fb
อินเดียก้าวขึ้นเป็นตลาดผู้โดยสารทางอากาศระหว่างประเทศอันดับ 2 ของไทย

อินเดียก้าวขึ้นเป็นตลาดผู้โดยสารทางอากาศระหว่างประเทศอันดับ 2 ของไทย

โดย
chalotorns@ditp.go.th
ลงเมื่อ 29 กรกฎาคม 2568 11:30
23
2

         ประเทศอินเดียกลายเป็นตลาดผู้โดยสารทางอากาศยานระหว่างประเทศอันดับสองของประเทศไทยในช่วงฤดูร้อนปี 2568 (ข้อมูลระหว่างเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม) รองจากจีน โดยได้แซงหน้าประเทศคู่แข่งเดิม อาทิ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และมาเลเซีย การเติบโตอย่างมีนัยสำคัญดังกล่าวพิจารณาจากพื้นฐานของจำนวนที่นั่งโดยสารทางอากาศ ตามข้อมูลของ Official Airline Guide (OAG)

stats air passengers.PNG


       โดยอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวได้เปิดเผยข้อมูลที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญในฐานะตลาดต้นทางการเดินทางระหว่างประเทศซึ่งจุดมุ่งหมายคือประเทศไทย ซึ่งทางประเทศอินเดีย มีการพัฒนาจากการเป็นตลาดอันดับที่ 6 ในปี 2562 ก่อนการแพร่ระบาดของโรค Covid-19 ในขณะนั้นยังมีสถานะตามหลังประเทศ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์ และมาเลเซีย จนมาถึงในช่วงฤดูร้อนปี 2568 อินเดียกลับขึ้นมาครองการเป็นตลาดผู้โดยสารระหว่างประเทศของไทยอันดับที่ 2  รองเพียงประเทศจีนเท่านั้น โดยสามารถแซงหน้าญี่ปุ่น ฮ่องกง สิงคโปร์ และมาเลเซียตามลำดับ จากการพิจารณาข้อมูลอัตราจำนวนที่นั่งของสายการบิน สะท้อนให้เห็นถึงการขยายตัวอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในปัจจุบันที่ชาวอินเดียมีทางเลือกต่อการเดินทางไปต่างประเทศ ซึ่งสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้สามารถวิเคราะห์ได้ว่าการเดินทางท่องเที่ยวในต่างประเทศของอินเดียได้รับแรงหนุนจากปัจจัยสำคัญหลายประการ ได้แก่ รายได้ที่เพิ่มขึ้นของชนชั้นกลาง การผ่อนคลายมาตรการด้านวีซ่า และกลยุทธ์การตลาดเชิงรุกด้านการท่องเที่ยวของประเทศไทยในการส่งเสริมในฐานะจุดหมายปลายทางสำคัญสำหรับนักเดินทางชาวอินเดีย
        ในฤดูร้อนปี 2568 เส้นทางบินระหว่างอินเดีย–ไทยมีอัตราจำนวนที่นั่งโดยสายการบินมากกว่า 2.2 ล้านที่นั่ง เติบโตกว่า 30% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ขณะที่อัตราจำนวนที่นั่งของสายการบินระหว่างประเทศเดินทางเข้าสู่ประเทศไทยทั้งหมด ลดลงจาก 7.4 ล้านที่นั่งในปี 2019 เหลือราว 4.1 ล้านที่นั่งในปี 2025 หรือลดลงประมาณ 45% เนื่องจากการหดตัวอย่างมากของผู้โดยสารระหว่างประเทศจากจีน อย่างไรก็ดี อินเดียยังครองการเป็นตลาดสำคัญเพียงแห่งเดียวที่มีความจุเกินกว่า 2 ล้านที่นั่งในช่วงเวลาดังกล่าว
ข้อมูลเพิ่มเติม 
             1. ด้านการท่องเที่ยวเชิงสันทนาการ นักเดินทางชาวอินเดียเป็นกลุ่มหลักที่ผลักดันการเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยวเข้าสู่ประเทศไทย โดยนิยมเดินทางไปยังกรุงเทพฯ ภูเก็ต พัทยา กระบี่ และเชียงใหม่ ด้วยแรงจูงใจจากการเข้าถึงบริการระดับบน ที่มีราคาย่อมเยา เช่น สปา ชายหาด และการช้อปปิ้ง พร้อมทั้งความสะดวกในเรื่องวีซ่า (visa-on-arrival) หรือมาตรการยกเว้นการตรวจลงตรา (นาน 60 วัน) และระยะเวลาเดินทางสั้น เหมาะสำหรับวันหยุดครอบครัว งานแต่งงาน หรือ Honeymoon นอกจากนี้ เทรนด์การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและลิ้มรสอาหารไทยกำลังได้รับความนิยมมากขึ้น ขณะที่การขยายตัวของเมืองสำคัญระดับ Tier–2 และ 3 ในอินเดียทำให้สายการบินเปิดเส้นทางบินตรงเพิ่มขึ้นเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้
              2. ด้านการเดินทางเชิงธุรกิจ แม้ตัวเลขในรายงาน OAG จะไม่ได้แยกชัดเจน แต่การเดินทางในกลุ่มนี้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นควบคู่ไปกับการจัดงานแสดงสินค้า เช่น ในกรุงเทพฯ รวมถึงกิจกรรมด้านการ sourcing สำหรับธุรกิจกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม
ที่ร่วมมือกับคู่ค้าจากอินเดีย การปรับปรุงเครือข่ายการบินจะช่วยลดอุปสรรคในการเดินทางสำหรับพ่อค้า ผู้ซื้อ และแฟรนไชส์จากอินเดีย ขณะที่การเข้าร่วมงานสำคัญของไทย เช่น Thaifex /Thailand Travel Mart /Buriram International Circuit (MotoGP Thailand) เป็นต้น ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนให้การเดินทางเพื่อธุรกิจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ผลกระทบทางเศรษฐกิจและความท้าทาย
            1.การเติบโตที่แข็งแกร่งจากตลาดนักท่องเที่ยวอินเดียได้ช่วยชดเชยการลดลงของนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาเสถียรภาพของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่ประเทศไทยพึ่งพาเป็นอย่างมาก การขยายตัวของตลาดอินเดียไม่เพียงแต่นำรายได้เข้าสู่ประเทศผ่านการใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยว แต่ยังช่วยกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจในหลากหลายภาคส่วน รวมถึงโรงแรม ร้านอาหาร การขนส่ง และการบริการต่างๆ นอกจากนี้ การเติบโตนี้ยังสะท้อนถึงความสำเร็จของนโยบายการผ่อนคลายมาตรการด้านวีซ่าและกลยุทธ์การตลาดเชิงรุกของไทยในการดึงดูดนักท่องเที่ยวอินเดีย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการพัฒนาความสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนระหว่างสองประเทศในอนาคต
            2.แม้ว่าการเติบโตของตลาดอินเดียจะนำมาซึ่งผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ แต่ก็ส่งผลให้เกิดความท้าทายที่สำคัญหลายประการ โดยเฉพาะปัญหาการท่องเที่ยวเกินขีดความสามารถในการรองรับซึ่งไทยกำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน การเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยวอินเดียได้เพิ่มความกดดันต่อโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่แล้วในจุดหมายปลายทางยอดนิยม เช่น ภูเก็ต พัทยา และกรุงเทพมหานคร ซึ่งประสบปัญหาการแออัดและความเสื่อมโทรมทางสิ่งแวดล้อม ระบบการขนส่งสาธารณะ ทำให้บริการต่างๆ มีความน่าเชื่อถือลดลง โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางมากที่สุด นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยวยังส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศท้องถิ่นและก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อม รวมถึงการเกิดความแออัดที่อาจลดคุณภาพของประสบการณ์การท่องเที่ยวสำหรับนักท่องเที่ยวทุกกลุ่ม ซึ่งในระยะยาวอาจส่งผลเสียต่อการรักษาฐานลูกค้าและความยั่งยืนของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย
ข้อคิดเห็น
         1.การที่อินเดียก้าวขึ้นเป็นตลาดต้นทางอันดับที่ 2 สำหรับการเดินทางทางอากาศของไทยถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่เปิดโอกาสทางธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการไทย ซึ่งจากข้อมูลล่าสุดของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานมุมไบ สำหรับนักท่องเที่ยวระหว่างประเทศอินเดียที่เดินทางเข้าไทยในปี 2568 (1 ม.ค.68-21 ก.ค.68) มีจำนวน 1,315,298 คน รองจากจีน (2,547,432 คน) และมาเลเซีย (2,546,357 คน) การเติบโตของตลาดอินเดียนี้มีความสำคัญเชิงอัตลักษณ์ เมื่อพิจารณาถึงบทบาทของการท่องเที่ยวที่มีต่อเศร ษฐกิจไทย ซึ่งภาคการท่องเที่ยวจะมีส่วนช่วยในการจ้างงานมากถึง 20% ของการจ้างงานทั้งประเทศ และสนับสนุนการเติบโต GDP ไทยในสัดส่วนที่สำคัญ ประเด็นดังกล่าวไม่เพียงแต่จะสร้างรายได้เข้าประเทศเท่านั้น แต่ยังเป็นประตูสู่การค้าปลีก การส่งออกสินค้า และการสร้างความร่วมมือทางธุรกิจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นระหว่างสองประเทศ ชนชั้นกลางของอินเดียที่มีกำลังซื้อเพิ่มขึ้นและมีความต้องการเลือกซื้อสินค้าคุณภาพสูงจากไทย รวมถึงการขยายตัวของการเชื่อมต่อของสายการบินที่อำนวยความสะดวกในการเดินทางของนักธุรกิจ อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการไทยต้องตระหนักถึงความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดแบบดังเดิม ดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นกับตลาดจีนในอดีต การกระจายความเสี่ยงผ่านการพัฒนาตลาดใหม่ในภูมิภาคตะวันออกกลางและยุโรป ควบคู่ไปกับการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของความสัมพันธ์กับอินเดียจึงเป็นกลยุทธ์ที่สมดุลและยั่งยืน
    2.ผู้ประกอบการไทยควรใช้โอกาสนี้ในการสร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับบริษัทอินเดีย โดยเฉพาะในภาคส่วนเทคโนโลยี การแปรรูปอาหาร สิ่งทอ และผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงาม ซึ่งเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคอินเดีย การสร้างโซ่อุปทานที่เชื่อมโยงทั้งสองประเทศและการลงทุนในการวิจัยและพัฒนาร่วมกันจะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ไทย นอกจากนี้ การสร้างช่องทางการตลาดดิจิทัลและแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่รองรับภาษาและวัฒนธรรมอินเดียจะช่วยขยายฐานลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการควรพัฒนาความสามารถในการให้บริการนักธุรกิจอินเดียผ่านการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน การจัดงานแสดงสินค้า และการสร้างศูนย์ธุรกิจที่อำนวยความสะดวกในการเจรจาและทำธุรกรรม เพื่อให้ไทยกลายเป็นจุดศูนย์กลางทางธุรกิจที่สำคัญสำหรับบริษัทอินเดียที่ต้องการขยายธุรกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  
 

 

ที่มา1.  https://www.business-standard.com/industry/aviation/india-becomes-second-largest-air-passenger-mkt-for-thailand-this-summer-125072101497_1.html   2. https://www.moneycontrol.com/news/india/thailand-sees-30-surge-in-india-flights-making-it-second-largest-market-after-china-13307160.html#google_vignette 

 

 

 

Share :
Instagram