ภาพรวมอุตสาหกรรม
สินค้า Wearable Technology หรือ Wearable AI คือ เทคโนโลยีหรืออุปกรณ์ที่ออกแบบมาเพื่อสวมใส่บนร่างกาย โดยใช้ประโยชน์จากปัญญาประดิษฐ์และเทคโนโลยีในการช่วยเก็บข้อมูล ให้สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่น ๆ เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูล ติดตามการเคลื่อนไหว และแสดงผลข้อมูลต่างๆ ได้ ตัวอย่างเช่น นาฬิกาอัจฉริยะ สายรัดข้อมือเพื่อสุขภาพ แว่นตา/หูฟังอัจฉริยะ รวมถึง ป้ายห้อยคอและเสื้อผ้าอัจฉริยะ สำหรับตลาด Wearable Technology ในสหรัฐอเมริกาในปี 2024 มีมูลค่าประมาณ 2.3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐและคาดว่าจะเติบโตในอัตราเฉลี่ย (CAGR) ที่ 12.2% ต่อปีระหว่างปี 2025–2030 โดยจะมีมูลค่าประมาณ 4.75 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2030 ในขณะที่ตลาด Wearable Technology ทั่วโลก มีมูลค่าประมาณ 8.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ และคาดว่าจะขยายตัวอย่างรวดเร็วไปแตะระดับ 1.86 แสนล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2030
สถานการณ์อุตสาหกรรมเทคโนโลยีสวมใส่ในสหรัฐฯ ปี 2024
ปี 2024 นับเป็นปีที่อุตสาหกรรม Wearable Technology ในสหรัฐฯ เข้าสู่ช่วงของการเติบโตอย่างมั่นคง โดยเฉพาะกลุ่มอุปกรณ์ Wearable Technology ที่ใช้ในการดูแลสุขภาพ ซึ่งอุปกรณ์เหล่านี้สามารถตรวจจับชีพจร วัดออกซิเจนในเลือด และติดตามคุณภาพการนอนได้ โดยผู้ผลิตรายใหญ่ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ที่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพล่วงหน้าเพื่อป้องกันโรคและยังมีการขยายตลาดไปยังผู้ใช้งานเฉพาะกลุ่ม เช่น นักกีฬา ผู้ป่วยเรื้อรัง และผู้สูงอายุ อุปกรณ์ Wearable Technology กำลังกลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบสุขภาพดิจิทัลที่ครบวงจร ซึ่งเชื่อมต่อกับแพทย์ โรงพยาบาล และแอพสุขภาพต่างๆ
ปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโต
ตลาด Wearable Technology สหรัฐฯ เติบโตอย่างต่อเนื่องจากปัจจัยดังต่อไปนี้
ผู้บริโภคชาวอเมริกันหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้นและต้องการติดตามข้อมูลสุขภาพของตนเองในทันที
ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีเซ็นเซอร์และหน้าจอ ที่สามารถพัฒนาให้มีขนาดเล็กและล้ำสมัย ทำให้ผลิตภัณฑ์มีขนาดกะทัดรัดและสามารถใช้งานได้หลากหลาย
การเชื่อมต่ออุปกรณ์ Wearable Technology กับอุปกรณ์อัจฉริยะอื่นๆ เช่น มือถือหรือแล๊ปท็อป ได้อย่างไร้รอยต่อ ทำให้ผู้บริโภคสามารถติดตามข้อมูลได้แบบเรียลไทม์และเฉพาะบุคคล
การนำ Augmented Reality (AR) และ Virtual Reality (VR) มาใช้กับอุปกรณ์ Wearable Technology เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานที่สมจริง
ฟังก์ชันที่เพิ่มขึ้นของอุปกรณ์ Wearable Technology ทำให้ใช้งานได้ในวงกว้าง ขยายการใช้งานไปสู่ภาคสุขภาพ ภาคธุรกิจ และการออกกำลังกาย เช่น อุปกรณ์สมาร์ทวอชรองรับการชำระเงินแบบไม่ต้องสัมผัส
ข้อมูลเชิงลึกด้านผลิตภัณฑ์
กลุ่มสินค้า Wearable Technology ที่ครองตลาดหลัก ได้แก่ อุปกรณ์สวมใส่ประเภทข้อมือ เช่น สมาร์ทวอชและFitness Tracker สินค้ากลุ่มนี้มีสัดส่วนรายได้มากกว่า 58% ของตลาดทั้งหมด ความนิยมดังกล่าวมาจากความต้องการของผู้บริโภคในการดูแลสุขภาพและติดตามกิจกรรมการออกกำลังกายของตน และความสามารถที่เพิ่มขึ้นของสมาร์ทวอชเองในการเชื่อมต่อกับมือถืออย่างมีประสิทธิภาพ การใช้สมาร์ตวอทช์ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่การส่งข้อความหรือรับการแจ้งเตือนอีกต่อไป แต่ยังกลายเป็นเครื่องมือที่ช่วยติดตามสุขภาพส่วนบุคคล ใช้โทรศัพท์ ควบคุมการเล่นเพลง และให้ข้อมูลเกี่ยวกับการออกกำลังกาย กีฬา และกิจกรรมประจำวันได้อย่างครอบคลุม นอกจากนี้ ยังมีการนำสมาร์ทวอชมาประยุกต์ใช้ในการดูแลเด็ก เช่น การติดตามตำแหน่งและพฤติกรรมรายวัน
การพัฒนาเซ็นเซอร์ให้มีความแม่นยำมากขึ้นและอายุการใช้งานแบตเตอรี่ก็ส่งผลให้อุปกรณ์อย่าง Apple Watch ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง โดย Apple Watch มีฟังก์ชันการตรวจวัดคลื่นหัวใจ ปริมาณออกซิเจนในเลือด และการติดตามคุณภาพการนอนหลับซึ่งตอบโจทย์ผู้บริโภคกลุ่มใส่ใจสุขภาพทั่วโลก
แบรนด์ชั้นนำอย่าง Samsung มีบทบาทสำคัญในการผลักดันตลาดอุปกรณ์สวมใส่ประเภทข้อมือ ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมทั้งกลุ่มลูกค้าระดับเริ่มต้นและระดับพรีเมียม เช่น Galaxy Watch Ultra และ Galaxy Fit 3 ในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2024 Samsung ขายอุปกรณ์สวมใส่ประเภทข้อมือได้มากกว่า 11.5 ล้านชิ้น ซึ่งสะท้อนถึงการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค และการวางตำแหน่งทางการตลาดที่ครอบคลุมหลากหลายกลุ่มเป้าหมาย
กลุ่มผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น อาทิ แว่นตาอัจฉริยะ หูฟังอัจฉริยะ และ Smart Textiles โดยเฉพาะแว่นตาอัจฉริยะซึ่งได้รับแรงผลักดันจากการพัฒนา AI เช่น แว่นตาอัจฉริยะรุ่น Wayfarer จาก Meta และ Rayban มียอดขายกว่า 2.6 ล้านชิ้นภายในเวลาไม่ถึง 2 ปี และคาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 50% ต่อปี ไปจนถึงปี 2029
บริษัทชั้นนำในตลาด Wearable Technology ของสหรัฐฯ
บริษัทชั้นนำในตลาดสหรัฐฯ ได้แก่
Alphabet Inc. ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Google LLC โดยมีแบรนด์ Fitbit ภายใต้การบริหารของบริษัท ซึ่งผลิตและจัดจำหน่ายอุปกรณ์ Wearable Technology เช่น นาฬิกาอัจฉริยะและอุปกรณ์ติดตามสุขภาพ
Apple Inc. ก่อตั้งในปี 1976 ผลิตอุปกรณ์สมาร์ตโฟน คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต และอุปกรณ์ Wearable Technology เช่น AirPods และ Apple Watch โดยใช้ระบบปฏิบัติการ watchOS และยังมีบริการเสริม เช่น AppleCare และการบริการชำระเงินผ่าน Apple Watch
Garmin Ltd. เชี่ยวชาญด้านการผลิตและจัดจำหน่ายอุปกรณ์นำทางและอุปกรณ์สื่อสาร กลุ่มธุรกิจฟิตเนส
ของบริษัทจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายซึ่งออกแบบมาเพื่อการออกกำลังกายและเล่นกีฬาโดยเฉพาะ เช่น นาฬิกาสำหรับวิ่งและมัลติสปอร์ต นาฬิกาสำหรับปั่นจักรยาน อุปกรณ์ติดตามกิจกรรมการออกกำลังกายและสมาร์ทวอทช์ Garmin Connect และ Garmin Connect Mobile
บริษัทอื่นๆ ที่เริ่มเข้าสู่ตลาด ได้แก่
Nike Inc. จากธุรกิจจำหน่ายรองเท้ากีฬา Nike ได้เข้าสู่ธุรกิจ Wearable Technology โดยพัฒนาสินค้า เช่น อุปกรณ์ดิจิทัล แว่นตา นาฬิกา และอุปกรณ์กีฬา
Diffco เป็นบริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์ โดย Diffco มีความเชี่ยวชาญในการผลิตซอฟต์แวร์ที่ใช้กับอุปกรณ์ Wearable Technology ต่างๆ
Cala Health พัฒนาอุปกรณ์บำบัดโรค เช่น Cala kIQ สำหรับรักษาอาการสั่นของมือในผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมที่จะเปลี่ยนแปลงตลาดสุขภาพของสหรัฐฯ อย่างมีนัยสำคัญ
ช่องทางการจัดจำหน่าย
ช่องทางการจำหน่ายในสหรัฐอเมริกามีทั้งออนไลน์และออฟไลน์ โดยช่องทางออนไลน์เติบโตอย่างมากผ่านแพลตฟอร์ม e-commerce อย่าง Amazon, Apple Store และเว็บไซต์ของผู้ผลิตเอง ส่วนช่องทางออฟไลน์ยังคงมีบทบาทสำคัญ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการทดลองสินค้าก่อนตัดสินใจซื้อ อย่างไรก็ดี ในปี 2024 คาดว่าช่องทางออนไลน์จะมีสัดส่วนมากกว่า 50% ของยอดขายทั้งหมด จากความสะดวกในการสั่งซื้อและการโปรโมตผ่านโซเชียลมีเดีย
การขยายตลาดในกลุ่มสุขภาพ
อุปกรณ์ Wearable Technology กลายเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการดูแลสุขภาพในชีวิตประจำวันของคนอเมริกัน ทั้งนี้มีการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น ระบบวิเคราะห์การนอนหลับ เซนเซอร์วัดระดับน้ำตาล และเครื่องตรวจจับการหกล้มในผู้สูงอายุ แพลตฟอร์มอย่าง Fitbit Premium หรือ Apple Health+ ยังให้คำแนะนำสุขภาพเฉพาะบุคคลที่ต่อยอดจากข้อมูลที่อุปกรณ์เก็บไว้ กลุ่มโรงพยาบาลและคลินิกในสหรัฐฯ เริ่มใช้อุปกรณ์ Wearable Technology ในการติดตามผู้ป่วยนอกแบบ Telehealth มากขึ้น แนวโน้มนี้ส่งผลให้อุปกรณ์ Wearable Technology ไม่เป็นเพียงแค่ Gadget เท่านั้น แต่อาจเป็นเครื่องมือทางการแพทย์ในอนาคต
ข้อเสนอแนะของสคต. นิวยอร์ก
ตลาด Wearable Technology ในสหรัฐฯ มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในด้านสุขภาพ ไลฟ์สไตล์ และความบันเทิง ผู้ประกอบการไทยที่ต้องการเข้าสู่ตลาด Wearable Technology ในสหรัฐฯ ควรเน้นพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีความเฉพาะกลุ่ม เช่น กลุ่มสุขภาพผู้สูงอายุ กลุ่มกีฬา หรือกลุ่ม Telehealth การออกแบบที่โดดเด่น น้ำหนักเบา และวัสดุที่เหมาะกับสภาพอากาศของสหรัฐฯ จะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ผู้ประกอบการควรคำนึงถึงมาตรฐานและหลักฐานการทดสอบผลิตภัณฑ์รองรับ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค การร่วมมือกับแบรนด์ท้องถิ่น ผู้จัดจำหน่าย และนักกีฬาในสหรัฐฯ อาจเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครนิวยอร์ก
ข้อมูลอ้างอิง: Grand View Research