เมื่อวันที่ 2 เมษายน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ได้ประกาศมาตรการ "ภาษีตอบโต้" (Reciprocal Taxation) ซึ่งเป็นการปรับขึ้นภาษีศุลกากรกับประเทศคู่ค้าในระดับที่สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ส่งผลให้ตลาดการเงินทั่วโลกเกิดความผันผวนอย่างรุนแรง โดยตลาดหุ้นในเอเชียและแปซิฟิกที่เปิดทำการเป็นกลุ่มแรกดิ่งลงอย่างหนัก นี่ถือเป็นสัญญาณว่าภายใต้ยุค "ทรัมป์ 2.0" เศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนอย่างรุนแรง
ยุทธศาสตร์ภาษีของทรัมป์และผลกระทบระดับโลก
มาตรการของทรัมป์กำหนดให้มีการขึ้นภาษีเพิ่มเติมจากฐานภาษีเดิมของสหรัฐฯ โดยมีอัตราตั้งแต่ ร้อยละ 10 ถึงกว่าร้อยละ 40 กับประเทศคู่ค้าสำคัญ ได้แก่
- สหราชอาณาจักรและบราซิล: ร้อยละ10
- สหภาพยุโรป: ร้อยละ 20
- ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้: ประมาณร้อยละ 25
- เอเชียตะวันออกเฉียงใต้: อัตราสูงสุด โดยเวียดนามและกัมพูชาถูกเรียกเก็บมากกว่าร้อยละ 40
- จีน: ร้อยละ 34 ซึ่งเป็นอัตราที่สูงเป็นอันดับสองรองจากบางประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ความรุนแรงของมาตรการนี้เกิดจากสองปัจจัยหลัก คือ
- อัตราภาษีที่สูง – ภาษีขั้นต่ำเริ่มต้นที่ร้อยละ 10 และบางกรณีอาจสูงถึงเกือบร้อยละ 50
- ขอบเขตของมาตรการที่ส่งผลกระทบในวงกว้าง – แตกต่างจากสมัยแรกที่เน้นไปที่จีน มาตรการครั้งนี้กระทบไปถึงพันธมิตรดั้งเดิมของสหรัฐฯ เช่น สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้
ทรัมป์อ้างว่าการขึ้นภาษีเป็นเพราะสหรัฐฯ เสียเปรียบทางการค้าจากภาษีที่ไม่เป็นธรรมจากคู่ค้า อย่างไรก็ตาม การกำหนดภาษีตอบโต้ในลักษณะนี้ละเลยหลักการพื้นฐานของ "ความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบ" (Comparative Advantage) ซึ่งเป็นหลักสำคัญในระบบการค้าเสรี ส่งผลให้ไม่เพียงแต่กระทบต่อประเทศคู่ค้า แต่ยังย้อนกลับมาทำร้ายเศรษฐกิจสหรัฐฯ เองด้วย โดยเฉพาะการเพิ่มต้นทุนสินค้า ซึ่งจะกระตุ้นเงินเฟ้อที่สหรัฐฯ พยายามควบคุมมาโดยตลอด
สงครามภาษีของทรัมป์: ยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจหรือเกมการเมือง?
แม้ว่าทรัมป์จะอ้างว่าการขึ้นภาษีจะช่วยลดการขาดดุลทางการค้า กระตุ้นอุตสาหกรรมการผลิตในประเทศ และสร้างงาน แต่ในความเป็นจริง นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่เห็นว่าการปกป้องทางการค้าเช่นนี้จะสร้างผลเสียมากกว่าผลดี
ที่ผ่านมา สหรัฐฯ มีดุลการค้าเกินดุลในภาคบริการอย่างมหาศาล โดยเฉพาะด้านทรัพย์สินทางปัญญา การเงิน เทคโนโลยี และกฎหมาย ในปี 2567 สหรัฐฯ มีดุลการค้าบริการเกินดุลถึง 300,000 ล้านเหรียญสหรัฐ นอกจากนี้ อิทธิพลของเงินเหรียญสหรัฐฯ ในฐานะสกุลเงินหลักของโลกยังช่วยให้สหรัฐฯ ได้รับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างมาก
การที่ทรัมป์เน้นพูดถึงการขาดดุลในภาคสินค้า แต่ละเลยประโยชน์จากภาคบริการและอิทธิพลของเงินเหรียญสหรัฐ เป็นกลยุทธ์ที่ใช้สร้างความเข้าใจผิดให้กับผู้มีสิทธิเลือกตั้งภายในประเทศ
แม้ทีมที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของทรัมป์จะเข้าใจถึงความเสี่ยงของนโยบายนี้ แต่ทรัมป์ยังคงเดินหน้า ซึ่งบ่งชี้ว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของสงครามภาษีครั้งนี้อาจไม่ใช่เรื่องเศรษฐกิจ แต่เป็นการสร้างความนิยมทางการเมือง โดยเฉพาะเมื่อเขาแสดงเจตนาว่าอาจลงสมัครเป็นประธานาธิบดีสมัยที่สาม
จีนกับผลกระทบของสงครามภาษี: ความท้าทายและโอกาส
สหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของจีน ในปี 2567 จีนส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ มูลค่า 524,600 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นเกือบร้อยละ 15 ของมูลค่าส่งออกทั้งหมด แม้ว่าปีที่แล้วเศรษฐกิจจีนจะยังสามารถเติบโตได้ร้อยละ 5 ภายใต้แรงกดดัน แต่การส่งออกก็มีบทบาทสำคัญ โดยคิดเป็นสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 30
หากอัตราภาษีของสหรัฐฯ ถูกเพิ่มเป็นร้อยละ 34 การส่งออกของจีนไปยังสหรัฐฯ อาจได้รับผลกระทบอย่างหนักในระยะสั้น และเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนอาจถูกท้าทาย
อย่างไรก็ตาม การขึ้นภาษีครั้งนี้อาจมีข้อดีสำหรับจีนในระยะยาว ได้แก่
- การกระจายตลาด จีนพยายามลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ ตั้งแต่สงครามการค้าเริ่มขึ้นในสมัยแรกของทรัมป์ โดยสัดส่วนการส่งออกไปสหรัฐฯ ลดลงจากจุดสูงสุดกว่าร้อยละ 20 เหลือต่ำกว่าร้อยละ 15
- การเร่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ แรงกดดันจากสหรัฐฯ อาจผลักดันให้จีนพัฒนาเทคโนโลยีในประเทศ และขยายตลาดส่งออกไปยังประเทศอื่น
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและบทบาทของจีน
นโยบายกีดกันทางการค้าของทรัมป์อาจให้ประโยชน์กับสหรัฐฯ ในระยะสั้น แต่จะทำให้สหรัฐฯ สูญเสียบทบาทผู้นำในเศรษฐกิจโลก พันธมิตรทางการค้าดั้งเดิมอาจเปลี่ยนท่าที และเปิดโอกาสให้จีนมีบทบาทมากขึ้นในเวทีระหว่างประเทศ
ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง สหรัฐฯ ได้ประโยชน์อย่างมากจากสถานะผู้นำทางเศรษฐกิจ แต่หากสหรัฐฯ เปลี่ยนบทบาทจาก "ผู้นำ" เป็น "ผู้รุกราน" ผลประโยชน์เหล่านั้นอาจสูญหาย และเศรษฐกิจโลกอาจเผชิญกับการปรับตัวครั้งใหญ่
จีนในฐานะเศรษฐกิจใหญ่อันดับสองของโลก อาจเป็นหนึ่งในผู้ได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงนี้
ทั้งนี้ มาตรการภาษีตอบโต้ของทรัมป์ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับเศรษฐกิจโลก และส่งผลกระทบต่อทั้งพันธมิตรและคู่แข่งของสหรัฐฯ แม้ว่าจีนจะเผชิญแรงกดดันในระยะสั้น แต่ในระยะยาว อาจเป็นโอกาสให้จีนกระจายตลาดและปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น
นอกจากนี้แล้ว เมื่อวันที่ 3 เมษายน หลังจากมาตรการภาษีถูกประกาศ ตลาดหุ้นเอเชีย-แปซิฟิกดิ่งลงอย่างหนัก ยกเว้นตลาดหุ้นจีน (A-shares) ที่สามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว แสดงให้เห็นถึงการปรับตัวของนักลงทุนที่เริ่มเข้าใจผลกระทบระยะยาวของสงครามภาษีของทรัมป์ต่อเศรษฐกิจจีน
ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะของ สคต.
มาตรการขึ้นภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ภายใต้แนวทาง “ภาษีตอบโต้” ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกอย่างรุนแรง ทั้งในแง่ของห่วงโซ่อุปทาน การค้าโลก และการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ โดยมีประเด็นสำคัญที่ควรพิจารณาดังนี้
ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับผลกระทบของมาตรการ
- ความไม่แน่นอนในระบบการค้าโลก
- การขึ้นภาษีในอัตราสูงและขยายขอบเขตไปยังพันธมิตรสำคัญของสหรัฐฯ เช่น สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ อาจส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอนในระบบการค้าโลก
- บริษัทข้ามชาติที่พึ่งพาห่วงโซ่อุปทานระดับโลกอาจต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้น และมีแนวโน้มที่จะปรับเปลี่ยนฐานการผลิตไปยังประเทศที่มีความเสี่ยงทางการค้าน้อยกว่า
- ภาวะเงินเฟ้อและผลกระทบต่อผู้บริโภคสหรัฐฯ
- การขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจะเพิ่มต้นทุนสินค้าสำหรับผู้บริโภคในสหรัฐฯ ทำให้เกิดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ ซึ่งขัดแย้งกับเป้าหมายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ที่ต้องการควบคุมเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับต่ำ
- บริษัทที่พึ่งพาวัตถุดิบและสินค้าจากต่างประเทศ เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ อาจต้องปรับขึ้นราคาสินค้า ซึ่งอาจลดกำลังซื้อของผู้บริโภคและส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ
- ผลกระทบต่อเศรษฐกิจจีนและประเทศคู่ค้า
- ในระยะสั้น จีนอาจได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษี 34% ทำให้สินค้าส่งออกไปยังสหรัฐฯ มีต้นทุนสูงขึ้น
- อย่างไรก็ตาม จีนอาจเร่งกระจายตลาดส่งออกไปยังประเทศอื่น เช่น อาเซียน ตะวันออกกลาง และแอฟริกา เพื่อชดเชยความเสียหาย
- ประเทศคู่ค้าอื่น เช่น เวียดนามและเม็กซิโก อาจได้รับผลกระทบในลักษณะเดียวกันและต้องเร่งปรับกลยุทธ์การค้า
- การตอบโต้จากนานาชาติ
- สหภาพยุโรปและจีนอาจใช้มาตรการตอบโต้ทางภาษีต่อสหรัฐฯ ทำให้เกิดสงครามการค้าที่ลุกลามมากขึ้น
- ในอดีต การใช้มาตรการภาษีแบบตอบโต้ (Retaliatory Tariffs) มักส่งผลให้เกิดความเสียหายทั้งสองฝ่าย เนื่องจากประเทศต่างๆ จะขึ้นภาษีซึ่งกันและกัน ส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตและผู้บริโภคทั่วโลก
ข้อเสนอแนะต่อมาตรการของทรัมป์
- หันมาใช้แนวทางการเจรจาทางการค้า
- แทนที่จะใช้มาตรการภาษีที่รุนแรง สหรัฐฯ ควรใช้การเจรจาเพื่อแก้ไขปัญหาการค้ากับประเทศคู่ค้า ซึ่งจะช่วยลดความตึงเครียดและรักษาสัมพันธภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาว
- องค์การการค้าโลก (WTO) สามารถเป็นกลไกที่ช่วยแก้ไขข้อขัดแย้งทางการค้าอย่างเป็นธรรม
- ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจภายในประเทศแทนการพึ่งพาภาษีศุลกากร
- สหรัฐฯ ควรลงทุนในการพัฒนาเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูง เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และพลังงานสะอาด เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน แทนที่จะใช้มาตรการปกป้องทางการค้า
- รัฐบาลสหรัฐฯ ควรสนับสนุนให้ภาคธุรกิจพึ่งพาวัตถุดิบในประเทศมากขึ้นผ่านมาตรการจูงใจทางภาษี
- ลดผลกระทบต่อผู้บริโภคและธุรกิจขนาดเล็ก
- นโยบายภาษีควรมีข้อยกเว้นหรือการบรรเทาภาระสำหรับอุตสาหกรรมที่พึ่งพาการนำเข้าอย่างหนัก เช่น ภาคเทคโนโลยี ยานยนต์ และเกษตรกรรม
- ควรมีมาตรการสนับสนุนธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่ได้รับผลกระทบจากต้นทุนที่สูงขึ้น
- จีนและประเทศคู่ค้าควรเร่งปรับตัว
- จีนควรเร่งขยายตลาดส่งออกไปยังประเทศกำลังพัฒนา และลดการพึ่งพาสหรัฐฯ
- ประเทศในอาเซียน เช่น ไทย เวียดนาม และอินโดนีเซีย ควรเพิ่มการค้าภายในภูมิภาคและกระชับความร่วมมือกับจีนและยุโรป เพื่อลดผลกระทบจากนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ
แม้ว่ามาตรการภาษีของทรัมป์จะมีเป้าหมายเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศและลดการขาดดุลการค้า แต่ในระยะยาว อาจสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เอง รวมถึงกระทบต่อระบบการค้าโลก ประเทศคู่ค้า รวมถึงผู้บริโภคในสหรัฐฯ การแก้ไขปัญหาการค้าควรใช้แนวทางที่สมดุลและยั่งยืนมากกว่าการใช้มาตรการที่อาจจุดชนวนให้เกิดสงครามการค้าแบบไม่มีที่สิ้นสุด
--------------------------------------------------
แปลและเรียบเรียงโดย สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครเฉิงตู
เมษายน 2568
แหล่งข้อมูล :
Sanlian Life Weekly
ภาพจาก CBC News