fb
เวียดนามเดินหน้าวางหลักเกณฑ์ถิ่นกำเนิดสินค้าภายในประเทศ  ปกป้องเศรษฐกิจจากสินค้าปลอมและการแอบอ้างถิ่นกำเนิด

เวียดนามเดินหน้าวางหลักเกณฑ์ถิ่นกำเนิดสินค้าภายในประเทศ ปกป้องเศรษฐกิจจากสินค้าปลอมและการแอบอ้างถิ่นกำเนิด

โดย
Trann@ditp.go.th
ลงเมื่อ 25 กรกฎาคม 2568 16:38
37

เนื้อข่าว 

กรมการค้าต่างประเทศ (Agency of Foreign Trade: AFT) กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าเวียดนาม (Ministry of Industry and Trade: MoIT) กำลังจัดทำกฎระเบียบใหม่ว่าด้วยกฎถิ่นกำเนิดสินค้า (New regulations on rules of origin) เพื่อเสริมสร้างความน่าเชื่อถือให้กับเครื่องหมาย "Made in Vietnam" รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันการฉ้อโกงด้านการค้าและส่งเสริมศักยภาพการส่งออกของประเทศโดยขณะนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าได้เปิดรับฟังความคิดเห็นต่อร่างกฤษฎีกาที่กำหนดมาตรการบางประการในการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการค้าต่างประเทศ ซึ่งครอบคลุมการขยายขอบเขตของการควบคุม พร้อมทั้งเสนอแนวคิดและหลักเกณฑ์ใหม่ ๆ ที่ทันสมัยมากขึ้น

image.png

นาย Nguyen Anh Son อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า ที่ผ่านมา แม้เวียดนามจะมีข้อกำหนดเรื่องการติดฉลากสินค้าตามกฤษฎีกาหมายเลข 43/2017/NĐ-CP และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งรวมถึงการระบุถิ่นกำเนิดของสินค้า แต่ยังไม่มีเกณฑ์ทางกฎหมายที่ชัดเจนในการกำหนดว่าสินค้าใดสามารถถือว่าเป็น Made in Vietnam” ได้อย่างแท้จริง โดยเฉพาะสำหรับสินค้าเพื่อการบริโภคภายในประเทศ ส่งผลให้ทั้งภาคธุรกิจและผู้บริโภคเกิดความสับสน ตัวอย่างเช่น สินค้าที่เพียงแค่ประกอบขึ้นในเวียดนามจากชิ้นส่วนที่นำเข้า ก็อาจถูกติดฉลากว่าเป็นสินค้าที่ผลิตในเวียดนาม ซึ่งบ่อนทำลายความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ความสามารถในการแข่งขันของสินค้าในประเทศ และยังเป็นอุปสรรคต่อการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยกฎถิ่นกำเนิดสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ

เพื่อแก้ไขข้อบกพร่องดังกล่าว รัฐบาลจึงได้มอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า จัดทำหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนสำหรับการพิจารณาว่าสินค้าที่วางจำหน่ายภายในประเทศมีถิ่นกำเนิดจากเวียดนามหรือไม่ โดยเกณฑ์เหล่านี้จะช่วยให้ภาคธุรกิจสามารถตรวจสอบและรับรองที่มาของสินค้าได้อย่างถูกต้อง นำไปสู่การสร้างภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือของแบรนด์ " Made in Vietnam " การรักษาส่วนแบ่งตลาดภายในประเทศ และลดข้อพิพาทที่อาจเกิดขึ้นระหว่างผู้จัดจำหน่ายและผู้บริโภคเกี่ยวกับถิ่นกำเนิดของสินค้า

ในบริบทของการค้าโลกที่มีความเชื่อมโยงกันอย่างซับซ้อน การผลิตและจำหน่ายสินค้าปลอม สินค้าต้องห้าม และสินค้าที่ไม่สามารถระบุแหล่งที่มาได้ ได้กลายเป็นปัญหาที่รุนแรงมากขึ้น ซึ่งไม่เพียงกระทบต่อผลประโยชน์ของประเทศ แต่ยังกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในระดับโลกด้วย เพื่อรับมือกับปัญหานี้ หลายประเทศทั่วโลกจึงได้ออกมาตรการควบคุมอย่างเข้มงวด เพื่อคุ้มครองผลประโยชน์ของรัฐบาล ภาคธุรกิจ ผู้ผลิต และผู้บริโภค

ในส่วนของร่างกฤษฎีกา กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าได้เสนอให้มีการแยกแยะอย่างชัดเจนระหว่างสินค้าที่ผลิตขึ้นโดยใช้วัตถุดิบภายในประเทศทั้งหมด (Wholly obtained) กับสินค้าที่ผลิตขึ้นโดยไม่ได้ใช้วัตถุดิบภายในประเทศทั้งหมด (Non-wholly obtained) โดยสินค้าที่ผลิตขึ้นโดยใช้วัตถุดิบภายในประเทศทั้งหมด หมายถึงสินค้าที่ผลิตทั้งหมดภายในประเทศเดียว เช่น แร่ธาตุ ผลผลิตทางการเกษตร และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ ซึ่งจะมีการกำหนดเกณฑ์ที่เข้มงวดมากขึ้น โดยเฉพาะในกรณีของสัตว์น้ำที่จับได้นอกเขตน่านน้ำของประเทศ ส่วนสินค้าที่ผลิตขึ้นโดยไม่ได้ใช้วัตถุดิบภายในประเทศทั้งหมดจะต้องผ่านเกณฑ์ทางเทคนิค เช่น การเปลี่ยนรหัสพิกัดศุลกากร (HS code) หรือการมีสัดส่วนมูลค่าเพิ่มภายในประเทศในระดับที่กำหนด

นอกจากนี้ ร่างกฎหมายยังได้เพิ่มเติมข้อกำหนดเกี่ยวกับการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเอง (Self-certification of origin) ซึ่งประกอบด้วยรายละเอียดเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้รับรอง ขั้นตอนดำเนินการ ความรับผิดชอบ และกลไกการตรวจสอบ เพื่อเปิดโอกาสให้ภาคธุรกิจมีความยืดหยุ่นและอิสระมากขึ้นในการดำเนินงาน และเอื้อต่อการปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้ความตกลงการค้าเสรีที่เวียดนามเข้าร่วม เช่น ความตกลงการค้าเสรีเวียดนามกับสหภาพยุโรป (EU-Vietnam Free Trade Agreement: EVFTA)  หรือ ความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสําหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (Comprehensive and Progressive Agreement for Trans-Pacific Partnership: CPTPP)

ประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นในร่างกฤษฎีกาฉบับนี้ คือการเพิ่มแนวคิดเรื่องใบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าที่ออกให้แก่ผู้ส่งออกที่ไม่ได้เป็นผู้ผลิตสินค้าโดยตรง (Back-to-back certificate of origin) และการรับรองสินค้าที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงถิ่นกำเนิด ซึ่งสะท้อนถึงข้อเท็จจริงที่ว่าสินค้าบางประเภทมีการขนส่งผ่านเวียดนามโดยไม่เปลี่ยนแปลงรูปแบบหรือแหล่งกำเนิด ร่างกฎหมายจึงกำหนดกรณีและเงื่อนไขที่สามารถออกใบรับรองประเภทนี้ได้อย่างชัดเจน เพื่อรักษาความต่อเนื่องของห่วงโซ่อุปทานในระดับโลก และป้องกันการสวมสิทธิ์หรือฉ้อโกงทางการค้าในกระบวนการดังกล่าวอีกด้วย

 (แหล่งที่มา https://vietnamnews.vn/ ฉบับวันที่ 21 กรกฎาคม 2568)

วิเคราะห์ผลกระทบ

กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าของเวียดนามกำลังดำเนินการอย่างเร่งด่วนในการจัดทำร่างกฤษฎีกาเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ในการใช้ฉลาก “Made in Vietnam” สำหรับสินค้าที่จำหน่ายภายในประเทศ โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อปิดช่องโหว่ทางกฎหมายที่เอื้อให้สินค้านำเข้าบางรายการสามารถแอบอ้างถิ่นกำเนิดสินค้าเป็นเวียดนามได้อย่างไม่เหมาะสม ปัญหานี้ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในประเทศ แต่ยังก่อให้เกิดการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมกับผู้ผลิตท้องถิ่นและบั่นทอนความเข้มแข็งของแบรนด์เวียดนามโดยรวม

ในปัจจุบัน กฎหมายเวียดนามให้ความสำคัญกับการระบุถิ่นกำเนิดสินค้าในบริบทของการนำเข้าและส่งออกเป็นหลัก ขณะที่ยังไม่มีกรอบกฎหมายที่ชัดเจนสำหรับการกำหนดถิ่นกำเนิดของสินค้าที่ผลิตและวางจำหน่ายภายในประเทศ ส่งผลให้ภาคธุรกิจจำนวนมากเกิดความสับสนในการติดฉลากสินค้า และในบางกรณี สินค้าที่เพียงแค่ประกอบหรือบรรจุในเวียดนามโดยใช้วัตถุดิบนำเข้า ก็สามารถติดฉลากว่า “Made in Vietnam ได้โดยไม่ผิดกฎหมาย สถานการณ์เช่นนี้จึงกลายเป็นจุดอ่อนที่เปิดช่องให้เกิดการฉ้อโกงทางการค้า และทำลายความน่าเชื่อถือของสินค้าที่ผลิตโดยแท้จริงในประเทศ

เพื่อจัดการกับปัญหาดังกล่าว กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าได้มอบหมายให้กรมการค้าต่างประเทศ เป็นผู้นำในการจัดทำร่างกฤษฎีกาดังกล่าว โดยจะกำหนดหลักเกณฑ์การพิจารณาถิ่นกำเนิดสินค้าสำหรับการใช้ฉลาก “Made in Vietnam” ให้มีความชัดเจนและเป็นธรรม ครอบคลุมทั้งกรณีของสินค้าที่ผลิตขึ้นโดยใช้วัตถุดิบภายในประเทศทั้งหมด (Wholly obtained) เช่น แร่ธาตุ พืชผล และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ รวมถึงกรณีของสินค้าที่ผลิตขึ้นโดยไม่ได้ใช้วัตถุดิบภายในประเทศทั้งหมด (Non-wholly obtained) ซึ่งจะต้องผ่านเกณฑ์ทางเทคนิค เช่น การเปลี่ยนรหัสพิกัดศุลกากร (HS code) หรือมีมูลค่าเพิ่มในประเทศตามสัดส่วนที่กำหนด

ความไม่ชัดเจนเกี่ยวกับถิ่นกำเนิดสินค้าในปัจจุบันไม่เพียงแต่ทำลายความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับแหล่งที่มาของสินค้าเท่านั้น แต่ยังจำกัดศักยภาพของหน่วยงานภาครัฐในการบังคับใช้กฎหมายและตรวจสอบสินค้าที่อาจมีการปลอมแปลงถิ่นกำเนิด ซึ่งท้ายที่สุดแล้วจะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของสินค้าเวียดนามทั้งในและต่างประเทศ ความจำเป็นในการจัดระเบียบกฎเกณฑ์ดังกล่าวจึงเป็นเรื่องเร่งด่วน โดยเฉพาะในยุคที่เวียดนามกำลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วในฐานะศูนย์กลางการผลิต การค้า และโลจิสติกส์ในภูมิภาคอาเซียน

ตัวอย่างเชิงประจักษ์คือ มูลค่าการค้าระหว่างเวียดนามกับจีนในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 ที่สูงถึงกว่า 92,900 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.7 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน แสดงให้เห็นถึงบทบาทที่เพิ่มขึ้นของเวียดนามในห่วงโซ่อุปทานโลก การมีระบบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าที่ชัดเจน โปร่งใส และสอดคล้องกับมาตรฐานสากลจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภค นักลงทุน และพันธมิตรการค้าต่างประเทศ

ร่างกฤษฎีกาเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ในการใช้ฉลาก “Made in Vietnam” สำหรับสินค้าที่จำหน่ายภายในประเทศไม่ใช่เพียงการวางระเบียบภายในประเทศเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ระยะยาวในการยกระดับแบรนด์ “Made in Vietnam” ให้มีความน่าเชื่อถือในระดับภูมิภาคและระดับโลก พร้อมทั้งส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจภายในประเทศอย่างยั่งยืน ผ่านการแข่งขันที่เป็นธรรมและการคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภคและผู้ประกอบการภายในประเทศอย่างแท้จริง

นำเสนอโอกาส/แนวทาง

การจัดทำหลักเกณฑ์ถิ่นกำเนิดสินค้าสำหรับสินค้าที่จำหน่ายในประเทศโดยรัฐบาลเวียดนาม ถือเป็นก้าวสำคัญด้านนโยบายเศรษฐกิจและการค้า ที่มีเป้าหมายเพื่อยกระดับมาตรฐานสินค้า เพิ่มความโปร่งใสในห่วงโซ่อุปทาน และรักษาความน่าเชื่อถือของแบรนด์ “Made in Vietnam” ทั้งในประเทศและในระดับสากล แนวทางใหม่นี้มีบทบาทสำคัญในการแก้ปัญหาการสวมสิทธิ์ถิ่นกำเนิดสินค้า ซึ่งเป็นประเด็นที่เกิดขึ้นบ่อยในอุตสาหกรรมที่ใช้ชิ้นส่วนนำเข้า เช่น อิเล็กทรอนิกส์ สิ่งทอ และเฟอร์นิเจอร์ โดยเกณฑ์ที่ชัดเจนจะช่วยให้ภาคธุรกิจสามารถหลีกเลี่ยงข้อพิพาทด้านกฎหมาย และลดความเสี่ยงจากมาตรการทางการค้าจากต่างประเทศที่อาจมองว่าเวียดนามเป็นเพียงฐานการประกอบสินค้าเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี

สำหรับผู้ประกอบการต่างชาติรวมถึงไทย มาตรการนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญในการปรับตัวและวางแผนธุรกิจให้สอดคล้องกับข้อกำหนดใหม่ การผลิตในเวียดนามที่สามารถเข้าเกณฑ์ “Made in Vietnam” จะไม่เพียงช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือในตลาดเวียดนามซึ่งผู้บริโภคมีแนวโน้มให้ความสำคัญกับสินค้าท้องถิ่นมากขึ้น แต่ยังเอื้อต่อการใช้เวียดนามเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออกต่อไปยังตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่เวียดนามมีความตกลงการค้าเสรี (FTA) ด้วย การเลือกใช้วัตถุดิบในประเทศหรือดำเนินการผลิตที่เพิ่มมูลค่าในเวียดนามจะกลายเป็นกลยุทธ์สำคัญของผู้ประกอบการที่ต้องการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในระยะยาว

นอกจากนี้ ผู้ประกอบการไทยสามารถใช้โอกาสนี้ขยายการลงทุนในเวียดนามผ่านรูปแบบ Joint Venture กับบริษัทท้องถิ่น เพื่อเพิ่มสัดส่วนการผลิตภายในประเทศให้ตรงตามกฎถิ่นกำเนิดสินค้า และต่อยอดแบรนด์ “Made in Vietnam” ในการเจาะตลาดทั้งภายในและต่างประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในบริบทที่เวียดนามมีโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทั้งเส้นทางรถไฟ ท่าเรือ และเขตเศรษฐกิจพิเศษที่เอื้อต่อการเชื่อมโยงการค้าระหว่างภูมิภาค ทั้งนี้ ภาคธุรกิจไทยควรติดตามร่างกฎหมายฉบับนี้อย่างใกล้ชิด พร้อมประเมินผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานของตนเอง เพื่อปรับกลยุทธ์ด้านการผลิต การจัดหา และการบริหารความเสี่ยงให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงด้านกฎระเบียบและรักษาความสามารถในการแข่งขันในเวทีภูมิภาคอย่างยั่งยืน

News 21 - 25 July - Made in Vietnam.Edit.pdf
Share :
Instagram