ประธานาธิบดีทรัมป์ของสหรัฐฯ ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากแคนาดาจากเดิมร้อยละ 25 เป็นร้อยละ 35 (เฉพาะกับสินค้าที่ไม่ได้สิทธิประโยชน์ภายใต้ความตกลง USMCA) โดยมีผลเมื่อที่ 1 สิงหาคม 2568 สร้างความไม่พอใจให้กับรัฐบาลแคนาดา นายกรัฐมนตรีมาร์ก คาร์นีย์ ซึ่งออกแถลงการณ์แสดงความผิดหวังต่อการตัดสินใจดังกล่าว พร้อมยืนยันว่าแคนาดายังคงยึดมั่นในความตกลง USMCA (แคนาดาเรียกความตกลงนี้ว่า CUSMA) โดยระบุว่ารัฐบาลจะดำเนินมาตรการเพื่อปกป้องแรงงาน สนับสนุนอุตสาหกรรมภายในประเทศ และกระจายตลาดส่งออก แม้ว่าร้อยละ 90 ของสินค้าที่แคนาดาส่งออกไปสหรัฐฯ จะยังคงได้รับการยกเว้นภาษีภายใต้ความตกลง USMCA อยู่ก็ตาม แต่มีสินค้าในหลายอุตสาหกรรมสำคัญของแคนาดาที่ถูกสหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีรายสินค้า อาทิ เหล็กและอลูมิเนียม (ร้อยละ 50) ยานยนต์และชิ้นส่วน (ร้อยละ 25 เฉพาะชิ้นส่วนที่ไม่ได้ผลิตในสหรัฐฯ)
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีแคนาดา และทีมเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่ร่วมเจรจากับสหรัฐฯ ออกมายอมรับว่าการจะสามารถบรรลุข้อตกลงกับสหรัฐฯ ได้ก่อนวันที่ 1 สิงหาคม 2568 อาจเป็นไปได้ยาก เนื่องจากยังมีหลายประเด็นที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้ และแคนาดาจะยึดผลประโยชน์ของประเทศ รวมทั้งที่ผ่านมาสินค้าส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 90 ของแคนาดายังส่งออกไปสหรัฐฯ ได้โดยไม่ต้องเสียภาษีภายใต้ความตกลง USMCA จึงทำให้ลดความกดดันด้านความเร่งด่วนของสถานการณ์ลงได้
ขณะที่ ผู้นำฝ่ายค้าน นายปิแอร์ พัวลีเอฟ เรียกร้องให้รัฐบาล เจรจาให้สหรัฐฯ ยกเลิกภาษีนำเข้าในกลุ่มสินค้าที่มีความสำคัญต่อแคนาดา เช่น เหล็ก อลูมิเนียม ไม้แปรรูป ยานยนต์ และผลิตภัณฑ์การเกษตร ในขณะที่มุขมนตรีรัฐออนแทริโอ นายดั๊ก ฟอร์ด เสนอให้แคนาดาตอบโต้ด้วยการเก็บภาษีร้อยละ 50 ต่อสินค้าเหล็กและอลูมิเนียมจากสหรัฐฯ และสหภาพแรงงาน Unifor ซึ่งเป็นตัวแทนแรงงานในภาคอุตสาหกรรมยานยนต์แคนาดา ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลสู้เต็มที่เพื่อปกป้องการจ้างงานในแคนาดา
สำหรับภาษีร้อยละ 35 ที่เจาะจงใช้กับแคนาดานั้น ทรัมป์อ้างอิงกฎหมายที่ให้อำนาจประธานาธิบดีสหรัฐในการดำเนินมาตรการเศรษฐกิจฉุกเฉิน เพื่อรับมือกับภัยคุกคามที่ผิดปกติและร้ายแรงต่อความมั่นคงของประเทศ โดยอ้างเหตุผลว่าการไหลเข้าของเฟนทานิลผ่านพรมแดนแคนาดามายังสหรัฐฯ คือภัยคุกคามดังกล่าว นอกจากนี้ ทรัมป์ยังกล่าวถึงการที่แคนาดากีดกันการนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ ด้วย ซึ่งน่าจะหมายถึงระบบ Supply Management ซึ่งแคนาดาใช้ในการควบคุมการผลิตในประเทศและปกป้องสินค้านำเข้าโดยใช้กำแพงภาษี กับสินค้าการเกษตร 5 สินค้าหลัก ได้แก่ นม ชีส ไข่ ไก่ และไก่งวง
ความคิดเห็น สคต.
การที่สหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีศุลกากรกับสินค้าแคนาดาจากร้อยละ 25 เป็นร้อยละ 35 มีผลทันทีเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2568 โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคง โดยระบุว่าเฟนทานิลที่ไหลผ่านพรมแดนแคนาดาเข้าสหรัฐฯ เป็นภัยคุกคามสำคัญ ขณะที่สหรัฐฯ ยืดระยะเวลาให้เม็กซิโก 90 วัน แม้ว่าการขึ้นภาษีดังกล่าวอาจไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจแคนาดามากนัก เนื่องจากร้อยละ 90 ของสินค้าที่แคนาดาส่งออกไปสหรัฐฯ จะยังคงได้รับการยกเว้นภาษีภายใต้ความตกลง USMCA อยู่ และรัฐบาลแคนาดามองว่าตกลงกันไม่ได้ก็ยังดีกว่าได้ข้อตกลงที่ไม่ดี อย่างไรก็ตาม แคนาดายังคงเผชิญปัญหาความไม่แน่นอนทางการค้าและเศรษฐกิจต่อไป ซึ่งที่ผ่านมาภาคธุรกิจชะลอการตัดสินใจในการลงทุน และภาคครัวเรือนลดการใช้จ่าย
ทำให้เศรษฐกิจแคนาดาหดตัวร้อยละ 0.1 ติดกัน 2 เดือน (เมษายนและพฤษภาคม 2568) การที่สองฝ่ายยังไม่สามารถตกลงกันได้ หนึ่งในประเด็นหลักน่าจะมาจากการที่แคนาดายังไม่ยอมผ่อนปรนมาตรการกีดกันการนำเข้าสินค้าเกษตรของสหรัฐฯ ผ่านระบบ Supply Management ซึ่งแคนาดายืนยันว่าจะยังคงรักษามาตรการนี้ไว้เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมและเกษตรกรในประเทศ ประกอบกับรัฐบาล และความไม่พอใจของทรัมป์ต่อแคนาดาที่ก่อนหน้านี้ นายมาร์ก คาร์นีย์ ประกาศว่าแคนาดาจะยอมรับปาเลสไตน์เป็นรัฐ ในเดือนกันยายน 2568 หากรัฐบาลปาเลสไตน์สามารถดำเนินการได้ตามเงื่อนไขที่แคนาดากำหนด
โปรดติดตามความเคลื่อนไหวในการค้าระหว่างประเทศผ่าน ช่องทางต่างๆ ของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ www.ditp.go.th และ www.thaitrade.com หรือโทรปรึกษาเรื่องการค้าระหว่างประเทศที่กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ โทร. 1169 (หากโทรจากต่างประเทศ โปรดติดต่อที่ โทร. +66 2792 6900)
*****************************************