เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2568 ประธานาธิบดีโดนัล ทรัมป์ ประกาศขึ้นภาษีศุลกากรกับ 14 ประเทศ เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2568 โดยที่ประเทศแอฟริกาใต้จะถูกเรียกเก็บภาษีศุลกากร 30% (เป็นอัตราเดิมที่สหรัฐฯ ได้ประกาศเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2568) ทั้งนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ ระบุว่า สหรัฐฯ ได้ตัดสินใจเรียกเก็บภาษีจากแอฟริกาใต้ เพื่อการค้าที่สมดุลและเป็นธรรมมากขึ้น ที่ผ่านมาได้มีการหารือเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและแอฟริกาใต้ และได้ข้อสรุปว่าสหรัฐฯ ต้องพ้นจากภาวะขาดดุลการค้ากับแอฟริกาใต้ ซึ่งเกิดจากมาตรการด้านภาษี มาตรการที่มิใช่ภาษี นโยบายและอุปสรรคทางการค้าของแอฟริกาใต้
ประธานาธิบดีซีริล รามาโฟซา แห่งแอฟริกาใต้ โต้แย้งว่า วิธีการคำนวณอัตราภาษีศุลกากร 30% ของสหรัฐฯ บิดเบือนและไม่ได้สะท้อนข้อเท็จจริงด้านการค้า ทั้งนี้ จากการคำนวณของแอฟริกาใต้ พบว่า ภาษีนำเข้าโดยเฉลี่ยที่แอฟริกาใต้เรียกเก็บประมาณ 7.6% อย่างไรก็ตาม แอฟริกาใต้จะยังคงใช้ความพยายามทางการทูตเพื่อความสัมพันธ์ทางการค้าที่สมดุลและเป็นประโยชน์ร่วมกันระหว่างสองประเทศ
ข้อมูลเพิ่มเติมและความเห็นของสำนักงานฯ : มาตรการอัตราภาษีใหม่ของสหรัฐฯ ที่จะมีผลใช้บังคับกับ 14 ประเทศตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2568 โดยที่สหรัฐฯ จะเรียกเก็บภาษีจากแอฟริกาใต้ 30% (สินค้าส่งออกหลักจากแอฟริกาใต้ ไปยังสหรัฐฯ คือ แพลตตินัม เพชร ยานยนต์ และชิ้นส่วนรถยนต์) มิได้เป็นแค่การตอบโต้การขาดดุลการค้า แต่อาจจะเป็นสัญญาณของการยกเลิกภายใต้พระราชบัญญัติการเติบโตและโอกาสของแอฟริกา (AGOA) ซึ่งเดิมมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยยกระดับเศรษฐกิจในแอฟริกา โดยการให้สิทธิประโยชน์ด้านภาษี(สหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้า 0% จากสินค้ารายการที่กำหนด) ในการเข้าถึงตลาดสหรัฐอเมริกา ดังนั้น หากยกเลิก AGOA จะส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาลต่อประเทศในทวีปแอฟริกาที่เคยได้รับสิทธิประโยชน์นี้
เครดิตภาพและที่มาข่าว www.businesstech.co.za
ประมวลโดย สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงพริทอเรีย
กรกฎาคม 2568