ในขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ กำลังผลักดันนโยบายภาษีที่แข็งกร้าวมากขึ้น ท่ามกลางกระแสข่าวการเตรียมเรียกเก็บภาษี สูงถึง 50% กับสินค้านำเข้าจากสหภาพยุโรป EU นักลงทุนทั่วโลกเริ่มเบือนหน้าจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ และหันมาให้ความสนใจใน ยุโรป โดยเฉพาะเยอรมนี ซึ่งกำลังกลายเป็นศูนย์กลางการลงทุนแห่งใหม่
แม้จะมีความเสี่ยงจากการเกิดสงครามการค้าข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก แต่วิกฤตนี้กลับสร้างแรงกระตุ้นใหม่ให้แก่เศรษฐกิจเยอรมนี และอาจกลายเป็นโอกาสครั้งสำคัญที่ ประเทศไทยจะใช้ต่อยอดความร่วมมือทางการค้า กับประเทศเศรษฐกิจอันดับหนึ่งของยุโรป
นักลงทุนเริ่มหันมาให้ความเชื่อมั่นในเยอรมนี
หลังจากทรัมป์ประกาศนโยบาย “ภาษีตอบโต้” เมื่อเดือนเมษายน 2568 ตลาดการเงินทั่วโลกเริ่มผันผวนอย่างหนัก ดัชนี S&P 500 ของสหรัฐฯ มีความเคลื่อนไหวขึ้นลงสูง ขณะที่ ดัชนี DAX ของเยอรมนีกลับปรับตัวขึ้นกว่า 15% แสดงถึงความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นของนักลงทุนในเศรษฐกิจยุโรป
นอกจากนี้ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐยังอ่อนค่าลงเกือบ 10% เมื่อเทียบกับเงินยูโร โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ และธนาคารกลางเยอรมนี ได้ออกมาเตือนถึงความไม่มั่นคงของนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐฯ และหนี้สาธารณะที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างน่ากังวล
“ในรอบ 30 ปีของการทำงาน ผมไม่เคยเห็นการเปลี่ยนแปลงของความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่รวดเร็วขนาดนี้มาก่อน” สเตฟาน วินเทลส์, CEO ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งชาติ KfW กล่าวกับ Handelsblatt
เยอรมนี กลายเป็นประตูสู่การลงทุนในยุโรป
ด้วยความไม่แน่นอนในสหรัฐฯ นักลงทุนทั่วโลกจึงเริ่มเทเม็ดเงินเข้าสู่เยอรมนี โดยเฉพาะบริษัทจัดการสินทรัพย์ขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ อย่าง Blackstone และ Apollo Global Management ที่ประกาศแผนลงทุนในเยอรมนีกว่า 100,000 ล้านดอลลาร์ ภายใน 10 ปีข้างหน้า
นอกจากนี้ รัฐบาลเยอรมนียังได้ผ่านแผน ลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน พลังงานสะอาด และการป้องกันประเทศ ซึ่งยิ่งตอกย้ำสถานะของเยอรมนีในฐานะแหล่งลงทุนระยะยาวที่มีเสถียรภาพสูง
จากเอกสารแผนยุทธศาสตร์ของ EU ที่หลุดออกมา ระบุว่า หากสามารถ เพิ่มการค้าภายในกลุ่มประเทศ EU ได้เพียง 2.4% ก็จะสามารถชดเชยผลกระทบจากการสูญเสียการส่งออกไปสหรัฐฯ ถึง 20% ได้ทั้งหมด
โอกาสของประเทศไทยในจังหวะที่เยอรมนีเปลี่ยนทิศ
ขณะที่เยอรมนีกำลังปรับทิศทางเศรษฐกิจใหม่ ประเทศไทยสามารถ ใช้จังหวะนี้เข้ามาเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ โดยเฉพาะในภาคส่วนสำคัญต่อไปนี้:
อุตสาหกรรมสีเขียวและเทคโนโลยีดิจิทัล
การปฏิรูปอุตสาหกรรมของเยอรมนีต้องการชิ้นส่วนยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ และเทคโนโลยีที่ประหยัดพลังงาน ซึ่งไทยมีศักยภาพอยู่แล้ว
ฐานขยายธุรกิจสู่ภูมิภาคอาเซียน
ในยุคที่บริษัทเยอรมันต้องการกระจายความเสี่ยงจากจีนและสหรัฐฯ ไทยสามารถเป็น ศูนย์กลางขยายธุรกิจไปยังอาเซียน
สินค้าอาหารและสุขภาพคุณภาพสูง
สินค้าไทยประเภท ออร์แกนิก อาหารทะเล และผลิตภัณฑ์สุขภาพ มีศักยภาพเติบโตในตลาดผู้บริโภคเยอรมันที่ใส่ใจสุขภาพ
ความร่วมมือด้านนวัตกรรมและพลังงานสะอาด
เยอรมนีมีทิศทางชัดเจนในการพัฒนา AI หุ่นยนต์ และพลังงานสะอาด ซึ่งสามารถเชื่อมโยงกับระบบนวัตกรรมและสตาร์ทอัพไทย
ข้อคิดเห็นและข้อเสนอ
“สถานการณ์ความไม่แน่นอนจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับสหภาพยุโรป ถือเป็นจังหวะที่เหมาะสมที่ผู้ประกอบการไทยควรเร่งขยายตลาดมายังเยอรมนี โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าและบริการที่สอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจสีเขียว ดิจิทัล และการพึ่งพาตนเองของยุโรป”
ข้อเสนอแนะสำหรับผู้ประกอบการไทย:
เร่งพัฒนาสินค้าให้ได้รับการรับรองมาตรฐาน EU เช่น CE, EU Organic และ Carbon Footprint
เข้าร่วมงานแสดงสินค้านานาชาติในเยอรมนี เช่น Anuga, IFA, Hannover Messe เพื่อสร้างเครือข่าย
พิจารณาตั้งสำนักงานหรือตัวแทนในยุโรป เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและอำนวยความสะดวกด้านธุรกิจ
“เยอรมนีในขณะนี้เป็น ‘หน้าต่างแห่งโอกาส’ ที่ผู้ประกอบการไทยควรรีบเปิดก่อนที่คู่แข่งจากประเทศอื่นจะก้าวนำ” — สคต. แฟรงก์เฟิร์ต
บทสรุป
เมื่อสหรัฐฯ กำลังเข้าสู่ยุคแห่งความไม่แน่นอนทางการค้าและการคลัง ยุโรปและเยอรมนีจึงกลายเป็นจุดหมายใหม่ของการลงทุนระดับโลก สำหรับประเทศไทย นี่คือโอกาสที่หาได้ยากในการขยายการค้ากับประเทศเศรษฐกิจอันดับหนึ่งของยุโรป สร้างความร่วมมือเชิงลึก และเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจระยะยาว หากไม่เริ่มตอนนี้ โอกาสอาจผ่านไปโดยไม่ย้อนกลับมาอีกครั้ง
****************************************************
ที่มา:
https://www.dw.com/en/is-donald-trump-making-europe-great-again/a-73024413
https://www.theguardian.com/commentisfree/2025/jul/15/trump-chicken-eu-european-union-tariffs-us
https://ecfr.eu/publication/maga-goes-global-trumps-plan-for-europe/
https://www.brookings.edu/articles/will-donald-trump-make-european-tech-great-again/