fb
ผลที่ตามมาจากวิกฤติพลังงานที่เคยเกิดขึ้นในอดีต
โดย
thanith@ditp.go.th
ลงเมื่อ 31 ตุลาคม 2568 14:08
14

ปัจจุบันเยอรมนีก็ยังคงเผชิญหน้ากับปัญหาราคาพลังงานที่สูงขึ้นต่อเนื่อง จากวิกฤตการณ์ขาดแคลนก๊าซธรรมชาติตั้งแต่ปี 2022 ซึ่งส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขัน (Competitiveness) ของอุตสาหกรรมที่ต้องใช้พลังงานสูง ที่ได้รับผลกระทบ/ความเสียหายอย่างถาวร โดยเรื่องกล่าวมาทั้งหมดนี้ เป็นส่วนหนึ่งของประเด็นสำคัญที่ระบุในรายงานการวิจัยของศูนย์วิจัยเศรษฐกิจยุโรป (ZEW – Zentrum für Europäische Wirtschaftsforschung) ที่ตั้งอยู่ในเมือง Mannheim ฉบับล่าสุด โดยนาย Friedrich Heinemann นักเศรษฐศาสตร์จาก ZEW เห็นว่า การอุดหนุนราคาไฟฟ้าไม่ได้เป็นวิธีแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน จึงแนะนำให้รัฐบาลกลางลดค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการจัดเตรียมพลังงานไฟฟ้าให้เพียงพอกับความต้องการที่อาจจะเกิดขึ้น โดยมูลนิธิเพื่อธุรกิจครอบครัวเป็นผู้มอบหมายให้จัดศูนย์วิจัยฯ ทำรายงานฉบับนี้ขึ้นมา และสำนักข่าว Handelsblatt ได้รับรายงานฉบับนี้สำหรับเผยแพร่ให้สาธารณชนได้รับทราบต่อไป ซึ่งในรายงานฉบับนี้ ZEW ได้จัดลำดับราคาพลังงานและการพึ่งพาการนำเข้าพลังงานของ 21 ประเทศ ครอบคลุมทั้งเยอรมนี และประเทศอื่น ๆ ในยุโรป รวมถึงญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และแคนาดา มาเปรียบเทียบกัน ผลการศึกษาพบว่า ราคาไฟฟ้าและก๊าซของประเทศยุโรปส่วนใหญ่ “ยังคงสูงกว่าระดับก่อนเกิดวิกฤตการณ์อย่างมีนัยสำคัญ” ในส่วนราคาไฟฟ้าสำหรับผู้บริโภคในอุตสาหกรรมขนาดกลางของเยอรมนีอยู่ในอันดับ “กลาง” อย่างไรก็ตาม ระดับกลางนี้ก็ยัง “สูงกว่าอเมริกาเหนือค่อนข้างมาก” เมื่อพูดถึงระดับราคาก๊าซในอุตสาหกรรม เรียกได้ว่า ราคาก๊าซฯ ของเยอรมันอยู่สูงเป็นลำดับที่ 3 ของยุโรป ผู้เขียนงานวิจัยระบุว่า “ช่องว่าง (Gap) ของราคาก๊าซระหว่างฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกกับฝั่งยุโรปต่างกันมาก แม้แต่ราคาก๊าซที่ถูกที่สุดในยุโรปก็ยังมีราคาสูงกว่าราคาก๊าซในสหรัฐฯ หลายเท่าตัว”

ช่องว่างราคาที่กว้างขึ้นในแคนาดาและสหรัฐอเมริกา ราคาค่าไฟฟ้าแทบจะไม่เพิ่มขึ้นเลยในช่วงวิกฤต ในขณะที่ราคาแก๊สในสหรัฐอเมริกากลับลดลง ส่งผลให้ช่องว่างราคาพลังงานของภาคอุตสาหกรรมในเยอรมนีกับยุโรป และอเมริกาเหนือ กว้างขึ้นไปอีก ซึ่งเรื่องนี้ ถือว่าเป็นข้อเสียเปรียบด้านการแข่งขัน โดยผู้เขียนรายงานฉบับนี้ ยังได้ชี้ให้เห็นถึงการลดลงของการผลิตในอุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานสูงในเยอรมนี ในฤดูใบไม้ผลิปี 2025 อุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานสูงผลิตลดลงเกือบ 20% เมื่อเทียบกับปี 2022 นอกจากนี้รายงานดังกล่าวยังแสดงให้เห็นว่า การใช้พลังงานในอุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานสูง อาทิ อุตสาหกรรมเคมี และโลหะ ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ สาเหตุหนึ่งมาจากการปรับปรุงประสิทธิภาพ และการเสียโอกาสที่ไม่ได้ผลิตสินค้าบางรายการในเยอรมนีอีกต่อไป กระบวนการผลิตที่ใช้พลังงานสูงบางรายการถูกย้ายฐานการผลิตไปยังภูมิภาคอื่น ๆ ของโลก และทำให้ภาคอุตสาหกรรมที่ได้ผลกระทบในเยอรมนีทยอยหดตัวลง ส่งผลให้ “การจ้างงานในตำแหน่งงานที่มีผลิตภาพสูงในอุตสาหกรรมของเยอรมนีสูญหายไปอย่างถาวร” โดยมีรายงานเกี่ยวกับการปิดสายการผลิตติดต่อกันมาหลายเดือนแล้ว โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเคมีซึ่งเป็นภาคอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก ไม่กี่วันที่ผ่านมาบริษัท Ineos บริษัทเคมีภัณฑ์สัญชาติอังกฤษประกาศปิดโรงงาน 2 แห่งในเมือง Rheinberg ที่ตั้งอยู่บริเวณขอบภูมิภาค Ruhrgebiet โดย Ineos ระบุว่า ปัญหาต้นทุนพลังงานที่สูงเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้ต้องปิดโรงงานลง โดยนาย Stephen Dossett ซึ่งเป็น CEO ของ Ineos กล่าวว่า ยุโรปกำลังฆ่าอุตสาหกรรมของตัวเองให้ตายลงในขณะที่คู่แข่งในประเทศสหรัฐอเมริกา และจีนต่างก็ได้รับผลประโยชน์จากพลังงานราคาถูก ผู้ผลิตในยุโรปกลับถูกบีบให้ออกจากตลาด สารเคมีจากจีนก็มีราคาถูกมากเพราะมักจะผลิตจากน้ำมัน และก๊าซราคาถูกของรัสเซีย ในปีนี้ในเยอรมนีมีบริษัทเคมีมากถึง 6 แห่ง ที่ประกาศปิดโรงงานขนาดใหญ่เป็นการถาวร โดยพวกเขาอ้างถึงปัญหาต้นทุนพลังงานที่สูง ผู้เขียนรายงานระบุต่อว่า เป้าหมายของรัฐบาลเยอรมนีในยุคปัจจุบัน สำหรับการลดราคาไฟฟ้านั้นถูกมองว่า “ถูกต้องโดยพื้นฐาน” ปัจจุบันปัญหาราคาไฟฟ้าที่สูงไม่เพียงแต่ทำให้ความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมลดลงเท่านั้น แต่ยังเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการผลิตไฟฟ้าที่จำเป็นในอุตสาหกรรมที่ปัจจุบันต้องพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลด้วย อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนได้เรียกร้องให้รัฐบาลเยอรมนีไม่ควรให้การอุดหนุนราคาไฟฟ้า เพราะการกระทำเช่นนี้ “ไม่เป็นประโยชน์ในแง่ของนโยบายพลังงาน และไม่ยั่งยืนทางการคลัง” ของประเทศ โดยรัฐบาลกลางฯ ให้เงินอุดหนุนค่าไฟฟ้า อย่างเช่น จ่ายเงินอุดหนุน 6.5 พันล้านยูโร ให้แก่ผู้ประกอบการเครือข่ายสายส่งไฟฟ้า เพื่อลดค่าธรรมเนียมเครือข่ายไฟฟ้า นอกจากนี้เงินทุนด้านการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนไม่ได้จ่ายโดยผู้บริโภคไฟฟ้าอีกต่อไป แต่ได้รับการสนับสนุนจากงบประมาณของรัฐบาลกลาง โดยทั้งสองมาตรการนี้ มีค่าใช้จ่ายรวมกันมากกว่า 2 หมื่นล้านยูโรต่อปี โดย ZEW ได้แนะนำให้ลดต้นทุนระบบให้เหลือน้อยที่สุด ซึ่งอาจทำได้โดยการขยายเครือข่ายไฟฟ้าให้เร็วขึ้น รวมถึงการนำระบบดิจิทัลเข้ามาใช้และเพิ่มความยืดหยุ่นของระบบโดยรวม นักวิจัยแย้งว่า วิธีนี้จะช่วยลดต้นทุนในการจัดการปัญหาความแออัดในเครือข่ายไฟฟ้า ซึ่งมีมูลค่าหลายพันล้านยูโรต่อปี

เบื้องหลังของปัญหา จากการขยายเครือข่ายไฟฟ้าที่ดำเนินไปอย่างล่าช้า จึงไม่สามารถขนส่งไฟฟ้าจากภาคเหนือของประเทศไปยังภาคใต้ได้เพียงพอกับความต้องการ กังหันลมผลิตไฟฟ้าในภาคเหนือต้องปิดระบบเนื่องจากเครือข่ายไฟฟ้าไม่สามารถรองรับไฟฟ้าที่จำเป็นในภาคใต้ได้ ในขณะที่ ภาคใต้จำเป็นต้องเปิดโรงใช้โรงงานไฟฟ้าเพื่อให้มีความสมดุลในการผลิต และการบริโภคไฟฟ้าในภูมิภาคขึ้น โดยผู้เขียนรายงานยังได้ออกมาวิจัยวิพากษ์วิจารณ์ว่า การที่ผู้บริหารประเทศดำเนินการฝ่ายเดียวในระดับชาติ และข้อกำหนดทางเทคโนโลยี เช่น การออกกฎหมายยกเลิกการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหิน สิ่งเหล่านี้ไม่ได้นำไปสู่การลดการปล่อยมลพิษอย่างรวดเร็วตามระบบการค้าขายแลกเปลี่ยนแก๊สเรือนกระจก (Emissions Trading) ของสหภาพยุโรป เนื่องจากใบรับรองการปล่อยมลพิษที่หายไปจากระบบนั้น ถูกนำไปใช้ในที่อื่นแทน นอกจากนี้การดำเนินการฝ่ายเดียวของรัฐมักก่อให้เกิดต้นทุนสูง เช่น การจ่ายค่าชดเชยให้แก่ผู้ประกอบการโรงไฟฟ้า ดังนั้นจึงเป็นเรื่องน่ายินดี ที่รัฐบาลกลางชุดใหม่ไม่ได้ดำเนินการตามแผนของรัฐบาลชุดก่อนที่จะผลักดันการเลิกใช้ถ่านหินให้เร็วยิ่งขึ้นไปอีก ผู้เขียนรายงงานยังเห็นด้วยกับความตั้งใจที่จะเปิดกว้างให้ใช้งานระบบการดักจับและกักเก็บ CO นอกจากนี้ ผลการศึกษานี้ฟังดูเป็นไปในแง่ดีเกี่ยวกับคำถามที่ว่า นับตั้งแต่รัสเซียยุติการจัดส่งก๊าซธรรมชาติให้กับเยอรมนี ความเสี่ยงจากการนำเข้าพลังงานได้พัฒนาไปในทิศทางใด โดยในเยอรมนีการเติบโตของพลังงานหมุนเวียนมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงจากการนำเข้าดังกล่าวมาก โดยรายงงานยังระบุว่า ในเวลาเดียวกันการแยกตัวออกจากการนำเข้าพลังงานจากรัสเซียของยุโรปก็ “ไม่ได้ทำให้เกิดภาวะพึ่งพาแหล่งพลังงานที่ไม่แน่นอนจากภูมิภาคอื่นอย่างจริงจัง” แต่อย่างใด นาย Rainer Kirchdörfer ประธานคณะกรรมการมูลนิธิธุรกิจครอบครัว (Stiftung Familienunternehmen) กล่าวว่า ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเยอรมนีได้ดำเนินนโยบายพลังงานที่มีต้นทุนสูง ผมเชื่อมั่นว่า เราต้องใช้ประโยชน์จากแหล่งพลังงานทั้งในประเทศ และในยุโรปทั้งหมดก่อน” โดยเขากล่าวต่อว่า (1) การปรับปรุงสายอุปทานอย่างมีนัยสำคัญ (2) การรักษาความมั่นคงของสายอุปทาน และ (3) การอำนวยความสะดวกการใช้งานเทคโนโลยีด้านการดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อการอยู่รอดของรากฐานอุตสาหกรรมของเยอรมนี

 

จาก Handelsblatt 31 ตุลาคม 2568

 

Share :
Instagram