จากรายงานกลางปี 2568 ของ Global SWF (กองทุนความมั่งคั่งของรัฐทั่วโลก) สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือยูเออีติดอันดับที่ 3 ของโลกในด้านสินทรัพย์การลงทุนของรัฐ โดยมีมูลค่ารวมประมาณ 2.49 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งรองจากจีนที่มีสินทรัพย์ประมาณ 3.36 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และสหรัฐอเมริกาที่มีสินทรัพย์สูงสุดถึง 12.12 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
กองทุนเหล่านี้ของยูเออีถูกออกแบบให้ลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ทั่วโลก เช่น หุ้น พันธบัตร อสังหาริมทรัพย์ และบริษัทเอกชน เพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงินในระยะยาว และสนับสนุนการพัฒนาชาติในอนาคตซึ่งแต่เดิมที่เคยพึ่งพารายได้จากน้ำมัน กลยุทธ์ความมั่งคั่งของรัฐของยูเออีได้พัฒนาในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ปัจจุบันกองทุนเหล่านี้ถูกนำไปใช้เพื่อสนับสนุนภาคส่วนที่มุ่งเน้นในอนาคตมากขึ้น
ผู้นำในภูมิภาค – คู่แข่งระดับโลก
การลงทุนโดยส่วนใหญ่ขับเคลื่อนโดย Abu Dhabi Investment Authority, Mubadala Investment Company, ADQ และ Investment Corporation of Dubai ระบบนิเวศของกองทุนของยูเออีสะท้อนพอร์ตโฟลิโอ ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วและมีความหลากหลายโดยลงทุนในภาคพลังงานปัญญาประดิษฐ์และอุตสาหกรรมที่ยั่งยืน
ขณะนี้ยูเออีเป็นผู้นำในตะวันออกกลางด้านความมั่งคั่งของรัฐ และการจัดอันดับระดับโลกให้ญี่ปุ่นอยู่ที่อันดับ 4 ด้วยสินทรัพย์ 2.22 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตามมาด้วยนอร์เวย์ แคนาดา สิงคโปร์ ออสเตรเลีย ซาอุดีอาระเบีย และเกาหลีใต้
เศรษฐกิจของยูเออีได้รับการรับรองจากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำของโลก Fitch, S&P และ Moody’s ในหมวด ‘คะแนนความเชื่อมั่นของนักลงทุน’ ให้คะแนนความน่าเชื่อถือของรัฐ การขยายตัวอย่างต่อเนื่องด้านความหลากหลายทางเศรษฐกิจ และส่งเสริมการเติบโตของภาคที่ไม่เกี่ยวข้องกับน้ำมัน (Non-oil) เป็นการสะท้อนความเชื่อมั่นระดับนานาชาติในความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจยูเออี และความยั่งยืนของนโยบายการคลัง
กระทรวงการคลังยูเออีระบุว่าการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของรัฐเป็นเครื่องมือวัดความสามารถของรัฐบาลในการชำระหนี้ และให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับระดับความเสี่ยงในการลงทุนในหนี้ของประเทศนั้นๆ
ในเดือนมิถุนายน สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับโลก ได้ให้คะแนนความน่าเชื่อถือของยูเออี ดังนี้
S&P ให้คะแนน “AA” ซึ่งเป็นระดับคุณภาพสูงและความเสี่ยงต่ำ โดยมีแนวโน้มคงที่
Moody’s ให้คะแนน “Aa2” ซึ่งเป็นอันดับที่ 3 ของระดับคุณภาพสูง และแนวโน้มคงที่
Fitch ให้คะแนน “AA-” ก็เป็นระดับคุณภาพสูงเช่นกัน และแนวโน้มคงที่
โดยรวมแล้ว ยูเออีได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือในระดับสูง จากหลายสถาบัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสถานะทางการเงินของยูเออีมีความมั่นคงในสายตานักลงทุน ความเป็นเอกภาพของข้อมูลชี้ให้เห็นถึง “ฐานะการคลังขั้นสูง” ของยูเออี
เศรษฐกิจยูเออี
จากข้อมูลของกระทรวงเศรษฐกิจยูเออีเปิดเผยว่า เศรษฐกิจของยูเออีปี 2567 เติบโตขึ้นร้อยละ 4 โดยได้รับแรงหนุนจากการขยายตัวของภาค Non-oil อย่างแข็งแกร่ง GDP ที่แท้จริงของประเทศแตะที่ 484.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เศรษฐกิจภาค Non-oil เติบโตเฉลี่ยร้อยละ 5 ต่อปี แตะที่ 366.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นมากกว่าร้อยละ 75 ของกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศ ขณะที่กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันมีส่วนร่วม 118.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเศรษฐกิจโดยรวม
ธนาคารกลางสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ คาดการณ์ว่า GDP ที่แท้จริงในปี 2568 จะขยายตัวร้อยละ 4.4 และเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 5.4 ในปี 2569 โดยจะได้รับแรงหนุนจาก“ความแข็งแกร่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้น” ของกิจกรรมในภาค Non-oil และการ“เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง” ของภาคน้ำมัน หลังจากแผนการผลิตของ OPEC+ ที่ปรับปรุงใหม่
ตามการประมาณการ คาดว่า GDP ของภาค Non-oil คาดว่าจะเติบโตร้อยละ 4.5 ในปี 2568 ไปจนถึงปี 2569 ขณะที่ภาคน้ำมันคาดว่าจะเติบโตร้อยละ 4.1 ในปี 2568
เมื่อต้นเดือนกรกฎาคม 2568 S&P Global Market Intelligence ได้คาดการณ์การเติบโตที่เป็นไปในเชิงบวกมากขึ้น โดยคาดว่าเศรษฐกิจของยูเออีจะเร่งตัวขึ้นเป็นร้อยละ 5.4 ในปี 2568 และร้อยละ 6.5 ในปีถัดไป โดยได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของการผลิตในภาคน้ำมันและความแข็งแกร่งของอุปสงค์ในประเทศ
เศรษฐกิจของยูเออีมีขนาดใหญ่อันดับ 2 ของกลุ่มอาหรับได้เน้นการกระจายความเสี่ยงจากน้ำมันอย่างมาก โดยพัฒนาภาคส่วนต่าง ๆ เช่น เทคโนโลยี การผลิต การท่องเที่ยว การค้า และนวัตกรรม ประเทศได้ดำเนินการปฏิรูปหลายอย่าง รวมถึงการออกวีซ่าพำนักระยะยาวและวีซ่าในประเภทใหม่เพื่อดึงดูดบุคคลมากความสามารถ และนักลงทุนมากขึ้น
มูลค่าการค้าระหว่างประเทศที่ไม่ใช่น้ำมันของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ทำสถิติสูงสุดที่ 818.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปีที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.6 เมื่อเทียบกับปีก่อนหนุนโดย CEPA ซึ่งยูเออีทำข้อตกลงกับหลายประเทศ ตั้งแต่โคลอมเบียไปจนถึงออสเตรเลีย ซึ่งมีส่วนช่วยให้การค้าระหว่างประเทศไม่ใช่น้ำมันของประเทศเพิ่มขึ้น 36.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นการเพิ่มขึ้นร้อยละ 42 เมื่อเทียบกับปีก่อน
กระทรวงการคลังยูเออีกล่าวว่าคะแนนความน่าเชื่อถือเหล่านี้ ยืนยันความสามารถของยูเออีในการกระจายความเสี่ยงและเพิ่มรายได้จากภาค Non-oil รักษาวินัยการคลังที่ดี จัดการความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ และดำเนินนโยบายการคลังที่รอบคอบ ทั้งหมดนี้ส่งผลดีต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และการเติบโตอย่างต่อเนื่องในหลายภาคส่วน
รายงานของ Fitch ระบุว่าคะแนน “AA-” แสดงให้เห็นว่ายูเออีมีหนี้สาธารณะระดับปานกลาง มีทรัพย์สินต่างประเทศสุทธิที่แข็งแกร่ง และรายได้ต่อหัวของประชากรสูง ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นผลดีจากทรัพย์สินต่างประเทศสุทธิของกรุงอาบูดาบี ซึ่งเป็นหนึ่งในทรัพย์สินของรัฐที่สูงที่สุดในกลุ่มประเทศที่ได้รับการจัดอันดับจาก Fitch และยังกล่าวถึงความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่สูงในภูมิภาค แต่ก็ยืนยันความสามารถของยูเออีในการต้านทานความวุ่นวายระยะสั้นด้วยกลยุทธ์สำรองด้านการคลังและภายนอกที่มีอยู่มาก อีกทั้งได้คาดการณ์ว่า GDP ของยูเออีจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.2 ในปีนี้ โดยได้รับแรงหนุนจากการเพิ่มขึ้นของการผลิตน้ำมันในอาบูดาบีร้อยละ 9 คาดว่าจะมีการเติบโตของภาค Non-oil มากกว่า 4 % ถึงแม้จะเผชิญ ความท้าทายระดับโลกที่เพิ่มขึ้น
ความเห็นของ สคต.ดูไบ
สรุปแนวโน้มเศรษฐกิจยูเออีครึ่งปีหลัง 2568 ยังแข็งแกร่ง จากความหลากหลายภาค Non-oil การค้าและนโยบายดึงดูดการลงทุน การเติบโตอาจเร่งขึ้น หากความตึงเครียดในตะวันออกกลางคลี่คลาย แต่มีความเสี่ยงหลัก ได้แก่ ความไม่แน่นอนด้านความปลอดภัยพลังงานและห่วงโซ่อุปทาน ในขณะเดียวกันมีจะความท้าทายจากความตึงเครียดในภูมิภาค
แม้ภาค ของยูเออียังขยายตัวในเดือนมิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา แต่ความขัดแย้งอิสราเอล-อิหร่าน ส่งผลให้การเติบโตของคำสั่งซื้อช้าลงที่สุดในรอบเกือบ 4 ปี ตามดัชนี PMI ของ S&P Global ที่ 53.5 (ยังอยู่ในเกณฑ์ขยายตัว) อย่างไรก็ตาม ธุรกิจยังคงจ้างงานเพิ่มและเร่งเคลียร์งานค้าง ช่วยลดผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจ ยูเออียังคงเดินหน้าสร้างความได้เปรียบเชิงเศรษฐกิจผ่านความร่วมมือระหว่างประเทศ เช่น ความตกลง CEPA และการลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อลดการพึ่งพาน้ำมันในระยะยาว
---------------------------------------------------------------------------
ที่มา : The National Newspaper