ภายใต้นโยบาย “Make America Healthy Again” Mr. Robert F. Kennedy Jr. ผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งให้บริหาร Department of Health and Human Services ที่รวมถึง USFDA ได้ประกาศเป้าหมายแรกของการทำงาน คือ การห้ามใช้สีย้อมสังเคราะห์ในการผลิตสินค้าอาหาร โดยอ้างว่า มีการวิจัยพบว่า สีย้อมสังเคราะห์ผลิตจากปิโตรเลียมเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เพราะจะส่งผลกระทบเป็นความผิดปกติต่อพฤติกรรมผู้บริโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็ก
มีการวิจัยพบว่า 1 ใน 5 ของอาหารในสหรัฐฯ และโรงงานผลิตอาหารรายใหญ่ 25 อันดับแรกของสหรัฐฯ ใช้สีย้อมสังเคราะห์ อาหารกลุ่มที่ใช้สีสังเคราะห์มากที่สุดคือ snack และ candy mนอกจากนี้ยังรวมถึงกลุ่มซ๊อสและอาหารที่ผ่านเข้ากระบวนการเก็บรักษาบางราย ที่มีกระบวนการผลิตในระดับสูง (ultra-processed foods) และได้รับความนิยมบริโภคกว้างขวางในสหรัฐฯ
ในเดือนเมษายน 2568 USFDA ได้ประกาศสั่งยกเลิกสีที่เคยได้รับการรับรองจาก USFDA ได้แก่ Citrus Red 2 และ Orange B และอยู่ในระหว่างดำเนินงานเพื่อยกเลิกการใช้สี Red 40, Green 3, Yellow 5, Yellow 6, Blue 1 และ Blue 2 ในอุปทานอาหาร ภายในสิ้นปี 2569
ปัจจุบันโรงงานผลิตอาหารรายใหญ่ของสหรัฐฯ หลายรายที่ใช้สีสังเคราะห์ เช่น Nestle, ConAgra, Kraft Heinz, General Mills และ PepsiCo อยู่ในระหว่างการดำเนินการเพื่อยกเลิกการใช้สีสังเคราะห์ โดยส่วนใหญ่มีกำหนดยกเลิกหมดภายในสิ้นปี 2570 และพยายามแสวงหาสีธรรมชาติมาใช้ในการผลิต
โรงงานผลิตสินค้าอาหารที่ยังไม่ยินยอมยกเลิกการใช้สีสังเคราะห์ในขณะนี้ เช่น Kellogg’s, WK Kellogg และ Mars ด้วยเหตุผลว่า การเปลี่ยนไปใช้สีธรรมชาติจะเพิ่มค่าใช้จ่ายในการผลิตไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 และนโยบายเรื่องการใช้สีสังเคราะห์ในอาหารได้มีการเปลี่ยนแปลงกลับไปกลับมาโดยตลอด
นอกจาก USFDA แล้ว หลายมลรัฐได้เข้ามามีบทบาทในเรื่องการใช้สีสังเคราะห์ในอาหาร เช่น
ข้อมูลเพิ่มเติมและข้อคิดเห็นของ สคต. ลอสแอนเจลิส
ตลาดสีผสมอาหารที่ผลิตจากธรรมชาติในสหรัฐฯ กำลังเติบโตอย่างมาก เนื่องจากผู้บริโภคสหรัฐฯ เห็นถึงความเสี่ยงของการบริโภคสารเคมีและ ต้องการอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ คาดการณ์ว่าในระหว่างปี 2023 ถึง 2030 ตลาดสีผสมอาหารที่ผลิตจากธรรมชาติในสหรัฐฯ จะเติบโตในอัตราร้อยละ 9 ต่อปี
สีผสมอาหารที่เป็นที่ต้องการและมีการใช้อย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมอาหารคือ Red 40, Yellow 5 และ Yellow 6 สีผสมอาหารจากธรรมชาติที่ได้รับความนิยมสูงสุดในสหรัฐฯ คือ beta-carotene ที่เกิดขึ้นในผักและผลไม้ และที่กำลังมีความต้องการในตลาดสูงคือสีฟ้าและสีเขียวที่มาจากการสกัดจากสาหร่าย Spirulina เชื่อกันว่าสีที่สกัดจาก Spirulina และ Carotenoids นอกจากจะมีสีที่เข้มข้นแล้วยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพ
กฎหมาย Federal Food, Drug, and Cosmetic Act (Chapter VII, section 721) สหรัฐฯ กำหนดว่า สีที่ใช้ในการผสมอาหาร ก่อนที่จะนำมาใช้ต้องได้รับการยอมรับ (approve) จาก USFDA ก่อนว่าปลอดภัย เมื่อเดือนเมษายน 2568 USFDA ได้ประกาศยอมรับสีผสมอาหารที่ผลิตจากธรรมชาติ 3 รายการ คือ
1. สีฟ้า ที่สกัดจากเซลสาหร่าย Galdieria Suuphuraria เพื่อใช้เพิ่มสีในเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล เครื่องดื่มจากผักและผลไม้ ใน fruit/dairy-based smoothies, โยเกิร์ตhard/soft candy, ไอสครึม ผลไม้แช่เยือกแข็ง อาหารหวานจากวุ้น พุดดิ้ง คัสตาร์ด เป็นต้น
2. สีฟ้าเฉดต่างๆ รวมถึงเฉดสีม่วงเข้ม และเขียว ที่สกัดจาก butterfly pea flower หรือดอกอัญชัน เดิมได้รับการยอมรับจาก USFDA ให้ใช้ในเครื่องดื่มต่างๆ รวมถึง เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล ชา candy ไอสครีม และโยเกิร์ต เป็นต้น ปัจจุบัน ได้รับการยอมรับให้ใช้ใน ready-to-eat Cereals, crackers, snack mixes, hard pretzels, plain potato chips, corn chips, tortilla chips และ multigrain chips
3. สีขาว สกัดจาก calcium phosphate ได้รับการอนุญาตให้ใช้ในสินค้า ready-to-eat chicken, white candy Melts, doughnut sugar และ น้ำตาลที่ใช้ในการเคลือบ Candy
การเติบโตตลาดและความต้องการสินค้าสีผสมอาหารผลิตจากธรรมชาติ สร้างโอกาสให้แก่ประเทศไทยที่มีศักยะภาพสูง ที่อาจนำไปใช้ในการพัฒนาเพื่อการผลิตและส่งออกสีผสมอาหารที่ผลิตจากธรรมชาติ เพราะมีวัตถุดิบและความรู้ความสามารถในการผลิต เช่น ใบเตยหอม ใบย่านาง ใบตะไคร้ สำหรับผลิตสีเขียว กระเจี๊ยบแดง สำหรับผลิตสีแดง และดอกอัญชัญ สำหรับผลิตสีม่วง เป็นต้น
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครลอสแอนเจลิส กรกฏาคม 2568