อุตสาหกรรมยานยนต์ของเยอรมนีกำลังเผชิญกับวิกฤตรุนแรง หลังจากผู้ผลิตรายใหญ่ทยอยรายงานผลประกอบการที่ย่ำแย่และประกาศแผนปลดพนักงานจำนวนมาก ทั้งนี้ ภาคธุรกิจที่เคยเป็นเสาหลักทางเศรษฐกิจของประเทศเริ่มแสดงสัญญาณชะลอตัวอย่างชัดเจน โดย Volkswagen วางแผนลดตำแหน่งงานถึง 33,000 ตำแหน่ง ภายในปี 2030 และบริษัทในเครืออย่าง Porsche จะปลดอีก 1,900 ตำแหน่ง ด้าน Mercedes-Benz เองก็มีความเป็นไปได้ว่าจะลดพนักงานลงถึง 20,000 ตำแหน่ง แม้ยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการ นอกจากนี้ BMW รายงานว่ากำไรในครึ่งแรกของปี 2025 ลดลงมากกว่า 25% ซึ่งถือเป็นไตรมาสที่สามติดต่อกันที่ผลกำไรลดลงสำหรับ Porsche สถานการณ์รุนแรงยิ่งกว่า โดยขาดทุนไปเกือบ 70% ในช่วงเวลาเดียวกัน
สาเหตุหลักของวิกฤตนี้มาจากยอดขายที่ตกต่ำ โดยเฉพาะยอดขายในตลาดจีนที่ลดลง รวมถึงผลกระทบจากนโยบายภาษีของทรัมป์ที่ต้องจ่ายสำหรับสินค้านำเข้าของสหรัฐอเมริกา แม้ว่าข้อตกลงภาษีฉบับใหม่ระหว่างสหรัฐฯและสหภาพยุโรปจะลดอัตราภาษีจาก 27.5% เหลือ 15% แต่ก็ยังคงสูงกว่าในอดีต ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์เยอรมันเสียเปรียบในการแข่งขัน นอกจากนี้ ความล่าช้าในการเปลี่ยนผ่านสู่การผลิตรถยนต์ไฟฟ้ายังเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ความต้องการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ ชะลอตัวลง
Porsche ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม Volkswagen รวมถึง Mercedes หวังได้รับการปฏิบัติพิเศษในตลาดสหรัฐอเมริกา โดยประกาศแผนการลงทุนจำนวนมากในประเทศสหรัฐฯ และ Volkswagen ยังวางแผนที่จะสร้างโรงงานใหม่สำหรับแบรนด์ Audi แต่หลังจากข้อตกลงเรื่องภาษีใหม่ ความหวังที่จะได้รับข้อยกเว้นพิเศษเหล่านี้ก็ต้องสลายไป นอกจากนี้ ภาษีนำเข้าในสหรัฐฯ ยังคงเป็นภาระหนักที่ส่งผลกระทบต่อซัพพลายเออร์ด้วยเช่นกัน ตัวอย่างเช่น บริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนและเทคโนโลยี Sensopart ซึ่งเป็นผู้ผลิตเซ็นเซอร์สำหรับสายการผลิตของบริษัทอย่าง Mercedes และ BMW ที่แม้ว่าจะมีช่องทางขายตรงในสหรัฐฯ แต่การผลิตทั้งหมดยังอยู่ที่ประเทศเยอรมนี โดยผู้บริหารของบริษัทอธิบายว่า ภาษีนำเข้า 15% บวกกับค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงถึง 8-9% ส่งผลให้กำไรขั้นต้นของบริษัทลดลงถึง 23-24% เมื่อเทียบกับคู่แข่งในท้องถิ่น บริษัทวางแผนที่จะรับภาระต้นทุนเหล่านี้ด้วยตนเองในระยะสั้นเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดสหรัฐฯ และไม่ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภค นอกจากนี้ยังตั้งใจที่จะมองหาโอกาสในตลาดใหม่ๆ เช่น ขยายตลาดไปยังอินเดียและอเมริกาใต้ เพื่อหลีกเลี่ยงการเลิกจ้างพนักงานกว่า 350 คนทั่วโลก และคาดหวังการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบขับเคลื่อนแบบไฟฟ้าของรถยนต์ เนื่องจากจะช่วยสร้างความต้องการเครื่องจักรใหม่ๆ อย่างไรก็ตาม ความคืบหน้าในการเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบบรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มตัวชะลอตัวลงเนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยและการแข่งขันระดับโลกที่ตึงเครียดมากขึ้น
ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะ
1. อุตสาหกรรมรถยนต์เยอรมนีซึ่งเคยเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดโลก กำลังเผชิญกับความท้าทายอย่างหนัก ทั้งจากแรงกดดันทางเศรษฐกิจ การเปลี่ยนผ่านไปสู่รถยนต์ไฟฟ้าที่ช้ากว่าคาดการณ์ รวมถึงผลกระทบจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และความไม่แน่นอนในตลาดต่างประเทศ เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของอุตสาหกรรมที่พึ่งพาตลาดและเทคโนโลยีแบบเดิมมากเกินไป และจำเป็นต้องเร่งปรับตัวอย่างรวดเร็วเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในยุคใหม่
2. ผู้ประกอบการไทยที่ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์หรือชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์สำหรับยานยนต์ มีโอกาสขยายตลาดในยุคที่บริษัทใหญ่จากยุโรปกำลังมองหาผู้ค้ารายใหม่ที่หลากหลายและกระจายความเสี่ยง รวมถึงโอกาสในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังเติบโต
3. การเร่งพัฒนานวัตกรรมด้านรถยนต์ไฟฟ้าและเทคโนโลยีสะอาดเพื่อรองรับเทรนด์โลกที่มุ่งสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นอีกหนึ่งโอกาสที่จะสร้างความเติบโตให้ผู้ประกอบการไทยได้
*****************************************************
ที่มา: tagesschau