มาตรการทวงคืนคืนอธิปไตยทางการค้าของสหรัฐอเมริกา
เนื้อหาสาระข่าว: ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ดำเนินมาตรการปิดช่องทางหลบเลี่ยงภาษีช่องสำคัญในนโยบายการค้าของสหรัฐอเมริกาเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ด้วยการยกเลิกข้อยกเว้นที่เรียกว่า “กฎเกณฑ์ De Minimis” สำหรับทุกประเทศทั่วโลก การดำเนินการนี้คาดว่าจะเพิ่มรายได้เข้าสู่คลังรัฐบาลกว่า 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐ พร้อมทั้งเป็นการปกป้องแรงงานและธุรกิจสหรัฐฯ จากผลกระทบของการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมด้วย
เป็นเวลาหลายสิบปีที่กฎหมายการค้าของสหรัฐฯ อนุญาตให้สินค้านำเข้าที่มีมูลค่าต่ำกว่ากำหนด (De Minimis) สามารถผ่านด่านศุลกากรโดยไม่ต้องเสียภาษีนำเข้าและไม่ต้องยื่นรายการศุลกากรอย่างเป็นทางการ ซึ่งนโยบายดังกล่าวอาจสมเหตุสมผลในอดีต เมื่อระดับเกณฑ์มูลค่าขั้นต่ำและการค้าผ่านระบบอีคอมเมิร์ซยังไม่แพร่หลาย อย่างไรก็ตาม ข้อยกเว้นที่มูลค่า 800 เหรียญสหรัฐนี้กลายเป็นช่องทางหลบเลี่ยงภาษีขนาดใหญ่ที่เป็นเหตุให้รายได้จากภาษีอากรต้องอันตรธานหายไปราวพันล้านเหรียญสหรัฐ และเปิดโอกาสให้ผู้ผลิตในประเทศต้องเผชิญกับการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมอย่างต่อเนื่องยาวนาน
ปัญหานี้เริ่มต้นขึ้นในปี 2558 เมื่อรัฐสภาสหรัฐฯ ภายใต้แรงกดดันจากกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ เช่น Amazon, eBay, FedEx และ UPS ได้ปรับเพิ่มเกณฑ์ De Minimis จากเดิม 200 เหรียญสหรัฐ เป็น 800 เหรียญสหรัฐ ซึ่งบรรดานักล็อบบี้ต่างอ้างว่าสิ่งนี้จะช่วยอำนวยความสะดวกในการค้าข้ามพรมแดน แต่ในความเป็นจริงกลับกลายเป็นการเปิดทางให้บริษัทอีคอมเมิร์ซระดับโลก เช่น Alibaba, Shein, Temu, AliExpress และ Wish สามารถหลีกเลี่ยงการชำระภาษีศุลกากรและข้อบังคับต่าง ๆ ของสหรัฐฯ ได้สบายๆ
บริษัทเหล่านี้ส่งสินค้าราคาถูกจำนวนมหาศาล ซึ่งมักได้รับเงินอุดหนุนอย่างหนักจากแหล่งผลิต แบบแยกชิ้นแล้วส่งไปยังผู้บริโภคในสหรัฐฯ โดยตรง ทำให้สามารถหลีกเลี่ยงภาษี อากรนำเข้าและการตรวจสอบอย่างเข้มงวด ซึ่งเป็นข้อกำหนดที่ผู้ผลิตในประเทศและผู้นำเข้าสินค้าตามกระบวนการปกติต้องปฏิบัติตาม
คู่ค้าทางการค้าหลักของสหรัฐฯ ปฏิเสธที่จะปรับเพิ่มเกณฑ์ดังกล่าวตามรัฐสภา โดยเกณฑ์ของเยอรมนีอยู่ที่ประมาณ 155 เหรียญสหรัฐ แคนาดาประมาณ 110 เหรียญสหรัฐ ญี่ปุ่นประมาณ 70 เหรียญสหรัฐ และเม็กซิโกเพียง 50 เหรียญสหรัฐ ความแตกต่างที่ชัดเจนนี้ยิ่งทำให้ผู้ผลิตสหรัฐฯ เสียเปรียบ ส่งเสริมการโยกย้ายการผลิตไปต่างประเทศ และทำลายอุตสาหกรรมภายในประเทศอย่างรุนแรง
คำสั่งบริหารของประธานาธิบดีทรัมป์ได้ยุติการละเมิดนี้ทันที โดยตั้งแต่วันที่ 29 สิงหาคมเป็นต้นไป สินค้าทุกชนิดไม่ว่าจะมีมูลค่าเท่าใด กำเนิดจากที่ใด หรือขนส่งด้วยวิธีใด จะต้องผ่านกระบวนการนำเข้าศุลกากรอย่างเป็นทางการ ไม่มีช่องว่างอีกต่อไป ไม่มีการนำเข้า “ของขวัญปลอดอากร” ในรูปแบบที่เหมือนการส่งสินค้าเชิงพาณิชย์ และไม่มีจุดบอดในการบังคับใช้กฎหมายอีกต่อไปแล้ว ด้วยการบังคับใช้เอกสารที่เข้มงวดและการตรวจสอบอย่างละเอียด มาตรการนี้จึงเสริมศักยภาพของเจ้าหน้าที่ศุลกากรในการตรวจจับการทุจริตและปกป้องธุรกิจสหรัฐฯ ได้ดียิ่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
รัฐบาลยังได้กำหนดระยะเวลาปรับเปลี่ยนเป็นเวลา 6 เดือนสำหรับเครือข่ายไปรษณีย์ระหว่างประเทศ ในช่วงเวลานี้ สินค้าที่เคยได้รับการยกเว้นตามเกณฑ์ De Minimis จะต้องชำระอากรตามอัตราภาษีที่เกี่ยวข้องกับประเทศต้นทางของสินค้า ระบบนี้เปิดโอกาสให้ผู้ให้บริการขนส่งระหว่างประเทศสามารถปรับตัวและยังคงปฏิบัติตามกฎหมายของสหรัฐฯ อย่างเต็มที่
การปฏิรูประบบการเก็บภาษีอากรของทรัมป์เช่นนี้มีประโยชน์ทั้งต่อทางเศรษฐกิจและในเชิงยุทธศาสตร์
ประการแรก การยกเลิกข้อยกเว้น De Minimis จะเป็นแหล่งรายได้สำคัญ นับตั้งแต่ที่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ระงับการใช้กฎ De Minimis กับบางประเทศ สหรัฐฯ ได้จัดเก็บรายได้จากภาษีศุลกากรมากกว่า 300 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีต้นทุนการจัดเก็บต่ำมาก ขณะนี้เมื่อการระงับข้อยกเว้นนี้มีผลบังคับใช้ทั่วโลกแล้ว คาดว่ารายได้ประจำปีจะเพิ่มขึ้นเกิน 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีการประเมินว่ารายได้รวมในระยะเวลา 10 ปีข้างหน้าจะสูงกว่า 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐ
ประการที่สอง การปฏิรูปเช่นนี้ช่วยเพิ่มความมั่นคงของชาติและความสมบูรณ์ของห่วงโซ่อุปทาน เนื่องจากสินค้าที่นำเข้าภายใต้เกณฑ์ De Minimis มักได้รับการตรวจสอบน้อยมาก จึงกลายเป็นช่องทางที่เหมาะสมสำหรับการลักลอบนำเข้าสินค้าปลอมแปลง สินค้าผิดกฎหมาย รวมถึงสารต้องห้ามต่าง ๆ โดยในช่วงที่ประธานาธิบดีทรัมป์ดำรงตำแหน่งในสมัยแรก เคยได้มีการดำเนินงานบังคับใช้ในโครงการนำร่องที่ชื่อว่า “Operation Mega Flex” โดยเจ้าหน้าที่ศุลกากรและปกป้องชายแดน (CBP) ภายใต้การนำของนาย Peter Navarro จากทำเนียบขาว พบว่ามีถึงร้อยละ 12 ของการส่งสินค้าภายใต้ข้อยกเว้น De Minimis ที่มีการรายงานผิดพลาดหรือฉ้อโกง หนึ่งในสามของกรณีดังกล่าวเกี่ยวข้องกับสินค้าปลอมแปลง รวมถึงสินค้าที่อาจก่อให้เกิดอันตราย เช่น ยาปลอม
ประการที่สาม และสำคัญที่สุด การยกเลิกข้อยกเว้น De Minimis จะสนับสนุนการฟื้นฟูอุตสาหกรรมการผลิตภายในประเทศ ผู้ผลิตในประเทศ โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ต้องเผชิญกับมาตรการที่มีสองมาตรฐาน โดยต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านภาษีศุลกากรและภาษีอื่น ๆ อย่างครบถ้วน ในขณะที่ต้องแข่งขันกับสินค้านำเข้าที่ได้รับการยกเว้นภาษีศุลกากรภายใต้ข้อยกเว้น De Minimis การปรับเปลี่ยนให้ระดับการแข่งขันเท่าเทียมกันนี้ยังช่วยกระตุ้นให้เกิดการย้ายฐานการผลิตกลับสหรัฐฯ การกลับมาลงทุนใหม่และการผลิตที่มีมูลค่าเพิ่มซึ่งจะช่วยสร้างงานที่มีรายได้ดีภายในประเทศได้มากมาย การดำเนินการเช่นนี้ยังถือได้ว่าเป็นมาตรการเชิงรุก ซึ่งแม้รัฐสภาสหรัฐฯ จะได้ผ่านกฎหมายเพื่อยุติการใช้ข้อยกเว้น De Minimis ภายในวันที่ 1 กรกฎาคม 2570 แต่จากบทเรียนที่ในอดีตที่ซ้ำรอยครั้งแล้วครั้งเล่าว่าการรอคอยอนาคตไม่สามารถรับประกันผลที่ดีในปัจจุบันได้ คำสั่งของประธานาธิบดีทรัมป์จึงเป็นการเร่งรัดแผนงานนี้เกิดขึ้นโดยเร็ว เพื่อให้สหรัฐฯ สามารถทวงคืนอธิปไตยทางการค้าได้ในขณะนี้ทันทีเลย แทนที่จะต้องรอไปอีกถึงสองปีข้างหน้า
ในแง่การค้า ก็เช่นเดียวกับการดำเนินชีวิตของเรา รายละเอียดเล็กน้อยก็มีความสำคัญ เงื่อนไขเพียงข้อเดียวในประมวลรหัสภาษีศุลกากร ได้ก่อให้เกิดการสูญเสียรายได้พันล้านเหรียญฯ และทำลายพื้นฐานของการแข่งขันที่เป็นธรรม แต่ขณะนี้ข้อยกเว้น De Minimis ดังกล่าวได้ถูกยกเลิกแล้ว ไม่ว่าสินค้านำเข้าจะมีมูลค่าเล็กน้อยเพียงใด ทุกการนำเข้าสู่สหรัฐอเมริกาต้องเคารพกฎหมายของเรา ชำระภาษีศุลกากรและผ่านการตรวจสอบอย่างเข้มงวด นั่นคือวิธีการปกป้องประเทศชาติ นั่นคือวิธีการฟื้นฟูเศรษฐกิจทีละรายการนำเข้า นับเป็นอีกหนึ่งกลยุทธทางการค้าที่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ดำเนินการ ซึ่งล่าช้ามานานหลายสิบปี และเป็นการแสดงความเป็นผู้นำที่สหรัฐอเมริกาต้องการอย่างแท้จริง
บทวิเคราะห์: โดยสรุปเชิงปฏิบัติ จาก “หนังสือคำสั่งผู้บริหาร 14324 — การระงับการยกเว้นอากรศุลกากรตามหลักเกณฑ์ De Minimis สำหรับทุกประเทศ” มีรายละเอียดดังนี้
วันที่และเวลาที่เริ่มบังคับใช้
ลงนาม: วันที่ 30 กรกฎาคม 2568
มีผลบังคับใช้: วันที่ 29 สิงหาคม 2568 เวลา 00:01 ตามเวลามาตรฐานตะวันออก (เวลาของวอชิงตัน ดีซี)
ข้อกำหนดหลัก
ตั้งแต่ 29 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป: ไม่มีการยกเว้น de minimis (≤ 800 เหรียญสหรัฐ) อีกต่อไป — ทุกสินค้านำเข้าต้องผ่านพิธีการศุลกากรเต็มรูปแบบ ไม่ว่าช่องทางใด มูลค่าเท่าไร
วิธีคิดภาษีตามช่องทางนำเข้า
ช่องทางไปรษณีย์ระหว่างประเทศ (International Postal System):
ช่วง 6 เดือนแรก (ตั้งแต่ 29 ส.ค. 2568) ให้เลือกชำระภาษีด้วยหนึ่งในสองรูปแบบ:
Ad Valorem Duty — ตามอัตราภาษีตามที่กำหนดไว้สำหรับแต่ละประเทศต้นทาง
Specific Flat Rate — อัตราคงที่ 80–200 เหรียญฯ ต่อชิ้น ตามอัตราสำหรับแต่ละประเทศต้นทาง
ประเทศที่มีอัตราภาษี IEEPA ที่มีผลบังคับใช้ | อัตราอากรนำเข้า (เหรียญสหรัฐต่อรายการ) |
ต่ำกว่าร้อยละ 16 | 80 |
ตั้งแต่ร้อยละ 16 ถึงร้อยละ 25 (รวมถึงร้อยละ 25) | 160 |
มากกว่าร้อยละ 25 | 200 |
หลังจาก 6 เดือน — ให้ระบบการคำนวณอัตราภาษีแบบ Ad Valorem Duty มาใช้เท่านั้น
ช่องทางอื่น (เช่น ผ่านเอกชน: FedEx, UPS, DHL, หรืออื่น ๆ)
เรียกเก็บภาษีตามอัตราที่ใช้กับสินค้านำเข้าปกติ (รวมทั้ง Reciprocal Tariffs ที่อาจมีในปัจจุบัน)
ทุกกรณี ไม่คำนึงถึงมูลค่าหรือช่องทางการนำเข้า (ยกเว้นตาม 1702(b) เช่น ของบริจาค ฯลฯ)
ตัวอย่างการคำนวณ
ช่องทาง | มูลค่าสินค้า | วิธีคิดภาษี | ผลรวมภาษีที่ต้องชำระ |
ไปรษณีย์ (6 เดือนแรก) | $50 | Fixed rate $100 | $100 |
ไปรษณีย์ (6 เดือนแรก) | $500 | 5% Ad Valorem | $25 |
ไปรษณีย์ (หลัง 6 เดือน) | $200 | 8% Ad Valorem | $16 |
FedEx (ทั่วไป) | $70 | 10% Ad Valorem | $7 |
ข้อคิดเห็น/ข้อเสนอแนะ: นับจากวันที่ 29 สิงหาคมนี้เป็นต้นไป ไม่มีช่องทางหลบเลี่ยงภาษีอากรด้วยการส่งตรงถึงผู้รับ หรือที่นิยมเรียกว่า “door-to-door” อีกต่อไปแล้ว อัตราภาษีอากรสินค้าที่นำเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ ทุกช่องทาง ไม่ว่าจะมีมูลค่าน้อยเพียงใด ก็จะต้องถูกเรียกเก็บภาษีต่างตอบแทนตามอัตราที่ท่านประธานาธิบดีทรัมป์กำหนดไว้สำหรับแต่ละประเทศเท่านั้น แต่ก็ต้องย้ำอีกทีว่า อัตราที่ประกาศมาแล้วนั้น ก็ยังไม่นิ่ง ไม่มีใครในโลกแม้แต่ตัวท่านประธานาธิบดีเอง ก็ไม่อาจยืนยันได้ว่าจะมีเหตุให้ต้องปรับอัตราดังกล่าวในอนาคตหรือไม่ หรือแม้แต่เมื่อไร ตลอดไปจนถึงจะเป็นเท่าไร เพราะจะมีทีมงานจับตา Transshipment อยู่ตลอด แล้วหากประเทศใดไม่สามารถสกัดกั้นสินค้าที่ส่งเข้าสหรัฐฯ โดยสวมสิทธิ์ของประเทศตนเพื่อให้ระดับอัตราภาษีลดลงได้สำเร็จ รัฐบาลสหรัฐฯ ก็อาจใช้เป็นข้ออ้างในการปรับอัตราภาษีใหม่ที่น่าจะสูงขึ้นก็เป็นไปได้
ภายหลังการมีผลบังคับใช้ของคำสั่งบริหาร Executive Order 14324 ในวันที่ 29 สิงหาคม 2568 ผู้ประกอบการไทยที่เคยใช้ช่องทางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ส่งสินค้าตรงถึงผู้บริโภคในสหรัฐฯ โดยอาศัยช่องว่าง De Minimis เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากร จะต้องเร่งปรับตัวอย่างจริงจัง เนื่องจากตั้งแต่วันดังกล่าวเป็นต้นไป สินค้าทุกชิ้นที่นำเข้าสหรัฐฯ ไม่ว่ามูลค่าจะต่ำเพียงใด จะต้องผ่านกระบวนการศุลกากรอย่างเป็นทางการ และต้องชำระภาษีตามอัตราที่กำหนด
ผู้ประกอบการต้องเริ่มต้นด้วยการทบทวนและคำนวณต้นทุนใหม่ทั้งหมด เพราะเดิมที่เคยได้เปรียบในเรื่องภาษีนำเข้า กลับกลายเป็นว่าต่อไปนี้จะต้องนำต้นทุนภาษีศุลกากรมาเป็นส่วนหนึ่งในการตั้งราคาขายด้วย ผู้ประกอบการควรสำรวจว่าประเภทสินค้าที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ มีอัตราภาษีศุลกากร (Tariff Rate) อยู่ที่เท่าไร โดยตรวจสอบจากตาราง Harmonized Tariff Schedule (HTS) ของสหรัฐฯ รวมถึงสำรวจอัตรา Flat Rate หากยังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน 6 เดือนแรกของคำสั่งนี้ เมื่อประเมินต้นทุนได้แล้ว จำเป็นต้องปรับกลยุทธ์ด้านราคาขายปลีกให้สอดคล้องกับต้นทุนที่แท้จริง หากราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้น ผู้ประกอบการอาจต้องชี้แจงเหตุผลและสร้างความเข้าใจกับลูกค้าปลายทางในสหรัฐฯ ว่าส่วนที่เพิ่มขึ้นนั้นเป็นผลจากนโยบายใหม่ด้านภาษี ซึ่งเป็นมาตรการที่ใช้กับสินค้าทุกชนิดที่นำเข้าสหรัฐฯ อย่างเท่าเทียมกัน
ในด้านกระบวนการและเอกสาร ผู้ประกอบการต้องปรับระบบให้สามารถจัดเตรียมและสำแดงรายละเอียดสินค้า (commercial invoice) ได้ถูกต้องตามจริง พร้อมทั้งระบุประเทศต้นทางของสินค้าอย่างโปร่งใส ห้ามใช้วิธีสวมสิทธิ์ นำเข้าสินค้าจากประเทศอื่นแล้วแอบอ้างเป็นสินค้าจากไทย หรือแจ้งประเทศต้นทางเท็จโดยเด็ดขาด ทั้งนี้เพราะหากถูกตรวจพบ จะมีบทลงโทษทั้งการปรับและการห้ามนำเข้าสหรัฐฯ อีกต่อไป
นอกจากนี้ ควรตรวจสอบกระบวนการโลจิสติกส์อย่างละเอียด เลือกใช้ผู้ให้บริการที่มีความเชี่ยวชาญและเข้าใจกฎหมายศุลกากรสหรัฐฯ เป็นอย่างดี เพื่อป้องกันปัญหาการติดขัดที่ด่านศุลกากร รวมถึงควรพิจารณาการปรับเปลี่ยนรูปแบบการส่งสินค้า หากเดิมส่งรายชิ้น B2C อาจเปลี่ยนมาเป็นการส่งแบบ B2B (ส่งล็อตใหญ่ให้ผู้นำเข้าในสหรัฐฯ แล้วกระจายต่อ) เพื่อลดต้นทุนต่อหน่วยและเพิ่มอำนาจการต่อรองกับผู้ให้บริการขนส่งและศุลกากร
สิ่งที่สำคัญยิ่งคือการยกระดับมาตรฐานความถูกต้องของข้อมูลและการปฏิบัติตามกฎหมาย (compliance) ตลอดห่วงโซ่อุปทาน ควรมีระบบตรวจสอบย้อนกลับ (traceability) สำหรับสินค้าแต่ละชิ้น เพื่อรองรับการตรวจสอบจากศุลกากรสหรัฐฯ ได้ทุกเมื่อ ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการต้องติดตามข่าวสารและประกาศจาก CBP (U.S. Customs and Border Protection) อย่างต่อเนื่อง เพราะอาจมีข้อปฏิบัติหรือแนวทางการปฏิบัติที่เปลี่ยนแปลงได้ในช่วงเปลี่ยนผ่าน ทั้งนี้ การอบรมและเพิ่มพูนความรู้ให้กับทีมงานเกี่ยวกับกฎระเบียบศุลกากรและการค้า เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม
สุดท้าย ควรใช้โอกาสนี้ในการสร้างจุดแข็งใหม่ให้กับธุรกิจ เน้นเรื่องความโปร่งใส การปฏิบัติตามกฎหมาย และการเสริมสร้างคุณค่าและความแตกต่างของสินค้าให้ชัดเจนขึ้น เพื่อให้ผู้บริโภคในสหรัฐฯ มองเห็นคุณภาพและความน่าเชื่อถือ แม้จะมีต้นทุนด้านภาษีเพิ่มขึ้นก็ตาม หากผู้ประกอบการปรับตัวทันต่อการเปลี่ยนแปลง ปฏิบัติถูกต้องตามกฎหมาย และวางแผนรับมือเรื่องต้นทุนได้อย่างรอบคอบ ก็ยังสามารถรักษาตลาดในสหรัฐฯ ได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว
*********************************************************
ที่มา: The Washington Times
เรื่อง: “Trump closes the de minimis loophole”
โดย: Peter Navarro
สคต. ไมอามี /วันที่ 5 สิงหาคม 2568