fb
ทรัมป์จุดชนวนสงครามภาษีทั่วโลก: ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและจีน
โดย
ลงเมื่อ 04 เมษายน 2568 11:09
18
เมื่อวันที่ 2 เมษายน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ได้ประกาศมาตรการ "ภาษีตอบโต้" (Reciprocal Taxation) ซึ่งเป็นการปรับขึ้นภาษีศุลกากรกับประเทศคู่ค้าในระดับที่สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ส่งผลให้ตลาดการเงินทั่วโลกเกิดความผันผวนอย่างรุนแรง โดยตลาดหุ้นในเอเชียและแปซิฟิกที่เปิดทำการเป็นกลุ่มแรกดิ่งลงอย่างหนัก นี่ถือเป็นสัญญาณว่าภายใต้ยุค "ทรัมป์ 2.0" เศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนอย่างรุนแรง   ยุทธศาสตร์ภาษีของทรัมป์และผลกระทบระดับโลก มาตรการของทรัมป์กำหนดให้มีการขึ้นภาษีเพิ่มเติมจากฐานภาษีเดิมของสหรัฐฯ โดยมีอัตราตั้งแต่ ร้อยละ 10 ถึงกว่าร้อยละ 40 กับประเทศคู่ค้าสำคัญ ได้แก่ - สหราชอาณาจักรและบราซิล: ร้อยละ10 - สหภาพยุโรป: ร้อยละ 20 - ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้: ประมาณร้อยละ 25 - เอเชียตะวันออกเฉียงใต้: อัตราสูงสุด โดยเวียดนามและกัมพูชาถูกเรียกเก็บมากกว่าร้อยละ 40 - จีน: ร้อยละ 34 ซึ่งเป็นอัตราที่สูงเป็นอันดับสองรองจากบางประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้   ความรุนแรงของมาตรการนี้เกิดจากสองปัจจัยหลัก คือ 
  1. อัตราภาษีที่สูง – ภาษีขั้นต่ำเริ่มต้นที่ร้อยละ 10 และบางกรณีอาจสูงถึงเกือบร้อยละ 50
  2. ขอบเขตของมาตรการที่ส่งผลกระทบในวงกว้าง – แตกต่างจากสมัยแรกที่เน้นไปที่จีน มาตรการครั้งนี้กระทบไปถึงพันธมิตรดั้งเดิมของสหรัฐฯ เช่น สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้
ทรัมป์อ้างว่าการขึ้นภาษีเป็นเพราะสหรัฐฯ เสียเปรียบทางการค้าจากภาษีที่ไม่เป็นธรรมจากคู่ค้า อย่างไรก็ตาม การกำหนดภาษีตอบโต้ในลักษณะนี้ละเลยหลักการพื้นฐานของ "ความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบ" (Comparative Advantage) ซึ่งเป็นหลักสำคัญในระบบการค้าเสรี ส่งผลให้ไม่เพียงแต่กระทบต่อประเทศคู่ค้า แต่ยังย้อนกลับมาทำร้ายเศรษฐกิจสหรัฐฯ เองด้วย โดยเฉพาะการเพิ่มต้นทุนสินค้า ซึ่งจะกระตุ้นเงินเฟ้อที่สหรัฐฯ พยายามควบคุมมาโดยตลอด   สงครามภาษีของทรัมป์: ยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจหรือเกมการเมือง?  แม้ว่าทรัมป์จะอ้างว่าการขึ้นภาษีจะช่วยลดการขาดดุลทางการค้า กระตุ้นอุตสาหกรรมการผลิตในประเทศ และสร้างงาน แต่ในความเป็นจริง นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่เห็นว่าการปกป้องทางการค้าเช่นนี้จะสร้างผลเสียมากกว่าผลดี ที่ผ่านมา สหรัฐฯ มีดุลการค้าเกินดุลในภาคบริการอย่างมหาศาล โดยเฉพาะด้านทรัพย์สินทางปัญญา การเงิน เทคโนโลยี และกฎหมาย ในปี 2567 สหรัฐฯ มีดุลการค้าบริการเกินดุลถึง 300,000 ล้านเหรียญสหรัฐ นอกจากนี้ อิทธิพลของเงินเหรียญสหรัฐฯ ในฐานะสกุลเงินหลักของโลกยังช่วยให้สหรัฐฯ ได้รับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างมาก การที่ทรัมป์เน้นพูดถึงการขาดดุลในภาคสินค้า แต่ละเลยประโยชน์จากภาคบริการและอิทธิพลของเงินเหรียญสหรัฐ เป็นกลยุทธ์ที่ใช้สร้างความเข้าใจผิดให้กับผู้มีสิทธิเลือกตั้งภายในประเทศ แม้ทีมที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของทรัมป์จะเข้าใจถึงความเสี่ยงของนโยบายนี้ แต่ทรัมป์ยังคงเดินหน้า ซึ่งบ่งชี้ว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของสงครามภาษีครั้งนี้อาจไม่ใช่เรื่องเศรษฐกิจ แต่เป็นการสร้างความนิยมทางการเมือง โดยเฉพาะเมื่อเขาแสดงเจตนาว่าอาจลงสมัครเป็นประธานาธิบดีสมัยที่สาม   จีนกับผลกระทบของสงครามภาษี: ความท้าทายและโอกาส สหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของจีน ในปี 2567 จีนส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ มูลค่า 524,600 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นเกือบร้อยละ 15 ของมูลค่าส่งออกทั้งหมด แม้ว่าปีที่แล้วเศรษฐกิจจีนจะยังสามารถเติบโตได้ร้อยละ 5 ภายใต้แรงกดดัน แต่การส่งออกก็มีบทบาทสำคัญ โดยคิดเป็นสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 30 หากอัตราภาษีของสหรัฐฯ ถูกเพิ่มเป็นร้อยละ 34 การส่งออกของจีนไปยังสหรัฐฯ อาจได้รับผลกระทบอย่างหนักในระยะสั้น และเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนอาจถูกท้าทาย อย่างไรก็ตาม การขึ้นภาษีครั้งนี้อาจมีข้อดีสำหรับจีนในระยะยาว ได้แก่ - การกระจายตลาด จีนพยายามลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ ตั้งแต่สงครามการค้าเริ่มขึ้นในสมัยแรกของทรัมป์ โดยสัดส่วนการส่งออกไปสหรัฐฯ ลดลงจากจุดสูงสุดกว่าร้อยละ 20 เหลือต่ำกว่าร้อยละ 15 - การเร่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ แรงกดดันจากสหรัฐฯ อาจผลักดันให้จีนพัฒนาเทคโนโลยีในประเทศ และขยายตลาดส่งออกไปยังประเทศอื่น   ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและบทบาทของจีน นโยบายกีดกันทางการค้าของทรัมป์อาจให้ประโยชน์กับสหรัฐฯ ในระยะสั้น แต่จะทำให้สหรัฐฯ สูญเสียบทบาทผู้นำในเศรษฐกิจโลก พันธมิตรทางการค้าดั้งเดิมอาจเปลี่ยนท่าที และเปิดโอกาสให้จีนมีบทบาทมากขึ้นในเวทีระหว่างประเทศ ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง สหรัฐฯ ได้ประโยชน์อย่างมากจากสถานะผู้นำทางเศรษฐกิจ แต่หากสหรัฐฯ เปลี่ยนบทบาทจาก "ผู้นำ" เป็น "ผู้รุกราน" ผลประโยชน์เหล่านั้นอาจสูญหาย และเศรษฐกิจโลกอาจเผชิญกับการปรับตัวครั้งใหญ่ จีนในฐานะเศรษฐกิจใหญ่อันดับสองของโลก อาจเป็นหนึ่งในผู้ได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงนี้ ทั้งนี้ มาตรการภาษีตอบโต้ของทรัมป์ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับเศรษฐกิจโลก และส่งผลกระทบต่อทั้งพันธมิตรและคู่แข่งของสหรัฐฯ แม้ว่าจีนจะเผชิญแรงกดดันในระยะสั้น แต่ในระยะยาว อาจเป็นโอกาสให้จีนกระจายตลาดและปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น นอกจากนี้แล้ว เมื่อวันที่ 3 เมษายน หลังจากมาตรการภาษีถูกประกาศ ตลาดหุ้นเอเชีย-แปซิฟิกดิ่งลงอย่างหนัก ยกเว้นตลาดหุ้นจีน (A-shares) ที่สามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว แสดงให้เห็นถึงการปรับตัวของนักลงทุนที่เริ่มเข้าใจผลกระทบระยะยาวของสงครามภาษีของทรัมป์ต่อเศรษฐกิจจีน   ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะของ สคต. มาตรการขึ้นภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ภายใต้แนวทาง “ภาษีตอบโต้” ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกอย่างรุนแรง ทั้งในแง่ของห่วงโซ่อุปทาน การค้าโลก และการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ โดยมีประเด็นสำคัญที่ควรพิจารณาดังนี้ ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับผลกระทบของมาตรการ 
  1. ความไม่แน่นอนในระบบการค้าโลก
- การขึ้นภาษีในอัตราสูงและขยายขอบเขตไปยังพันธมิตรสำคัญของสหรัฐฯ เช่น สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ อาจส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอนในระบบการค้าโลก - บริษัทข้ามชาติที่พึ่งพาห่วงโซ่อุปทานระดับโลกอาจต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้น และมีแนวโน้มที่จะปรับเปลี่ยนฐานการผลิตไปยังประเทศที่มีความเสี่ยงทางการค้าน้อยกว่า
  1. ภาวะเงินเฟ้อและผลกระทบต่อผู้บริโภคสหรัฐฯ
- การขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจะเพิ่มต้นทุนสินค้าสำหรับผู้บริโภคในสหรัฐฯ ทำให้เกิดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ ซึ่งขัดแย้งกับเป้าหมายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ที่ต้องการควบคุมเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับต่ำ - บริษัทที่พึ่งพาวัตถุดิบและสินค้าจากต่างประเทศ เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ อาจต้องปรับขึ้นราคาสินค้า ซึ่งอาจลดกำลังซื้อของผู้บริโภคและส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ
  1. ผลกระทบต่อเศรษฐกิจจีนและประเทศคู่ค้า
- ในระยะสั้น จีนอาจได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษี 34% ทำให้สินค้าส่งออกไปยังสหรัฐฯ มีต้นทุนสูงขึ้น - อย่างไรก็ตาม จีนอาจเร่งกระจายตลาดส่งออกไปยังประเทศอื่น เช่น อาเซียน ตะวันออกกลาง และแอฟริกา เพื่อชดเชยความเสียหาย - ประเทศคู่ค้าอื่น เช่น เวียดนามและเม็กซิโก อาจได้รับผลกระทบในลักษณะเดียวกันและต้องเร่งปรับกลยุทธ์การค้า
  1. การตอบโต้จากนานาชาติ
- สหภาพยุโรปและจีนอาจใช้มาตรการตอบโต้ทางภาษีต่อสหรัฐฯ ทำให้เกิดสงครามการค้าที่ลุกลามมากขึ้น - ในอดีต การใช้มาตรการภาษีแบบตอบโต้ (Retaliatory Tariffs) มักส่งผลให้เกิดความเสียหายทั้งสองฝ่าย เนื่องจากประเทศต่างๆ จะขึ้นภาษีซึ่งกันและกัน ส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตและผู้บริโภคทั่วโลก ข้อเสนอแนะต่อมาตรการของทรัมป์
  1. หันมาใช้แนวทางการเจรจาทางการค้า
- แทนที่จะใช้มาตรการภาษีที่รุนแรง สหรัฐฯ ควรใช้การเจรจาเพื่อแก้ไขปัญหาการค้ากับประเทศคู่ค้า ซึ่งจะช่วยลดความตึงเครียดและรักษาสัมพันธภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาว - องค์การการค้าโลก (WTO) สามารถเป็นกลไกที่ช่วยแก้ไขข้อขัดแย้งทางการค้าอย่างเป็นธรรม
  1. ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจภายในประเทศแทนการพึ่งพาภาษีศุลกากร
- สหรัฐฯ ควรลงทุนในการพัฒนาเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูง เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และพลังงานสะอาด เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน แทนที่จะใช้มาตรการปกป้องทางการค้า - รัฐบาลสหรัฐฯ ควรสนับสนุนให้ภาคธุรกิจพึ่งพาวัตถุดิบในประเทศมากขึ้นผ่านมาตรการจูงใจทางภาษี
  1. ลดผลกระทบต่อผู้บริโภคและธุรกิจขนาดเล็ก
- นโยบายภาษีควรมีข้อยกเว้นหรือการบรรเทาภาระสำหรับอุตสาหกรรมที่พึ่งพาการนำเข้าอย่างหนัก เช่น ภาคเทคโนโลยี ยานยนต์ และเกษตรกรรม - ควรมีมาตรการสนับสนุนธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่ได้รับผลกระทบจากต้นทุนที่สูงขึ้น
  1. จีนและประเทศคู่ค้าควรเร่งปรับตัว
- จีนควรเร่งขยายตลาดส่งออกไปยังประเทศกำลังพัฒนา และลดการพึ่งพาสหรัฐฯ - ประเทศในอาเซียน เช่น ไทย เวียดนาม และอินโดนีเซีย ควรเพิ่มการค้าภายในภูมิภาคและกระชับความร่วมมือกับจีนและยุโรป เพื่อลดผลกระทบจากนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ แม้ว่ามาตรการภาษีของทรัมป์จะมีเป้าหมายเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศและลดการขาดดุลการค้า แต่ในระยะยาว อาจสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เอง รวมถึงกระทบต่อระบบการค้าโลก ประเทศคู่ค้า รวมถึงผู้บริโภคในสหรัฐฯ การแก้ไขปัญหาการค้าควรใช้แนวทางที่สมดุลและยั่งยืนมากกว่าการใช้มาตรการที่อาจจุดชนวนให้เกิดสงครามการค้าแบบไม่มีที่สิ้นสุด --------------------------------------------------  

แปลและเรียบเรียงโดย สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครเฉิงตู

เมษายน 2568

แหล่งข้อมูล : Sanlian Life Weekly

 ภาพจาก CBC News

Share :
Instagram