เนื้อข่าว
ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 รัฐบาลเวียดนามจะเริ่มบังคับใช้กฎหมายภาษีชุดใหม่อย่างเป็นทางการ ซึ่งถือเป็นการปฏิรูประบบภาษีครั้งสำคัญ ทั้งในแง่ของโครงสร้างและกระบวนการบริหารจัดเก็บ โดยมีการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายภาษีหลายฉบับ ได้แก่ กฎหมายภาษีมูลค่าเพิ่มฉบับแก้ไข (The revised Law on Value-Added Tax: VAT) กฎหมายภาษีเงินได้นิติบุคคล (Law on Corporate Income Tax) กฎหมายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (Law on Personal Income Tax) และกฎหมายภาษีสรรพสามิต (Law on Special Consumption Tax) การปรับปรุงครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อยกระดับความเป็นธรรม ประสิทธิภาพ และความโปร่งใสของระบบภาษีทั่วประเทศ
หนึ่งในเปลี่ยนแปลงที่สำคัญภายใต้กฎหมายภาษีมูลค่าเพิ่มฉบับแก้ไข คือ การบังคับให้ใช้วิธีชำระเงินแบบไม่ใช้เงินสดสำหรับการขอคืนภาษี VAT โดยไม่จำกัดวงเงิน แม้การซื้อขายจะมีมูลค่าต่ำกว่า 20 ล้านเวียดนามด่ง หรือประมาณ 770 เหรียญสหรัฐ ผู้ประกอบการก็ต้องแสดงหลักฐานการชำระเงินผ่านธนาคารหรือระบบดิจิทัลเพื่อขอคืนภาษีได้ ซึ่งแตกต่างจากกฎเดิมที่กำหนดเกณฑ์ขั้นต่ำไว้ก่อน การเปลี่ยนแปลงนี้มีเป้าหมายเพื่อสกัดการออกใบกำกับภาษีปลอม เพิ่มความโปร่งใสในระบบ และช่วยสร้างประวัติทางการเงินที่ชัดเจนให้กับผู้ค้ารายย่อย ซึ่งจะส่งผลดีในระยะยาวต่อการเข้าถึงสินเชื่อและบริการทางการเงิน
อีกหนึ่งมาตรการที่ส่งเสริมผู้ประกอบการรายย่อย คือ การปรับเกณฑ์รายได้ขั้นต่ำของธุรกิจครัวเรือนและบุคคลธรรมดาที่ต้องเสีย VAT และภาษีเงินได้ โดยตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป ผู้มีรายได้ไม่เกิน 200 ล้านเวียดนามด่งต่อปี จะได้รับการยกเว้นภาษี ซึ่งจะช่วยลดภาระและขั้นตอนทางภาษี เปิดโอกาสให้ธุรกิจขนาดเล็กสามารถนำรายได้กลับไปลงทุนเพื่อขยายกิจการต่อได้สะดวกยิ่งขึ้น
ในขณะเดียวกัน กฎหมายภาษีมูลค่าเพิ่มฉบับแก้ไขยังได้ปรับปรุงรายการสินค้าและบริการที่ได้รับการยกเว้น VAT ปรับเกณฑ์ราคาสินค้านำเข้า และอัตราภาษีในหลายหมวดสินค้า เพื่อให้สอดคล้องกับมูลค่าทางเศรษฐกิจที่แท้จริง และส่งเสริมพฤติกรรมการบริโภคที่เหมาะสมในสังคม เช่น ปุ๋ย เครื่องจักรกลทางการเกษตร เรือประมงนอกชายฝั่ง บริการรับฝากหลักทรัพย์ และบริการในตลาดทุน ล้วนได้รับการยกเว้น VAT ส่วนสินค้าส่งออกที่ผลิตจากทรัพยากรธรรมชาติหรือแร่ จะได้รับการยกเว้นก็ต่อเมื่อระบุไว้ในบัญชีรายการของรัฐบาล นอกจากนี้ ยังมีการยกเว้น VAT สำหรับสินค้าที่นำเข้าเพื่อการช่วยเหลือด้านภัยพิบัติ การควบคุมโรคระบาด หรือภารกิจด้านมนุษยธรรมจากสงคราม
ในด้านการคำนวณ VAT สำหรับสินค้านำเข้า มีการปรับสูตรใหม่ โดยคำนวณจากมูลค่าศุลกากร รวมกับภาษีนำเข้า ภาษีสรรพสามิต ภาษีสิ่งแวดล้อม และภาษีอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ เพื่อสะท้อนต้นทุนจริงของสินค้าและลดช่องว่างในการหลีกเลี่ยงภาษี
อีกด้านที่ได้รับการจับตามองอย่างมากคือระบบภาษีสำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ซึ่งกำหนดให้แพลตฟอร์มอย่าง Shopee, Lazada และ Tiki ต้องทำหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายก่อนโอนเงินให้แก่ผู้ขาย โดยคำนวณตามอัตราที่กำหนด เช่น VAT ร้อยละ 1 สำหรับสินค้า ร้อยละ 5 สำหรับบริการ และร้อยละ 3 สำหรับบริการด้านการขนส่งหรือที่เกี่ยวข้องกับสินค้า ส่วนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผู้ขายในประเทศจะอยู่ที่ร้อยละ 0.5 สำหรับสินค้า ร้อยละ 2 สำหรับบริการ และร้อยละ 1.5 สำหรับการขนส่ง ขณะที่ผู้ขายต่างชาติจะถูกหักภาษีในอัตราร้อยละ 1 ร้อยละ 5 และร้อยละ 2 ตามลำดับ หากไม่สามารถระบุลักษณะของรายการได้อย่างชัดเจน ระบบจะเลือกใช้อัตราภาษีที่สูงที่สุด และผู้ขายยังต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีรายเดือน รวมถึงปรับยอดภาษีกรณีคำสั่งซื้อถูกยกเลิกหรือคืนเงิน มาตรการเหล่านี้ช่วยให้เกิดความเท่าเทียมระหว่างร้านค้าออนไลน์กับร้านค้าแบบดั้งเดิมที่อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ภาษีมาโดยตลอด
นอกจากนี้ การบริหารจัดการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดายังได้รับการปรับปรุงครั้งใหญ่ โดยตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป จะยกเลิกการใช้รหัสผู้เสียภาษีเดิม (Personal tax codes) และใช้หมายเลขประจำตัวประชาชน 12 หลักแทน ซึ่งเป็นเลขที่อยู่บนบัตรประชาชนของประชาชนทุกคน หมายเลขนี้จะใช้ในการยื่นแบบภาษี ชำระภาษี และขอคืนภาษีทั้งหมด การเชื่อมโยงข้อมูลภาษีกับฐานข้อมูลประชากร ระบบประกันสังคม ข้อมูลการใช้ที่ดิน และข้อมูลจากธนาคาร จะช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถใช้เทคโนโลยีข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ในการตรวจจับความเสี่ยงและการเลี่ยงภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
อย่างไรก็ดี รัฐบาลได้ชี้แจงข้อกังวลของประชาชนเกี่ยวกับการโอนเงินเข้าบัญชีส่วนตัวว่า “ไม่ได้หมายความว่าทุกธุรกรรมจะต้องเสียภาษี” โดยรายได้ประเภทที่ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ได้แก่ ของขวัญจากญาติใกล้ชิด มรดก รายได้จากการขายทรัพย์สินเพียงครั้งเดียว ดอกเบี้ยจากเงินฝาก รายได้จากประกัน เงินชดเชย ตลอดจนรายได้จากกิจกรรมเกษตรกรรมหรือประมง แม้จะไม่มีการตรวจสอบธุรกรรมในทุกบัญชี แต่เจ้าหน้าที่จะดำเนินการตรวจเฉพาะในกรณีที่มีสัญญาณของการเลี่ยงภาษี โดยเฉพาะกรณีที่มีรายได้สูงผิดปกติ แต่ไม่มีใบกำกับภาษีหรือไม่ยื่นรายงานรายได้
ตัวอย่างที่เป็นข่าว คือ กรณีของ “Cún Bông” หรือ Vũ Nam Phương อินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง ที่รายงานรายได้เพียง 5,000 ล้านเวียดนามด่งในปี 2566 แต่เจ้าหน้าที่ตรวจพบว่ารายได้จริงเกินกว่า 120,000 ล้านเวียดนามด่ง ปัจจุบันเธออยู่ระหว่างการสอบสวนทางอาญาในข้อหาทุจริตบัญชีและเลี่ยงภาษี ซึ่งกรณีนี้ถือเป็นสัญญาณเตือนที่ชัดเจนสำหรับผู้มีรายได้จากช่องทางออนไลน์ ให้ปฏิบัติตามกฎหมายภาษีอย่างเคร่งครัด เพื่อหลีกเลี่ยงความผิดทางกฎหมายในอนาคต
(แหล่งที่มา https://vietnamnews.vn/ ฉบับวันที่ 30 มิถุนายน 2568)
วิเคราะห์ผลกระทบ
ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป รัฐบาลเวียดนามจะเริ่มบังคับใช้กฎหมายภาษีชุดใหม่อย่างเป็นทางการ ซึ่งนับเป็นการปฏิรูปเชิงโครงสร้างที่สำคัญของระบบภาษีในประเทศ ครอบคลุมทั้งภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และกลไกการจัดเก็บภาษีในภาคเศรษฐกิจดิจิทัล การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างระบบภาษีที่มีความเป็นธรรม โปร่งใส และมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อส่งเสริมบรรยากาศทางธุรกิจและเสถียรภาพทางการคลัง ซึ่งจะเอื้อประโยชน์ต่อทั้งรัฐและภาคเอกชนในระยะยาว
หนึ่งในมาตรการเด่น คือ การบังคับใช้ระบบการชำระเงินแบบไม่ใช้เงินสดในการหักภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยแม้แต่ธุรกรรมที่มีมูลค่าต่ำก็ต้องแสดงหลักฐานการชำระผ่านระบบธนาคารหรือระบบดิจิทัล ซึ่งนโยบายนี้มีเป้าหมายเพื่อป้องกันการออกใบแจ้งหนี้ปลอม เสริมสร้างวินัยทางการเงิน และส่งเสริมความโปร่งใสในห่วงโซ่ธุรกรรม แม้ว่าผู้ค้ารายย่อยหรือผู้ขายในตลาดดั้งเดิมอาจต้องปรับตัวในระยะเริ่มต้น แต่ในระยะยาวจะช่วยให้พวกเขาสร้างประวัติการเงินที่น่าเชื่อถือ ซึ่งจะเอื้อต่อการเข้าถึงแหล่งทุนหรือสินเชื่อจากระบบการเงินอย่างเป็นทางการ
นอกจากนี้ รัฐบาลได้เปลี่ยนมาใช้ “เลขประจำตัวประชาชน” 12 หลัก แทนรหัสผู้เสียภาษีบุคคลธรรมดา เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลภาษีกับฐานข้อมูลประชากร ประกันสังคม ข้อมูลที่ดิน และบัญชีธนาคาร การปรับเปลี่ยนนี้ไม่เพียงช่วยเพิ่มความแม่นยำในการบริหารจัดเก็บภาษี แต่ยังเปิดทางให้รัฐสามารถใช้เทคโนโลยี Big Data ในการวิเคราะห์พฤติกรรมผู้เสียภาษี และตรวจจับการหลีกเลี่ยงภาษีหรือธุรกรรมผิดปกติได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ถือเป็นก้าวสำคัญของเวียดนามสู่การบริหารภาษีสมัยใหม่ที่เน้นการใช้ข้อมูลเป็นฐาน
ในด้านเศรษฐกิจดิจิทัล รัฐบาลได้กำหนดให้แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ เช่น Shopee, Lazada และ Tiki ต้องทำหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายก่อนโอนเงินให้แก่ผู้ขาย โดยกำหนดอัตราภาษีที่แตกต่างกันตามประเภทสินค้าและบริการ แนวทางนี้ไม่เพียงแต่เพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษีจากภาคเศรษฐกิจออนไลน์ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ยังช่วยลดความเหลื่อมล้ำในการเสียภาษีระหว่างผู้ค้าบนแพลตฟอร์มดิจิทัลกับผู้ค้ารายย่อยหรือร้านค้าแบบดั้งเดิม ซึ่งต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านภาษีมาโดยตลอด
อีกด้านหนึ่ง มาตรการลดภาษีมูลค่าเพิ่มจากร้อยละ 10 เหลือร้อยละ 8 สำหรับบางกลุ่มธุรกิจ ได้รับการออกแบบมาเพื่อบรรเทาภาระของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์เศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา มาตรการนี้ไม่เพียงช่วยลดต้นทุนให้กับภาคธุรกิจ แต่ยังมีผลในการกระตุ้นการบริโภค เพิ่มกระแสเงินหมุนเวียน และสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศอย่างมีนัยสำคัญ
การปฏิรูประบบภาษีในครั้งนี้ ยังมีนัยสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ในระดับมหภาค โดยถือเป็นสัญญาณเชิงบวกต่อภาคธุรกิจ นักลงทุน และพันธมิตรการค้าทั้งในและต่างประเทศ ความชัดเจน โปร่งใส และเสถียรภาพของนโยบายภาษี ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ และส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว ทั้งนี้ เวียดนามยังส่งสารที่ชัดเจนว่าพร้อมจะสนับสนุนภาคเอกชนผ่านกรอบนโยบายที่ยืดหยุ่น ทันสมัย และตอบโจทย์ความเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลกในยุคดิจิทัล
ท่ามกลางการเปลี่ยนผ่านของโครงสร้างเศรษฐกิจโลก ความสามารถในการพัฒนาระบบภาษีให้สอดรับกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและพลวัตของเศรษฐกิจดิจิทัล จะเป็นปัจจัยชี้ขาดที่กำหนดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว เวียดนามจึงเดินหน้าอย่างจริงจังในการยกระดับระบบภาษีให้มีความทันสมัย ยืดหยุ่น และตอบสนองต่อทั้งความต้องการของรัฐและภาคธุรกิจได้อย่างสมดุล
นำเสนอโอกาส/แนวทาง
การประกาศใช้กฎหมายภาษีฉบับใหม่ของเวียดนามตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 เปิดโอกาสสำคัญให้ผู้ประกอบการไทยสามารถขยายธุรกิจและเสริมบทบาทในตลาดเวียดนามได้มากขึ้น โดยเฉพาะในด้านเทคโนโลยีการเงินและบริการดิจิทัล การบังคับใช้ระบบชำระเงินแบบไร้เงินสดในการขอคืน VAT แม้ในธุรกรรมมูลค่าต่ำ จะเร่งให้ผู้บริโภคและธุรกิจเวียดนามเข้าสู่ระบบการเงินดิจิทัลอย่างจริงจัง ผู้ประกอบการไทยที่มีจุดแข็งด้าน Fintech แอปพลิเคชันกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ หรือระบบ E-payment สามารถใช้จังหวะนี้ในการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่สอดรับกับนโยบายรัฐเวียดนาม ขณะเดียวกัน การยกเว้น VAT สำหรับสินค้าจำเป็น เช่น ปุ๋ย เครื่องจักรเกษตร และบริการด้านหลักทรัพย์ ยังเปิดโอกาสให้ผู้ส่งออกไทยในกลุ่มสินค้าเกษตรอุตสาหกรรมและบริการสนับสนุนสามารถเจาะตลาดเวียดนามได้ด้วยต้นทุนที่แข่งขันได้มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการไทยต้องเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการปรับระบบบัญชีให้สอดคล้องกับข้อกำหนดด้านภาษีใหม่ การทำความเข้าใจอัตราภาษีที่เปลี่ยนแปลงในแต่ละหมวดสินค้า รวมถึงการดำเนินธุรกิจผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซภายใต้ระบบหักภาษี ณ ที่จ่าย ซึ่งมีผลต่อการรับชำระเงินและการบริหารรายได้อย่างมีนัยสำคัญ การใช้เลขประจำตัวประชาชนในการเชื่อมโยงข้อมูลภาษีก็สะท้อนถึงทิศทางของเวียดนามในการสร้างระบบภาษีที่โปร่งใสและเข้มงวดมากขึ้น ผู้ประกอบการไทยที่สามารถปรับตัวได้เร็วและเข้าใจโครงสร้างตลาดเวียดนามอย่างลึกซึ้ง จะสามารถใช้การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เป็นโอกาสในการขยายธุรกิจ ลงทุนระยะยาว และเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับเวียดนามได้อย่างยั่งยืน