fb
ก่อนถึงเส้นตาย ยอดนำเข้าสหรัฐฯ พุ่ง ยอดขาดดุลขยาย
โดย
ลงเมื่อ 28 มิถุนายน 2568 11:17
31
เนื้อหาสาระข่าว: ดุลการค้าของสหรัฐอเมริกากับภูมิภาคเอเชียขาดดุลเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้นำเข้าเร่งนำเข้าสินค้าก่อนที่มาตรการ "ภาษีศุลกากรตอบโต้รายประเทศ" (reciprocal tariffs) ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะมีผลบังคับใช้ภายในกำหนดเวลา โดยข้อมูลที่เผยแพร่ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ระบุว่า เวียดนาม ไต้หวัน และไทย ต่างรายงานยอดการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนพฤษภาคม ขณะที่การส่งออกของเกาหลีใต้ก็อยู่ในระดับใกล้เคียงกับสถิติสูงสุดเมื่อเดือนที่แล้ว และมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่องในช่วงต้นเดือนมิถุนายน ตามข้อมูลที่เปิดเผยเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา สถิติที่พุ่งสูงดังกล่าวถือเป็นการสวนทางกับรูปแบบการค้าระหว่างประเทศในอดีต ซึ่งโดยปกติยอดการส่งออกจะเพิ่มขึ้นในช่วงปลายปี เมื่อผู้ผลิตในเอเชียเร่งส่งสินค้าไปยังสหรัฐฯ ก่อนช่วงวันหยุดเทศกาลคริสต์มาส อย่างไรก็ดี การขู่ประกาศใช้อากรนำเข้าชุดใหม่ของสหรัฐฯ ซึ่งจะเริ่มบังคับใช้ในต้นเดือนกรกฎาคม ได้กระตุ้นให้บริษัทต่าง ๆ เร่งขนส่งสินค้าให้ถึงสหรัฐอเมริกาโดยเร็วที่สุด ยอดส่งออกจากเวียดนามและไทยไปยังสหรัฐอเมริกาในเดือนพฤษภาคมเพิ่มขึ้นร้อยละ 35 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่การส่งออกจากไต้หวันเพิ่มขึ้นเกือบร้อยละ 90 การขยายตัวอย่างมากในครั้งนี้มีแนวโน้มที่จะสะท้อนให้เห็นในข้อมูลการค้าของสหรัฐฯ ที่จะประกาศในสัปดาห์นี้ และอาจสร้างความซับซ้อนในการเจรจาระหว่างรัฐบาลทรัมป์กับประเทศเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียเกี่ยวกับระดับอากรที่สหรัฐฯ จะกำหนดใช้ มูลค่าการขาดดุลการค้าของสหรัฐอเมริกาขยายตัวอย่างมากในปีนี้ เนื่องจากภาคธุรกิจพยายามรับมือกับการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของนโยบายอากรและการค้าของวอชิงตัน แม้ว่าการนำเข้ายาจากยุโรปจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและส่งผลต่อยอดขาดดุลดังกล่าว แต่ประเทศในภูมิภาคเอเชียยังคงเป็นกลุ่มที่มีส่วนร่วมต่อช่องว่างทางการค้าสูงสุด คาดการณ์ว่าดุลการค้าขาดดุลของสหรัฐฯ ในเดือนพฤษภาคมจะอยู่ที่ 91 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะทำให้ยอดขาดดุลสะสมในปี 2568 เพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 643 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ สูงกว่าสถิติเดิมในช่วงเดียวกันของปีที่มีการระบาดใหญ่ หากประธานาธิบดีทรัมป์ดำเนินการประกาศใช้อัตราอากรนำเข้าสูงเป็นประวัติการณ์กับประเทศต่าง ๆ ในเอเชียในช่วงต้นเดือนกรกฎาคมตามที่ได้ขู่ไว้ การส่งออกที่พุ่งสูงอาจกลับทิศอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของทั้งภูมิภาค เมื่อเดือนที่แล้ว องค์การความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (APEC) ได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของกลุ่มสมาชิก 21 ประเทศในปีนี้เหลือร้อยละ 2.6 ต่ำกว่าคาดการณ์เดิมที่ร้อยละ 3.3 เมื่อเดือนมีนาคม อันเป็นผลจากความตึงเครียดทางการค้า   ความผันผวนทางนโยบายได้ส่งผลต่อการค้ากับจีนโดยตรง โดยจีนมียอดการส่งออกไปสหรัฐฯ ลดลงในเดือนพฤษภาคม แม้สงครามการค้าจะมีการบรรลุข้อตกลงชะลอการตอบโต้ทางภาษี ณ กรุงเจนีวาช่วงกลางเดือนกันไปแล้วก็ตาม อย่างไรก็ดี ภาพรวมยังอาจไม่สมบูรณ์ เนื่องจากแม้จะมีการลดอากรตามข้อตกลงดังกล่าว แต่อัตราอากรนำเข้าของสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ผู้ส่งออกบางส่วนเลือกใช้วิธีส่งสินค้าผ่านประเทศที่สาม ซึ่งเรียกว่า “origin washing” ภาคธุรกิจจีนยังคงพยายามปรับโครงสร้างการส่งออก โดยหาตลาดใหม่ในต่างประเทศ รวมถึงเพิ่มยอดขายภายในประเทศ หากการส่งออกหดตัวลงอย่างต่อเนื่อง จะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีน ซึ่งขณะนี้ต้องพึ่งพาอุปสงค์จากต่างประเทศมากขึ้นเพื่อชดเชยการชะลอตัวในภาคอสังหาริมทรัพย์และการบริโภคภายในประเทศที่ซบเซา ประเทศอื่นในเอเชียอาจเผชิญผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในลักษณะเดียวกัน หากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกับสหรัฐฯ และหลีกเลี่ยงการถูกขึ้นอัตราอากรนำเข้าสูงได้ บทวิเคราะห์: ก่อนอื่นอยากให้พิจารณาลำดับระยะเวลาของคำสั่งให้ชัดเจน เพื่อเลี่ยงความสับสนจากการบังคับใช้ตามคำสั่งบริหารที่ 14257 นี้ ซึ่งจะแตกต่างกัน
วัน/เดือน/ปี นโยบายอากร/มาตรการที่บังคับใช้
5 เมษายน 2568 จัดเก็บอากรนำเข้าในอัตราร้อยละ 10 ของราคาศุลกากร (ad valorem) สำหรับสินค้าทุกประเภทที่นำเข้ามาในเขตศุลกากรของสหรัฐอเมริกา
9 เมษายน 2568
    • เดิมมีกำหนดให้เริ่มบังคับใช้อัตราอากรเฉพาะประเทศ (country-specific ad valorem rates) สำหรับสินค้านำเข้าจากประเทศคู่ค้าตามที่ระบุไว้ในภาคผนวก 1
    • ต่อมามีคำสั่งให้ระงับการบังคับใช้อัตราอากรเฉพาะประเทศดังกล่าวเป็นระยะเวลา 90 วัน โดยเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน 2568 เป็นต้นไป
    • ทั้งนี้ ไม่รวมถึงสินค้าที่อยู่ภายใต้มาตรการเฉพาะ (เช่น สินค้าจากสาธารณรัฐประชาชนจีนตามมาตรา 301 และสินค้าเหล็ก สินค้าอลูมิเนียมตามมาตรา 232) ซึ่งยังคงถูกจัดเก็บอากรตามมาตรการที่บังคับใช้อยู่แล้ว
9 กรกฎาคม 2568 กำหนดให้เริ่มบังคับใช้อัตราอากรเฉพาะประเทศ (country-specific ad valorem rates) สำหรับสินค้านำเข้าจากประเทศคู่ค้าตามที่ระบุในภาคผนวก 1 ซึ่งครอบคลุมสินค้าที่นำเข้าทั้งหมด เว้นแต่จะมีประกาศเป็นอย่างอื่น
พิจารณาจากคำสั่งดังกล่าวในมาตราที่ 3 วรรค (a) ระบุไว้ดังนี้
“เว้นแต่จะมีบทบัญญัติเป็นอย่างอื่นในคำสั่งนี้ ให้สินค้าทุกประเภทที่นำเข้ามาในเขตศุลกากรของสหรัฐอเมริกา ต้องอยู่ภายใต้อัตราอากรขาเข้าเพิ่มเติมตามมูลค่า ร้อยละ 10 ตามที่กฎหมายกำหนด โดยอัตราอากรดังกล่าวจะใช้บังคับกับสินค้าที่นำเข้าเพื่อบริโภค หรือนำออกจากคลังเพื่อบริโภค ตั้งแต่เวลา 00.01 นาฬิกา ตามเวลาภาคตะวันออกของสหรัฐอเมริกา ในวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2568 เป็นต้นไป เว้นแต่สินค้าที่ได้บรรทุกลงเรือ ณ ท่าเรือต้นทาง และอยู่ระหว่างการขนส่งในรูปแบบการขนส่งสุดท้ายก่อนเวลา 00.01 นาฬิกา ตามเวลาภาคตะวันออกของสหรัฐอเมริกา ในวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2568 และนำเข้าเพื่อบริโภคหรือถอนออกจากคลังเพื่อบริโภคหลังเวลา 00.01 นาฬิกา ดังกล่าว จะไม่อยู่ภายใต้อัตราอากรขาเข้าเพิ่มเติมนี้ นอกจากนี้ เว้นแต่จะมีบทบัญญัติเป็นอย่างอื่นในคำสั่งนี้ ตั้งแต่เวลา 00.01 นาฬิกา ตามเวลาภาคตะวันออกของสหรัฐอเมริกา ในวันที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2568 ให้สินค้าทุกประเภทจากประเทศคู่ค้าที่ระบุไว้ในภาคผนวก 1 ซึ่งนำเข้ามาในเขตศุลกากรของสหรัฐอเมริกา ต้องอยู่ภายใต้อัตราอากรขาเข้าตามมูลค่าของแต่ละประเทศตามที่ระบุไว้ในภาคผนวก 1 ของคำสั่งนี้ โดยอัตราอากรดังกล่าวจะใช้บังคับกับสินค้าที่นำเข้าเพื่อบริโภค หรือถอนออกจากคลังเพื่อบริโภค ตั้งแต่เวลา 00.01 นาฬิกา ตามเวลาภาคตะวันออกของสหรัฐอเมริกา ในวันที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2568 เป็นต้นไป เว้นแต่สินค้าที่ได้บรรทุกลงเรือ ณ ท่าเรือต้นทาง และอยู่ระหว่างการขนส่งในรูปแบบการขนส่งสุดท้ายก่อนเวลา 00.01 นาฬิกา ตามเวลาภาคตะวันออกของสหรัฐอเมริกา ในวันที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2568 และนำเข้าเพื่อบริโภคหรือถอนออกจากคลังเพื่อบริโภคหลังเวลา 00.01 นาฬิกา ดังกล่าว จะไม่อยู่ภายใต้อัตราอากรขาเข้าตามมูลค่าของแต่ละประเทศตามที่ระบุไว้ในภาคผนวก 1 ของคำสั่งนี้ โดยอัตราอากรขาเข้าตามมูลค่าของแต่ละประเทศดังกล่าวจะใช้บังคับกับสินค้าทุกประเภทที่นำเข้าภายใต้เงื่อนไขของข้อตกลงทางการค้าของสหรัฐอเมริกาที่มีอยู่ เว้นแต่จะมีบทบัญญัติเป็นอย่างอื่นในที่นี้”
ตามคำสังบริหารฉบับนี้ ขอยกตัวอย่างเพื่อให้ชัดเจนว่า หากสินค้าถูกขนส่งขึ้นเรือสินค้าที่จะวิ่งตรงมาเทียบท่าเรือสหรัฐฯ เพื่อส่งของก่อนวันที่ 5 และวันที่ 9 เมษายนตามลำดับจะยังไม่ต้องเสียภาษีทั้ง 2 กรณี แม้จะขนถ่ายของที่ท่าเรือสหรัฐฯ ภายหลังวันที่กำหนดว่าจะเริ่มเก็บภาษีทั้ง 2 กรณี โดยสำนักงานศุลกากรก็มีการกำหนดว่ากรณียกเว้นดังกล่าวไปได้จนถึงวันที่ 16 มิถุนายนที่ผ่านมา อ้างอิงจากคำสั่งบริหารที่ 14266 มาตราที่ 2 การระงับการบังคับใช้อัตราอากรตามมูลค่าเฉพาะประเทศ ระบุว่า
การบังคับใช้ย่อหน้าที่สองของมาตรา 3 (a) แห่งคำสั่งฝ่ายบริหารที่ 14257 ให้ระงับเป็นการชั่วคราว สำหรับสินค้าที่นำเข้าเพื่อบริโภค หรือถอนออกจากคลังเพื่อบริโภค ตั้งแต่เวลา 00.01 นาฬิกา ตามเวลาภาคตะวันออกของสหรัฐอเมริกา ในวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2568 จนถึงเวลา 00.01 นาฬิกา ตามเวลาภาคตะวันออกของสหรัฐอเมริกา ในวันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 ทั้งนี้ ตั้งแต่เวลา 00.01 นาฬิกา ตามเวลาภาคตะวันออกของสหรัฐอเมริกา ในวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2568 จนถึงเวลา 00.01 นาฬิกา ตามเวลาภาคตะวันออกของสหรัฐอเมริกา ในวันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 สินค้าทุกประเภทที่นำเข้ามาในเขตศุลกากรของสหรัฐอเมริกาจากประเทศคู่ค้าที่ระบุไว้ในภาคผนวก 1 แห่งคำสั่งฝ่ายบริหารที่ 14257 ให้ต้องอยู่ภายใต้อัตราอากรขาเข้าเพิ่มเติมตามมูลค่า ร้อยละ 10 ทั้งนี้ ให้อยู่ภายใต้ข้อยกเว้นที่กำหนดไว้ในคำสั่งฝ่ายบริหารที่ 14257 ทั้งหมด
ลำดับต่อไปก็คือกรณีของภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ซึ่งจะอยู่ภายใต้อัตราอากรขาเข้าตามมูลค่าของแต่ละประเทศตามที่ระบุไว้ในภาคผนวก 1 ของคำสั่งดังกล่าวนี้ ที่เคยประกาศให้เริ่มใช้ 9 เมษายน ถูกขยายเวลาออกไป 90 วัน โดยได้กำหนดให้เป็นวันเริ่มต้นวันที่ 9 กรกฎาคมนั้น ในคำสั่งบริหารที่ 14266 ที่แจ้งยืดเวลาการบังคับใช้ภาษีตอบโต้ซึ่งอยู่ภายใต้อัตราอากรขาเข้าตามมูลค่าของแต่ละประเทศตามที่ระบุไว้ในภาคผนวก 1 ได้มีการระบุถึงข้อยกเว้นดังเช่นที่ได้ระบุไว้ในคำสั่งบริหารที่ 14257 ซึ่งหากแปลตามตัวอักษรที่เจาะจงเฉพาะการเรียกเก็บภาษีอากรฐานร้อยละ 10 เท่านั้น จึงอาจมีความสับสนต่อกรณีของภาษีตอบโต้ว่าจะเข้าข่ายได้รับการยกเว้นเช่นเดียวกัน คือให้พิจารณาว่าสินค้าลงเรือมาแล้วก่อนกำหนดเส้นตายหรือไม่ สคต. ไมอามีจึงได้สอบถามจากผู้ที่ปฏิบัติงานเกี่ยวข้องโดยตรง ซึ่งก็คือผู้ให้บริการขนส่งสินค้าในสหรัฐฯ และได้รับคำยืนยันชัดเจนว่า ข้อยกเว้นดังกล่าวจะไม่ได้นำมาใช้กับกรณีของข้อกำหนดสำหรับการเรียกเก็บภาษีตอบโต้ และนั่นหมายความว่า แทนที่จะนับจากวันที่ขนส่งออกจากท่าเรือต้นทาง จะหันมานับจากวันที่สินค้าเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ ซึ่งก็เท่ากับว่า สินค้าที่ขนถ่ายออกจากเรือก่อนเที่ยงคืนวันที่ 8 กรกฎาคม จะยังไม่ถูกเรียกเก็บภาษีอากรดังกล่าว แต่ถ้าขนถ่ายสินค้าออกจากเรือหลังนาทีแรกของวันที่ 9 กรกฎาคม ก็จะต้องเสียภาษีอากรใหม่ดังกล่าวทันที ข้อคิดเห็น/ข้อเสนอแนะ: หากยังไม่มีคำสั่งบริหารฉบับใหม่ออกมาเพื่อยืดเวลาออกไปอีก การบังคับใช้ระเบียบตามคำสั่งดังกล่าวก็จะมีผลหลังนาทีแรกของวันที่ 9 กรกฎาคมนี้แล้ว ซึ่งก็หวังว่าผู้ประกอบการทุกท่านจะเตรียมรับมือกันพร้อมแล้ว แต่เมื่อมองดูสถานการณ์ในเรื่องการเจรจาแบบทวิภาคีของรัฐบาลสหรัฐฯ กับประเทศต่างๆ มากมายที่รัฐบาลสหรัฐฯ ระบุอัตราภาษีอากรตอบโต้ไว้ จากข่าวของสำนักข่าว Reuters เมื่อวันที่ 11 มิถุนายนที่ผ่านมา (Trumps Says willing to extend trade talks deadline, but says that won't be Necessary) โดยท่านประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวว่า ตนเองพร้อมจะขยายเส้นตายวันที่ 8 กรกฎาคม สำหรับการสรุปข้อตกลงทางการค้ากับประเทศคู่ค้าต่าง ๆ ก่อนที่จะมีการบังคับใช้มาตรการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ แต่ตนเชื่อว่า “คงไม่จำเป็นต้องเลื่อน” ทุกประเทศอยากทำข้อตกลงกับสหรัฐฯ ตนจึงไม่คิดว่าจำเป็นต้องขยายเส้นตายแล้วระบุว่าสหรัฐฯ จะส่งหนังสือชี้แจงเงื่อนไขข้อตกลงทางการค้าให้ประเทศคู่ค้าต่าง ๆ เลือกว่าจะรับหรือปฏิเสธข้อเสนอของสหรัฐฯ ขณะที่ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ นาย Scott Bessent ชี้แจงต่อสภาคองเกรสว่า รัฐบาลอาจพิจารณาขยายเส้นตายหรือ “เลื่อนวันกำหนด” ให้แก่ประเทศที่เจรจาด้วย “ความสุจริตใจ” เป็นบางกรณี โดยขณะนี้สหรัฐฯ มีข้อตกลงกับสหราชอาณาจักรแล้ว 1 ฉบับ และกำลังเจรจากับอีกประมาณ 17 ประเทศ จึงมีความเป็นไปได้สูงที่ประเทศหรือกลุ่มประเทศที่กำลังเจรจาด้วยความสุจริตใจ เราจะขยายเวลาเจรจาออกไปได้ ทั้งนี้ก็คงต้องดูภาพรวมของสภาพเศราฐกิจของสหรัฐฯ และความเคลื่อนไหวในตลาดทุนต่างๆ ของสหรัฐฯ เพราะปัจจัยต่างๆ เหล่านี้มักมีผลในการตัดสินใจเชิงบวกและลบเพื่อแก้สถานการณ์เฉพาะหน้าอยู่บ่อยครั้ง ข่าวนี้เป็นสัญญาณหนึ่งที่ทำให้พอมีหวังว่าน่าจะมีการเลื่อนระยะเวลาการบังคับใช้อัตราภาษีตอบโต้ดังกล่าวออกไปก่อนอีกสักระยะหนึ่ง ซึ่งหลายท่านอาจรู้สึกเบาใจลงบ้างได้ แต่สำหรับผู้ประกอบการภาคเอกชนแล้ว ความไม่แน่นอนนี่ดูจะเลวร้ายเสียยิ่งกว่าอัตราภาษีที่สูงขึ้น เพราะการดำเนินธุรกิจนั้นไม่ใช่การแก้ปัญหาวันต่อวันเท่านั้น แต่จำเป็นต้องมีการวางแผนและกำหนดยุทธศาสตร์ล่วงหน้า คงต้องยอมรับว่าความไม่แน่นอนเช่นนี้ บั่นทอนประสิทธิภาพและประสิทธิผลของภาคเอกชนอยู่ไม่น้อย อย่างไรก็ตาม ทุกท่านคงทราบดีว่า ผู้ที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดกลับกลายเป็นธุรกิจขนาดย่อมและผู้บริโภคในสหรัฐฯ เอง *********************************************************
ที่มา: Bloomberg
เรื่อง: “Trump Tariff Deadline Spurs Asia Export Surge, Wider Trade Gaps”
โดย: Bloomberg News
สคต. ไมอามี /วันที่ 23 มิถุนายน 2568
Share :
Instagram