fb
เวียดนามลุยเพิ่มศักยภาพส่งออกปลานิล
โดย
Trann@ditp.go.th
ลงเมื่อ 15 สิงหาคม 2568 15:43
21

เนื้อข่าว 

การเยือนประเทศบราซิลของนาย Pham Minh Chinh นายกรัฐมนตรีเวียดนาม เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา นับเป็นการเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ของอุตสาหกรรมประมงเวียดนาม โดยเฉพาะการส่งออกปลานิล (Tilapia) หลังจากตลาดบราซิลเคยระงับการนำเข้าเป็นการชั่วคราวเนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับโรคไวรัส Tilapia Lake Virus (TiLV) ขณะนี้เริ่มมีสัญญาณบวกในการกลับมาเปิดตลาดอีกครั้ง ท่ามกลางแนวโน้มความต้องการบริโภคปลานิลในตลาดโลกที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นแรงผลักดันสำคัญต่อการยกระดับบทบาทของปลานิลเวียดนามในเวทีการค้าระหว่างประเทศ

image.png

ข้อมูลจากสมาคมผู้ผลิตและผู้ส่งออกอาหารทะเลเวียดนาม (Vietnam Association of Seafood Exporters and Producers: VASEP) ระบุว่า มูลค่าตลาดปลานิลโลกในปี 2567 อยู่ที่ 10,600 ล้านเหรียญสหรัฐ และคาดว่าจะขยายตัวสู่ 14,500 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2576 คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 3.52 ต่อปี โดยสหรัฐอเมริกายังคงเป็นผู้นำเข้ารายใหญ่ที่สุด ปริมาณราว 200,000 ตันต่อปี ขณะที่ปริมาณส่งออกจากจีนเริ่มชะลอตัวจากอุปสรรคทางการค้าและมาตรการภาษี ส่งผลให้โอกาสของผู้ส่งออกรายอื่นเพิ่มมากขึ้น ภาคประมงเวียดนามจึงเร่งปรับโครงสร้างการผลิตเพื่อใช้ประโยชน์จากสถานการณ์ดังกล่าว โดยในปี 2567 การส่งออกปลานิลของเวียดนามมีมูลค่าสูงถึง 41 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 138 จากปีก่อนหน้า และตลาดสหรัฐฯ เป็นแรงขับเคลื่อนหลักด้วยมูลค่า 19 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นเกือบเจ็ดเท่า ในไตรมาสแรกของปี 2568 ยังคงรักษาแนวโน้มการเติบโตได้ดี ด้วยมูลค่าเกือบ 14 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยตลาดสหรัฐฯ ครองสัดส่วนร้อยละ 46 รองลงมาคือรัสเซีย ตะวันออกกลาง ญี่ปุ่น และเบลเยียม

ความสำเร็จดังกล่าวเกิดจากการเลือกเพาะเลี้ยงพันธุ์ปลาที่มีความทนทานต่อสภาพแวดล้อม ใช้ระยะเวลาเพาะเลี้ยงสั้น ต้นทุนต่ำ และสอดคล้องกับแนวโน้มการบริโภคสมัยใหม่ ควบคู่ไปกับการนำเทคโนโลยีการปูผ้ายางหรือแผ่นวัสดุกันน้ำในบ่อเลี้ยง (Pond-liner technology) มาใช้เพื่อลดความเสี่ยงจากโรคและเพิ่มผลผลิต ปลานิลยังมีข้อได้เปรียบในด้านราคาที่เข้าถึงได้ง่าย แปรรูปสะดวก และสามารถตอบสนองความต้องการทั้งตลาดระดับพรีเมียมและตลาดแมส ทำให้เวียดนามมีศักยภาพที่จะยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันผ่านการลงทุนในด้านการเพาะพันธุ์ การเลี้ยง การแปรรูป และการพัฒนาตลาดอย่างครบวงจร

ด้วยภูมิอากาศแบบเขตร้อนที่มีอุณหภูมิคงที่ระหว่าง 27–32 องศาเซลเซียส และแหล่งน้ำผิวดินที่อุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขง เวียดนามสามารถเพาะเลี้ยงปลานิลได้ตลอดทั้งปี ทั้งนี้ ปลานิลใช้เวลาเพียง 5–6 เดือนเพื่อให้ได้ขนาดน้ำหนัก 600–800 กรัมซึ่งพร้อมสำหรับการจำหน่าย ปัจจุบัน พื้นที่เพาะเลี้ยงปลานิลอยู่ที่ประมาณ 30,000 เฮกตาร์ ผลิตได้ราว 300,000 ตันต่อปี และตั้งเป้าขยายพื้นที่สู่ 40,000 เฮกตาร์ ผลผลิต 400,000 ตันภายในปี 2573 พร้อมปรับปรุงคุณภาพพันธุ์และเพิ่มสัดส่วนการส่งออกสินค้าที่มีมูลค่าสูง

อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมปลานิลเวียดนามยังเผชิญข้อจำกัดด้านคุณภาพพันธุ์ที่ไม่สม่ำเสมอ การผสมพันธุ์ในสายเลือดใกล้ชิด (Inbreeding) ปริมาณเนื้อที่ได้จากการแล่มีสัดส่วนน้อย รวมถึงความเสี่ยงจากโรคไวรัส TiLV อีกทั้งยังต้องพึ่งพาวัตถุดิบอาหารสัตว์นำเข้า ทำให้ต้นทุนการผลิตสูง และโครงสร้างพื้นฐานยังไม่สมบูรณ์ นอกจากนี้ ตลาดสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปยังมีข้อกำหนดด้านความปลอดภัย การตรวจสอบย้อนกลับ และมาตรฐานความยั่งยืนที่เข้มงวด แม้จะมีสถานประกอบการกว่า 510 แห่งที่ได้รับสิทธิส่งออกปลานิล แต่ยังจำเป็นต้องลงทุนเพิ่มเติมในด้านพันธุ์ปลาที่มีคุณภาพสูงและต้านทานโรค เครื่องจักรตัดแต่งเนื้ออัตโนมัติ ผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการแปรรูปหรือพัฒนาต่อยอดจากวัตถุดิบดั้งเดิม และการพัฒนาฟาร์มให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล รวมถึงการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนเพื่อเพิ่มความโปร่งใสในซัพพลายเชน และการผลิตอาหารสัตว์ภายในประเทศเพื่อลดต้นทุนลงร้อยละ 15

ในด้านการตลาด จำเป็นต้องเสริมสร้างการประชาสัมพันธ์เชิงรุกผ่านการเข้าร่วมงานแสดงสินค้าด้านการประมงในสหรัฐฯ ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป และตะวันออกกลาง พร้อมใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรี เช่น EVFTA, RCEP และความตกลงอาเซียน–จีน เพื่อลดภาษีและขยายส่วนแบ่งตลาด ขณะเดียวกัน การกระจายชนิดสัตว์น้ำและรูปแบบการเพาะเลี้ยงให้สอดคล้องกับศักยภาพทางธรรมชาติของประเทศจะเป็นปัจจัยสำคัญในการเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันและประสิทธิภาพการผลิต โดยการเพาะเลี้ยงปลานิลควบคู่กับกุ้งน้ำกร่อยนอกจากจะช่วยให้ได้ผลผลิตคุณภาพสูงแล้ว ยังช่วยควบคุมโรคในกุ้ง ซึ่งถือเป็นข้อได้เปรียบในบริบทของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น และความเค็มของน้ำที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ การพัฒนาระบบการผลิตแบบบูรณาการผ่านความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการ เกษตรกร และสถาบันวิจัย จะเป็นรากฐานสำคัญให้ปลานิลก้าวสู่การเป็นสินค้าส่งออกที่มีศักยภาพสูงและเป็นหนึ่งในเสาหลักใหม่ของอุตสาหกรรมประมงเวียดนามในอนาคต

(แหล่งที่มา https://vietnamnews.vn/ ฉบับวันที่ 9 สิงหาคม 2568)

วิเคราะห์ผลกระทบ

ปลานิลเป็นปลาน้ำจืดเนื้อขาวที่มีรสชาติดี คุณค่าทางโภชนาการสูง และได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในตลาดโลกมากว่า 15 ปี โดยตั้งแต่ปี 2553 การบริโภคปลานิลทั่วโลกเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 5.4 ต่อปี และในปี 2567 ผลผลิตทั่วโลกแตะระดับ 7 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 จากปีก่อนหน้า แนวโน้มดังกล่าวสะท้อนถึงโอกาสทางการค้าให้แก่ประเทศผู้ผลิตและผู้ส่งออก รวมถึงเวียดนามซึ่งกำลังเร่งพัฒนาศักยภาพการผลิตเพื่อรองรับตลาดส่งออกที่ขยายตัว

สหรัฐอเมริกายังคงเป็นผู้นำเข้าปลานิลรายใหญ่ที่สุดของโลก โดยในปี 2567 มีการนำเข้ากว่า 178,000 ตัน มูลค่ารวม 802 ล้านเหรียญสหรัฐ แม้เวียดนามจะยังไม่ติดอันดับผู้ส่งออกหลักไปสหรัฐฯ แต่สหรัฐฯ ถือเป็นตลาดนำเข้าปลานิลสำคัญที่สุดของเวียดนาม โดยในไตรมาสแรกของปี 2568 มูลค่าส่งออกปลานิลไปสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 131 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และคิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของมูลค่าส่งออกปลานิลทั้งหมด หากเวียดนามสามารถขยายกำลังการผลิตและรักษามาตรฐานให้สอดคล้องกับข้อกำหนดเข้มงวดของตลาดสหรัฐฯ ก็มีโอกาสเพิ่มส่วนแบ่งตลาดและสร้างรายได้ส่งออกได้อย่างมีนัยสำคัญ

ในอดีต อุตสาหกรรมประมงเวียดนามมุ่งเน้นการพัฒนากุ้งและปลาสวายเป็นหลัก ทำให้ปลานิลไม่ได้รับการส่งเสริมอย่างเต็มที่ ทว่าภายใต้ยุทธศาสตร์การพัฒนาประมงถึงปี 2573 รัฐบาลได้กำหนดให้ปลานิลเป็นสัตว์น้ำเศรษฐกิจสำคัญที่ควรได้รับการสนับสนุนทั้งการเพาะเลี้ยงในบ่อและการใช้ประโยชน์จากแหล่งน้ำจืดธรรมชาติ เช่น อ่างเก็บน้ำ ทั้งนี้ คาดว่าในปี 2568 มูลค่าส่งออกประมงของเวียดนามจะอยู่ที่ประมาณ 10,500 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยปลานิลจะเป็นหนึ่งในสินค้าหลักร่วมกับกุ้งซึ่งคาดว่าจะสร้างรายได้ 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และปลาสวาย 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ การผลักดันปลานิลสู่ตลาดโลกไม่เพียงช่วยกระจายความเสี่ยง ลดการพึ่งพิงเพียงไม่กี่ชนิดสัตว์น้ำ แต่ยังสอดคล้องกับแนวโน้มผู้บริโภคที่ต้องการสินค้าราคาเหมาะสม มีคุณค่าทางโภชนาการ และผลิตอย่างยั่งยืน

ในระยะยาว หากเวียดนามสามารถยกระดับคุณภาพการผลิต ควบคู่กับการใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรี เช่น EVFTA, RCEP และ FTA อาเซียน–จีน เพื่อลดภาษีและขยายตลาด จะสร้างผลกระทบเชิงบวกอย่างมหาศาล ไม่เพียงเพิ่มมูลค่าการส่งออก แต่ยังสร้างการจ้างงาน กระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น และเสริมความมั่นคงด้านอาหารของประเทศ ปลานิลจึงมิใช่เพียงสินค้าเชิงพาณิชย์ที่มีศักยภาพสูง แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการยกระดับอุตสาหกรรมประมงเวียดนามสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต

นำเสนอโอกาส/แนวทาง

ปลานิลกำลังมีบทบาทเพิ่มขึ้นในเวทีการค้าโลก เนื่องจากเพาะเลี้ยงได้ในหลายภูมิภาค ใช้เวลาผลิตสั้น ต้นทุนแข่งขันได้ และตอบสนองความต้องการโปรตีนราคาจับต้องได้ซึ่งเพิ่มสูงขึ้นทั่วโลก ความนิยมนี้สร้างโอกาสให้แก่ผู้ผลิตทั้งรายใหญ่และผู้ประกอบการในอาเซียนที่มีความเชี่ยวชาญด้านการเพาะเลี้ยงการแปรรูป และการพัฒนาผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่ม โดยเวียดนามเป็นหนึ่งในประเทศที่เร่งพัฒนาอุตสาหกรรมปลานิลทั้งด้านการขยายพื้นที่เพาะเลี้ยง การเพิ่มกำลังการผลิต และการขยายมูลค่าส่งออกเพื่อตอบสนองตลาดสำคัญอย่างสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรปที่มีมาตรฐานคุณภาพเข้มงวด

โอกาสนี้เอื้อต่อการสร้างความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการไทยและเวียดนามในหลายรูปแบบ เช่น การร่วมทุน การผลิตแบบพันธมิตร หรือการรับซื้อวัตถุดิบเพื่อนำมาผสานกับจุดแข็งของไทยด้านเทคโนโลยีการแปรรูป มาตรฐานบรรจุภัณฑ์ และนวัตกรรมอาหาร กลยุทธ์ดังกล่าวช่วยเพิ่มมูลค่าสินค้า ขยายโอกาสสู่ตลาดที่มีมาตรฐานเข้มงวด และลดความจำเป็นในการลงทุนเพิ่มในขั้นตอนเพาะเลี้ยง ความร่วมมือยังสามารถขยายไปยังตลาดเกิดใหม่ เช่น ตะวันออกกลาง แอฟริกา และอเมริกาใต้ ซึ่งมีความต้องการโปรตีนราคาย่อมเยาเพิ่มขึ้น โดยการผนึกกำลังกันจะช่วยลดต้นทุนโลจิสติกส์ เพิ่มอำนาจต่อรอง และลดความเสี่ยงจากการแข่งขันตรงกับผู้ค้ารายใหญ่

                      แม้เวียดนามมีจุดแข็งด้านแหล่งน้ำจืด ระบบเพาะเลี้ยง และแรงงานต้นทุนต่ำ แต่ยังขาดความเชี่ยวชาญบางด้าน เช่น การพัฒนาสายพันธุ์ การควบคุมคุณภาพ และการแปรรูปขั้นสูง ช่องว่างเหล่านี้เป็นโอกาสที่ผู้ประกอบการไทยสามารถเข้าไปลงทุนหรือถ่ายทอดเทคโนโลยี ตั้งแต่การจัดตั้งโรงงานแปรรูป การปรับปรุงสายพันธุ์ ไปจนถึงการสร้างระบบตรวจสอบย้อนกลับ หากดำเนินกลยุทธ์อย่างเป็นระบบ ไทยจะไม่เพียงได้รับประโยชน์จากการเติบโตของเวียดนาม แต่ยังสามารถยกระดับบทบาทในห่วงโซ่อุปทานสินค้าประมงโลก สร้างความมั่นคงทางการค้า และเสริมศักยภาพการแข่งขันในระยะยาว

News 11 - 15 August - Vietnam’s tilapia exports-Edit.pdf
Share :
Instagram