อินโดนีเซียยังคงดำเนินการค้นหาแหล่งสำรองลิเทียมภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง ขณะที่รัฐบาลเดินหน้าตามแผนการนำเข้าซึ่งแร่ธาตุสำคัญนี้จากประเทศออสเตรเลีย กระทรวงพลังงานและทรัพยากรแร่เป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนการสำรวจ โดยให้ความสนใจเป็นพิเศษในพื้นที่บเลดุก กูวู ในเขตกูโรโบกัน จังหวัดชวากลาง ร่วมกับบริษัทเหมืองแร่เอรามัต (Eramet) ของฝรั่งเศส ทั้งสองฝ่ายได้ประกาศความร่วมมือด้านแหล่งแร่ชนิดใหม่เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม ปีที่ผ่านมา
“สำหรับลิเทียม เรายังคงค้นหา เรายังคงดำเนินการค้นหาต่อไป” นายมูฮัมหมัด วาฟิด ผู้อำนวยการสำนักงานธรณีวิทยา กระทรวงพลังงานและทรัพยากรแร่ กล่าวเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ตามรายงานของสำนักข่าวบิสนิส โดยเขาระบุว่าการวิจัยในพื้นที่ดังกล่าวได้ดำเนินมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว และยังคงมีความเชื่อมั่นสูงว่าจะเกิดความก้าวหน้า
ลิเทียมซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในแบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า ถือเป็นชิ้นส่วนที่ขาดหายไปในวัสดุแบตเตอรี่ของอินโดนีเซียที่มีความอุดมสมบูรณ์อยู่แล้ว โดยประกอบด้วยโคบอลต์ นิกเกิล และแมงกานีส หากไม่มีแหล่งสำรองภายในประเทศ รัฐบาลจึงหันมาพึ่งพาการนำเข้าเพื่อตอบสนองความต้องการ
ตามข้อมูลทางการ อินโดนีเซียนำเข้าลิเทียมจากออสเตรเลียประมาณ 80,000 ตันต่อปี และดำเนินการแปรรูปที่เขตอุตสาหกรรมโมโรวาลี ซึ่งเป็นศูนย์กลางสำคัญของภาคอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้าที่กำลังขยายตัวของประเทศ ขณะนี้รัฐบาลกำลังพิจารณาการเพิ่มปริมาณการนำเข้าดังกล่าวเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้แก่อุตสาหกรรม โดยประเด็นนี้ได้ถูกหยิบยกขึ้นหารือในระหว่างการประเมินความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ
อินโดนีเซีย–ออสเตรเลีย (Indonesia-Australia Comprehensive Economic Partnership Agreement -
IA-CEPA)
นอกจากออสเตรเลียแล้ว อินโดนีเซียยังเสริมความสัมพันธ์กับประเทศจีน ซึ่งเป็นผู้นำระดับโลกด้านการแปรรูปลิเทียม เพื่อประกันความมั่นคงในการจัดหาลิเทียมที่ผ่านการแปรรูป และสนับสนุนการถ่ายโอนเทคโนโลยีสำหรับอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้าที่กำลังเติบโต
นายบาห์ลิล ลาฮาดาเลีย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวเมื่อวันอังคารว่า รัฐบาลกำลังพิจารณาการจัดส่งลิเทียมจากหลายประเทศ รวมทั้งออสเตรเลีย ซึ่งปัจจุบันมีบริษัทอินโดนีเซียบางแห่งดำเนินการเหมืองลิเทียมอยู่แล้ว
“จนถึงปัจจุบัน เรานำเข้าจากประเทศในทวีปแอฟริกา คาดว่าจะประหยัดกว่าอย่างมากหากนำเข้าจากออสเตรเลีย เนื่องจากความใกล้เคียงจะช่วยลดต้นทุนการขนส่ง” นายบาห์ลิล กล่าวเมื่อวันอังคาร ตามรายงานของสำนักข่าวคุมปารัน
เขาเสริมว่าขณะนี้รัฐบาลยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณการนำเข้าที่วางแผนไว้
กลยุทธ์ด้านแบตเตอรี่ของอินโดนีเซียมุ่งเน้นไปที่การผลิตแบตเตอรี่ชนิดนิกเกิล-แมงกานีส-โคบอลต์ (NMC) โดยใช้ประโยชน์จากแหล่งสำรองนิกเกิลที่อุดมสมบูรณ์ของประเทศ เพื่อสนับสนุนการผลิตภายในประเทศโดยผู้เล่นหลัก เช่น แอลจี เอนเนอร์จี โซลูชัน และฮุนได
แม้ว่าแบตเตอรี่ NMC จะผลิตจากนิกเกิล แมงกานีส และโคบอลต์ แต่ยังคงต้องการลิเทียมเพื่อให้สามารถทำงานได้ ลิเทียมทำหน้าที่เป็นองค์ประกอบหลักที่ทำให้ไอออนเคลื่อนที่ได้ ซึ่งมีความสำคัญต่อกระบวนการกักเก็บพลังงานในแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนทุกชนิด รวมทั้งแบตเตอรี่ NMC และแบตเตอรี่ลิเทียม-เหล็ก-ฟอสเฟต (LFP) ที่เป็นทางเลือกยอดนิยม
ปัจจุบันมีบริษัทอย่างน้อยสองแห่งในอินโดนีเซียที่กำลังผลิตหรือพัฒนาวัสดุแคโทดสำหรับแบตเตอรี่ LFP ได้แก่ พีที แอลบีเอ็ม เอนเนอร์จี บารู อินโดนีเซีย (PT LBM Energi Baru Indonesia) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเจียงซู โลพัล เทค (Jiangsu Lopal Tech)และ พีที โกชั่น กรีน เอนเนอร์จี โซลูชันส์ อินโดนีเซีย (PT Gotion GreenEnergy Solutions Indonesia)
กระทรวงพลังงานยังสั่งให้บริษัทโฮลดิ้งเหมืองแร่ของรัฐ มายด์ ไอดี (MIND ID)ดำเนินการสำรวจแหล่งสำรองลิเทียมในเขตเหนือของออสเตรเลีย
นายตรี วินาร์โน อธิบดีเหมืองถ่านหินและแร่ของกระทรวงพลังงาน กล่าวว่ารัฐบาลอินโดนีเซียได้ลงนามในสัญญาการพัฒนาระบบนิเวศแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้ากับรัฐบาลเขตเหนือเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมา
เขาได้เร่งให้มายด์ ไอดี ดำเนินการอย่างรวดเร็วเพื่อจัดตั้งช่องทางการสื่อสารและดำเนินความร่วมมือทวิภาคีดังกล่าว
ความคิดเห็นจากสำนักงานฯ
รัฐบาลอินโดนีเซียยังคงเร่งเดินหน้าค้นหาแหล่งสำรองลิเทียมภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง แม้ปัจจุบันยังไม่มีการค้นพบแหล่งลิเทียมที่ยืนยันแล้วในเชิงพาณิชย์ โดยเน้นการสำรวจพื้นที่ในจังหวัดชวากลางร่วมกับบริษัทเอรามัตจากฝรั่งเศส เพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้า ซึ่งขณะนี้อินโดนีเซียนำเข้าลิเทียมจากออสเตรเลียประมาณ 80,000 ตันต่อปี สำหรับใช้ในอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้า โดยเฉพาะในเขตอุตสาหกรรมโมโรวาลี ทั้งนี้ อินโดนีเซียแม้จะมีความอุดมสมบูรณ์ในแร่ธาตุสำคัญอย่างนิกเกิล โคบอลต์ และแมงกานีส แต่กลับยังไม่มีแหล่งลิเทียมภายในประเทศ จึงทำให้เกิดช่องว่างในห่วงโซ่อุตสาหกรรมแบตเตอรี่ รัฐบาลจึงพยายามเสริมสร้างความมั่นคงทางทรัพยากร ด้วยการสำรวจเพิ่มเติมในประเทศ และขยายความร่วมมือกับออสเตรเลียและจีน รวมถึงให้บริษัทของรัฐอย่าง MIND ID ดำเนินความร่วมมือกับเขตเหนือของออสเตรเลียเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดหาลิเทียมในภูมิภาคใกล้เคียง กลยุทธ์เหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายพัฒนาอุตสาหกรรมภายในประเทศแบบครบวงจร และการเสริมความสามารถของอินโดนีเซียในการเป็นศูนย์กลางการผลิตแบตเตอรี่และยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคอาเซียนในอนาคต