเป็นกระแสที่เกิดขึ้นทั่วโลก ซึ่งเป็นโอกาสสำหรับผู้ผลิตชิ้นส่วนจากไทยในการขยายตลาด ที่กำลังปรับเปลี่ยนเข้าสู่ยุคพลังงานสะอาด เพื่อออกแบบสินค้าและบริการให้ตรงกับความต้องการ อย่างไรก็ดี สำหรับตลาดเวียดนามต้องตระหนักว่า รถจักรยานยนต์ถือเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของ ชาวเวียดนาม การเปลี่ยนผ่านนี้จึงต้องอาศัยการดำเนินงานอย่างเป็นขั้นตอนและต่อเนื่อง กรุงฮานอยจำเป็นต้องจัดสรรงบประมาณสนับสนุนประชาชนในการเปลี่ยนรถ รวมถึงลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น สถานีชาร์จไฟฟ้า ระบบขนส่งสาธารณะ และระบบจราจรอัจฉริยะ เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านสู่การคมนาคมที่ยั่งยืนสามารถเกิดขึ้นได้จริงในระดับพื้นที่ การห้ามใช้รถจักรยานยนต์เบนซินจึงเป็นทั้งความท้าทายและโอกาส โดยเฉพาะต่ออุตสาหกรรมไทยที่ต้องพร้อมเข้าสู่ยุคของยานยนต์พลังงานสะอาดอย่างเต็มรูปแบบ