วันที่ 1 สิงหาคม 2568 – สหรัฐอเมริกาได้ตกลงลดอัตราภาษีตอบโต้ (reciprocal tariff) สำหรับสินค้าบังกลาเทศจาก 35% เหลือ 20% หลังจากการเจรจาทางการค้าระหว่างรัฐบาลชั่วคราวของบังกลาเทศและสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. การปรับลดภาษีนี้มีผลบังคับใช้ในวันที่เจ็ดหลังจากการลงนามในคำสั่งบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยมีผลตั้งแต่เวลา 00:01 น. ตามเวลาตะวันออกของสหรัฐฯ (10:01 น. ตามเวลาบังกลาเทศ) และยกเว้นสินค้าที่อยู่ในระหว่างการขนส่งก่อนวันที่ 7 สิงหาคม และสินค้าที่เข้าสู่สหรัฐฯ ก่อนวันที่ 5 ตุลาคม
พัฒนาการของการเจรจาและบริบท
การลดภาษีครั้งนี้เป็นผลจากการเจรจาหลายรอบที่เริ่มต้นหลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศใช้ภาษีตอบโต้ในอัตรา 37% เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2568 โดยอ้างถึงความกังวลเกี่ยวกับการขาดดุลการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับหลายประเทศ รวมถึงบังกลาเทศ ต่อมาในวันที่ 9 เมษายน สหรัฐฯ ระงับการใช้ภาษีเป็นเวลา 3 เดือนเพื่อเปิดโอกาสให้เจรจา และเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม อัตราภาษีสำหรับบังกลาเทศถูกลดลงเหลือ 35% พร้อมกำหนดเส้นตายการเจรจาเพิ่มเติมถึงวันที่ 31 กรกฎาคม การเจรจารอบสุดท้ายเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม หลังจากที่บังกลาเทศยื่นเอกสารแสดงจุดยืนเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม โดยเปลี่ยนจากการประชุมออนไลน์เป็นการเจรจาแบบตัวต่อตัว ซึ่งนำไปสู่การตกลงลดภาษีเหลือ 20% อัตรานี้เทียบเท่ากับเวียดนามและศรีลังกา แต่ต่ำกว่าอินเดีย (25%) และจีน (30%)
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจบังกลาเทศ
อุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มสำเร็จรูป (RMG) ซึ่งมีมูลค่าการส่งออกไปยังสหรัฐฯ 8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อปี ได้รับประโยชน์โดยตรงจากการลดภาษีครั้งนี้ เนื่องจากช่วยลดต้นทุนสินค้าเมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่างจีนและอินเดีย อย่างไรก็ตาม ภาษีตอบโต้ 20% เมื่อรวมกับภาษีปกติ 15% ทำให้ภาระภาษีรวมอยู่ที่ 35% นอกจากนี้ กฎแหล่งกำเนิดสินค้า (RoO) ที่กำหนดให้มีการเพิ่มมูลค่าในท้องถิ่น 40% อาจทำให้ภาษีรวมสูงถึง 50% หากใช้วัตถุดิบจากประเทศที่สาม เช่น จีน ส่งผลให้ผู้ผลิตต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นและความท้าทายในการแข่งขันกับเวียดนาม ซึ่งมีข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับสหรัฐฯ
บังกลาเทศเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ มูลค่า 6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ส่งออก 8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นำเข้า 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญในการเจรจา รัฐบาลบังกลาเทศเสนอเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เช่น ข้าวสาลี 700,000 ตันต่อปี ฝ้าย ถั่วเหลือง เครื่องบินโบอิ้ง 25 ลำ และก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) เพื่อลดช่องว่างทางการค้า อย่างไรก็ตาม ข้อผูกพันเหล่านี้อาจเพิ่มภาระงบประมาณในระยะยาว
ความท้าทายจากผลการเจรจา
- ข้อผูกพันที่ไม่เปิดเผย การเจรจานี้รวมถึงข้อตกลงที่อยู่ภายใต้สัญญาการไม่เปิดเผยข้อมูล (NDA) ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อนโยบายสาธารณะของบังกลาเทศในอนาคต เช่น การควบคุมราคาในประเทศหรือการปกป้องอุตสาหกรรมท้องถิ่น
- การสูญเสียสถานะ LDC เมื่อบังกลาเทศพ้นจากสถานะประเทศพัฒนาน้อยที่สุด (LDC) ในปี 2569 จะสูญเสียสิทธิพิเศษทางการค้าในหลายตลาด การลดภาษีครั้งนี้จึงเป็นเพียงการบรรเทาชั่วคราว
- ความเสี่ยงต่อคำสั่งซื้อ สมาคมผู้ผลิตและผู้ส่งออกเครื่องนุ่งห่มแห่งบังกลาเทศ (BGMEA) เตือนว่าผู้ซื้อในสหรัฐฯ อาจลดคำสั่งซื้อในระยะสั้น เนื่องจากภาระภาษีที่ยังสูงอยู่ อย่างไรก็ตาม หากภาษีของจีนยังคงสูงกว่าบังกลาเทศ อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงคำสั่งซื้อจากจีนมาสู่บังกลาเทศ
การลดภาษีครั้งนี้บังกลาเทศมองว่าเป็นความสำเร็จของทีมเจรจา นำโดยที่ปรึกษาการค้า (เทียบเท่า รมว. กระทรวงพาณิชย์) เชค บาชีร์ อูดดิน พร้อมด้วยที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ คาลิลูร์ ราห์มาน และเลขานุการการค้า มหบูร์ ราห์มาน การเจรจานี้ไม่เพียงช่วยรักษาความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรม RMG แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณถึงความสามารถของรัฐบาลชั่วคราวในการจัดการกับมหาอำนาจทางการค้า อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้บังกลาเทศเร่งปฏิรูปโครงสร้าง เช่น การกระจายสินค้าส่งออก ลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ และพัฒนาอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเพิ่ม เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนผ่านจากสถานะ LDC และความผันผวนของนโยบายการค้าสหรัฐฯ
ที่มาข่าว/ภาพ https://www.tbsnews.net